บทที่ 5 ความจนมันน่ากลัว

1962 คำ
เพียงใจตื่นขึ้นมาในห้องของโรงพยาบาล เธอมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นลูกสาวฟุบหลับอยู่ข้างเตียง ส่วนป้าดาก็นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ “ตะวัน พี่ดา” เธอเอ่ยเรียกทั้งสอง “แม่ เป็นไงบ้าง แม่เจ็บตรงไหนไหม” ตะวันรีบถามด้วยความเป็นห่วง “แม่ไม่เป็นอะไรจ้ะ มึนหัวนิดหน่อย นี่แม่ทำให้ลูกกับพี่ดาลำบากอีกแล้วหรือนี่” เพียงใจเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเพราะถ้าเดาไม่ผิดคงดึกมากแล้ว แทนที่หญิงทั้งสองจะได้พักผ่อนหลังจากทำงานมาเหนื่อยๆ แต่กลับต้องมานั่งเฝ้าเธอ “ใช่ พี่กับลูกลำบาก เพียง เธอต้องรักษาตัวจริงจังแล้วล่ะ” ป้าดาเอ่ยออกมาตรงๆ “ค่อยว่ากัน วันนี้พักผ่อนก่อนนะพี่” “ใช่ค่ะ แม่นอนก่อนนะคะ” “ขอบคุณพี่ดามากๆ นะ” หญิงวัยกลางคนพยักหน้ารับอย่างเห็นใจก่อนที่เธอจะขอตัวกลับโดยมีตะวันเดินไปส่งขึ้นรถแท็กซี่ “ตะวันขอบคุณป้าดามากๆ นะคะ” “อื้ม มีอะไรก็โทรหาป้านะ” “ค่ะ” ตะวันเอ่ยเสียงอ่อน เธอเองก็เหนื่อยเหมือนกันเพราะเมื่อเช้าก็ตื่นตั้งแต่ตีห้าแถมตอนนี้จะตีหนึ่งแล้วก็ยังแทบไม่ได้นอน “เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าจะแวะเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนนะ ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากพรุ่งนี้คงได้กลับ” “ค่ะป้า” พอพูดถึงเรื่องกลับบ้านตะวันก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นมาจนป้าดารู้สึกได้ “ตะวันไม่สบายใจเรื่องค่าใช้จ่ายใช่ไหม” ป้าดาเอ่ยถามอย่างเข้าใจ “ใช่ค่ะ ตะวันคิดว่าน่าจะเสียเป็นหมื่นแน่ๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวตะวันมีไม่ถึงห้าพัน” เธอเอ่ยออกมาตามตรง ตอนนั้นเธอนึกแค่ว่าต้องรักษาชีวิตของแม่ไว้ให้ได้จนลืมเรื่องค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชนไปเสียสนิท “ไม่เป็นไรตะวัน ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้ ป้าพอมี เดี๋ยวป้าให้ยืมเอง” ดาริการู้สึกเวทนาสองแม่ลูก เธอเองก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ส่วนตัวก็พอจะมีเงินเก็บไว้บ้าง เด็กสาวคนนี้ก็ไม่ใช่เด็กเหลวไหล ถ้ามีเธอคงใช้หนี้ในสักวัน “ขอบคุณมากๆ ค่ะป้าดา” ตะวันยกมือไหว้หญิงตรงหน้าทั้งน้ำตา เธอรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกินทั้งไม่ได้พักผ่อน ทั้งยังต้องมาคิดเรื่องเงินมากมายที่ต้องหามาจ่ายค่ารักษา ทั้งเป็นห่วงสุขภาพของแม่ “พักผ่อนด้วยนะตะวัน ถ้าเราเป็นอะไรไปอีกคน จะแย่เอา” “ค่ะป้า” ป้าดาถอนหายใจมองเด็กสาวเช็ดน้ำตาก่อนที่รถแท็กซี่จะมาพอดี ตะวันยืนส่งป้าดาจนรถขับออกไปลับตา เธอจึงเดินไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ ก่อนจะเข้าไปนอนเฝ้าแม่ต่อ ตะวันล้มตัวลงนอนบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า เธอคิดถึงชีวิตของตนเองกับแม่ที่ผ่านมาแทบไม่มีช่วงที่เรียกได้ว่าสบายเลย แม่ทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อส่งเสียเธอหวังให้ได้เรียนสูงๆ โชคดีที่ตะวันหัวดีสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาลขึ้นชื่อ แม้ว่าจะไม่ได้เรียนพิเศษเหมือนเด็กคนอื่นๆ ตะวันเองก็ช่วยหารายได้ตั้งแต่เด็ก ทั้งเป็นพนักงานคิดเงิน เด็กล้างจาน รับจ้างทำงานบ้าน จนได้มาช่วยที่ร้านคาเฟ่ของดวงตา พอนึกถึงเมตตา เธอก็คิดได้ว่าไม่ได้มีแต่เธอที่ลำบาก ชีวิตของเมตตาก็ผ่านอะไรมาเยอะ นี่ยังไม่รวมฤดีอีก เพื่อนรักของตะวันก็ยากจนข้นแค้นไม่ต่างกัน หญิงสาวนอนคิดถึงชะตาชีวิตจนผล็อยหลับไปในที่สุด ......................................................... เช้าวันรุ่งขึ้นป้าดาแวะเอาเสื้อผ้าและของกินมาให้ตะวันก่อนไปทำงาน ตะวันอาบน้ำแต่งตัวทานข้าวเสร็จเรียบร้อยก่อนที่คุณหมอจะมาตรวจอาการคุณแม่ คุณหมอขอคุยกับตะวันเป็นการส่วนตัวเพื่อบอกว่าแม่ป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งแม่น่าจะเป็นมานานแล้ว ตอนนี้มันรั่วมากขึ้น ถ้าไม่รีบรักษาอาการจะแย่ลงถึงขั้นเสียชีวิต หญิงสาวไปสอบถามเรื่องค่ารักษาพยาบาลของครั้งนี้ รวมถึงถ้าจะพาแม่มารักษาในครั้งต่อไป “ค่าใช้จ่ายครั้งนี้ทั้งหมด เก้าพันแปดร้อยบาทค่ะ” “ค่ะ แล้วถ้าเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ค่ารักษาอยู่ที่เท่าไหร่เหรอคะ” “น้องมีประกันสุขภาพไหมคะ” “ไม่มีค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงอ่อน “ค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 900,000-1,500,000 บาทค่ะ” “คะ แพงขนาดนี้เลยเหรอคะ” ตะวันตกใจเมื่อได้ยินจำนวนค่าใช้จ่าย พยาบาลสาวส่งยิ้มให้อย่างเข้าใจก่อนจะให้คำแนะนำ “น้องพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์การรักษาได้นะคะ ลองดูนะ” “ขอบคุณค่ะ” ตะวันชำระค่ารักษาพยาบาลโดยใช้เงินที่ยืมมาจากป้าดาสองหมื่นบาท เพราะอย่างที่เธอบอก ทั้งตัวตอนนี้ตะวันมีไม่ถึงห้าพันและต้องใช้ให้ถึงสิ้นเดือน แค่ลำพังค่ารถก็แทบจะไม่พอแล้ว ตะวันขึ้นไปเก็บข้าวของก่อนจะพาแม่นั่งแท็กซี่กลับบ้าน สองแม่ลูกอยู่บ้านด้วยกันทั้งวันเพราะตะวันไม่กล้าปล่อยให้แม่อยู่คนเดียวด้วยกลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป “แม่พักผ่อนเถอะ หายดีค่อยทำก็ได้” ตะวันดุผู้เป็นแม่ เมื่อเห็นเธอนั่งตัดด้ายกระเป๋าที่รับมาทำหารายได้ “แม่ทำไหวตะวัน แม่ดีขึ้นแล้ว” ผู้เป็นแม่ยังทำต่อไปเพราะอยากช่วยหาเงิน “แม่! แม่ฟังตะวันบ้างเถอะ” และแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา ทั้งความเหนื่อยล้าทั้งความเครียดกดดันเรื่องเงิน “ตะวัน ลูก แม่ขอโทษ แม่แค่อยากช่วย” แม่ตกใจที่เห็นลูกสาวร้องไห้ เธอรีบเดินไปกอดลูกสาวไว้ ตะวันปล่อยโฮออกมาครั้งนี้มันช่างเกินรับไหวจริงๆ “แม่ แม่อย่าทิ้งตะวันไปนะ อยู่ด้วยกันก่อนนะ” “แม่ไม่วันทิ้งลูกไปไหน ตะวันอย่าร้องไห้นะลูก แม่สัญญา แม่จะดูแลตัวเองให้ดี แม่จะไปรักษาตัว ตะวันไม่ต้องห่วงแม่นะลูก อย่างร้องเลยลูก” เพียงใจเช็ดน้ำตาให้ลูกสาวอย่างสงสาร สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้ต่างสงสารซึ่งกันและกัน ตะวันมองดูแม่ที่กำลังหลับพลางนึกถึงในอดีตตอนที่แม่เลี้ยงเธอมา เธอรู้ว่าการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นลำบากแค่ไหนแต่แม่กลับไม่เคยเอาความเหนื่อย ความกดดันมาใส่เธอเลย ทุกครั้งที่เธอมองไปที่แม่ แม่มีแต่รอยยิ้มให้เธอเสมอแม้ว่าตอนกลางคืนนั้นแม่จะแอบไปร้องไห้เพราะนึกว่าเด็กน้อยหลับไปแล้ว แม่ยอมอดเพื่อจะได้พาตะวันไปกินก๋วยเตี๋ยวหรือแม้กระทั่งยอมอดข้าวเที่ยงเพื่อพาเธอไปเที่ยวสวนสนุก ตะวันรู้ดีว่าแม่เหนื่อยมากแค่ไหน เธอเองก็อยากตอบแทนแม่ อยากให้แม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เธอกลัวเหลือเกิน กลัวว่าแม่จะจากไปก่อนที่เธอจะสามารถเลี้ยงดูแม่ได้ “ตะวัน” เสียงป้าดาปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ “ป้าดา” “แม่หลับเหรอ” “จ้ะป้า” “วันนี้ป้าเลิกเร็วน่ะ เจ้านายเค้าอนุญาตให้กลับเร็ว” เมื่อเช้าปกรณ์บังเอิญเห็นป้าดาออกมาจากโรงพยาบาลจึงเอ่ยถามเธอด้วยความเป็นห่วงตอนที่อยู่บ้านมาเฟียหนุ่มซึ่งเป็นจังหวะที่เขาเดินมาลงบันไดมาพอดีมาเฟียหนุ่มจึงได้ยินเรื่องแม่ของตะวัน เขาจึงเรียกป้าดาเข้าไปพบ “เรื่องผู้หญิงคนนั้นตกลงว่ายังไง ป้าดาได้ไปคุยอีกหรือยัง” เขาถามเสียงเรียบขณะนั่งบนเก้าอี้ทำงาน “ป้ายังไม่ได้คุยอีกค่ะ คือช่วงนี้แม่ของตะวันไม่สบาย เธอคงไม่มีกะจิตกะใจ” “ช่วงนี้ยิ่งเหมาะ ป้าไปยื่นข้อเสนอเรื่องรักษาพยาบาลให้เธอ ผมจ่ายไม่อั้น” “คุณจางคะ ทำไมต้องเป็นตะวันคะ” “ผมไม่จำเป็นต้องตอบ” มาเฟียหนุ่มตอบเสียงเย็นก่อนจะจ้องเธอเขม็ง “ค่ะ” ป้าแม่บ้านรีบก้มหน้าหลบตา เธอรู้ดีว่าถ้าเขาอยากได้สิ่งใดแล้วเขาต้องได้ “หวังว่าป้าจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง” “ค่ะ” ป้าดาเดินเข้ามาในบ้านของตะวันก่อนจะนั่งลงข้างๆ เธอ “ป้าดา ป้ามีอะไรหรือเปล่าคะ” “มี ป้ามีอาหารเยอะแยะเลย เอามาจากบ้านเจ้านาย ไปช่วยป้าขนมาที่นี่หน่อยได้ไหม จะได้แบ่งไว้กิน” หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ขอบคุณนะคะป้า” ตะวันยกมือไหว้อีกครั้ง เธอซาบซึ้งน้ำใจของหญิงคนนี้มาก เธอนึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีป้าดาเธอกับแม่จะเป็นอย่างไร แล้วทั้งสองคนก็เดินไปยังบ้านของป้าดาที่อยู่ติดกัน เมื่อเข้ามาในบ้านป้าดาก็เอ่ยสิ่งที่อยากพูดออกมาทันที “ตะวัน” “คะป้า” “ตะวันจำเรื่องที่ป้าเคยพูดได้ไหม” “จำได้ค่ะ เรื่องงานใช่ไหม” ทำไมตะวันจะไม่รู้ ท่าทีและน้ำเสียงของป้าดานั้นจะพูดถึงเรื่องใดไปไม่ได้นอกจากเรื่องนั้น “ป้าอยากให้ตะวันคิดดูอีกที” “คนๆ คือเจ้านายของป้าใช่ไหม” “ใช่ คุณจางหย่ง” ตะวันคิดไว้ไม่มีผิดว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างตั้งแต่วันที่เห็นเขามาที่ร้านคาเฟ่ “ข้อเสนอทุกอย่างยังเหมือนเดิม แล้วเขาก็เพิ่มค่ารักษาพยาบาลให้แม่ตะวันด้วย รักษาอย่างดีจนหายแล้วตะวันค่อยเริ่มงาน” หญิงสาวนิ่งไป เธอกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เงินมากมายขนาดนั้นเธอคงหาได้สักวันแต่ก็คงไม่เร็วพอจะเอามารักษาแม่ในตอนนี้ได้ “เขาจะยอมจ่ายเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ” “สำหรับเราน่ะเยอะ เยอะมาก แต่สำหรับคุณจาง เขามีเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน เผลอๆ อาจจะเป็นแสนล้าน เงินแค่นี้สำหรับเขาเหมือนเงินบาทสองบาทของเรา” “ตะวัน ป้ารู้นะว่าสำหรับลูกผู้หญิงอย่างเราเรื่องนี้มันยากมาก มันไม่ง่ายเลย แต่สิ่งที่ตะวันเป็นอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ง่ายเลยนะ ตะวันต้องหาเงินรักษาแม่ จะเอามาจากไหน ต่อให้ตะวันพาแม่ไปรักษาโรงพยาบาลรัฐบาล แต่เมื่อไหร่จะได้รักษาล่ะ ตะวันต้องลางาน ขาดรายได้ตอนที่พาแม่ไปหาหมอยังไม่รวมตอนที่แม่พักฟื้นอีกนะ ตอนนี้ทั้งบ้านมีเงินถึงห้าพันไหมตะวัน” หญิงสาวที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่สะท้อนใจเพราะสิ่งที่ป้าดาพูดนั้นมันถูกทุกอย่าง มันไม่ใช่แค่ค่ารักษาพยาบาลมันยังมีอีกหลายอย่างที่ตามมาและตอนนี้ทั้งบ้านเธอก็มีเงินไม่ถึงห้าพันถ้าไม่รวมเงินที่ยืมป้าดามาแถมยังไม่รู้ว่าจะมีเงินคืนป้าดาเมื่อไหร่ “ตะวัน ตะวันมีโอกาสจะได้พาแม่ไปรักษาตัว แถมได้รักษาในโรงพยาบาลที่ดีที่สุด มีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังจากผ่าตัด ตะวันไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน แค่ดูแลแม่ก็พอ แม่เองก็จะได้พักฟื้นในสิ่งแวดล้อมที่ดีสะดวกสบาย” หลังจากป้าดาพูดเสร็จทั้งสองก็อยู่ท่ามกลางความเงียบ ตะวันคิดตามสิ่งที่หญิงวัยกลางคนพูด อย่าว่าแต่เงินค่ารักษาพยาบาลเลย ตั้งแต่เธอจำความได้ แม่แทบไม่เคยพูดถึงเงินเก็บ ซึ่งก็เพราะมันไม่เคยมี “แล้วหนูต้องทำยังไงบ้างคะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม