ตอนที่ 9
คิดถึงเมีย
ร่างหนาเหยียดกายลุกขึ้น ใบหน้าหล่อเข้มมองเธอด้วยแววตาลุ่มลึก ไม่ใส่ใจในท่าทีตระหนกของเธอแม้แต่น้อย ขณะที่ การะเกด หันรีหันขวางและถอยเท้าออกห่างหนึ่งก้าว แล้วมองคนตรงหน้าอย่างฉงน
"แกเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง ที่นี่มีสายสิญจน์วางอาคม และมีเหล่ากุลาที่มีเวทมนต์คาถาอยู่รอบด้าน ทั้งพ่อและตาข้าก็นอนอยู่อีกห้อง แกอยากตายหรือไง?"
มุมปากของ จเร ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทว่าแววตาคู่สีนิลเข้มก็ดำมืดขึ้น เมื่อเหลือบมองเห็นอะไรบางอย่างบนลำคอขาวผ่องของหญิงสาว
"นั่นซินะ ไอ้ไกรกับพ่อตาข้า เหมือนจะฝีมือตกไปเยอะเลยนะ ข้ามานั่งในห้องนี้ตั้งนาน ไม่เห็นจะมีหมาตัวไหนมาทำอะไรได้"
"อย่าเข้ามานะข้าจะร้องให้คนช่วย"
หญิงสาวถอยห่างอีกหนึ่งก้าว และกำลังจะตะโกนเพื่อให้พ่อเพลิงและพ่อครูไกรศรได้รู้
"เจ้าไม่อยากรู้ตัวตนตัวเองรึไง? ไม่อยากรู้รึว่าสถานที่ในความฝันอันมืดมิดนั้นคือที่ไหน? ไม่สงสัยหรือไงว่าทำไมไอ้กำนันสิงห์มันถึงอยากจะแต่งงานกับเจ้านัก?"
ถ้อยคำนั้นทำให้เธอชะงักเล็กน้อย ใบหน้าหวานปานน้ำผึ้งหันกลับมามองเขา คำถามมากมายปรากฏอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวย
"หมายความว่ายังไง? ฉันก็คือลูกของพ่อเพลิงไง และการแต่งงานของฉันกับกำนันสิงห์ ก็เพื่อธุรกิจของตระกูลของเรา ตามคำทำนายของหมอสรวง"
แม้จะบอกไปเช่นนั้น แต่ความสงสัยมากมายก็ปรากฏอยู่ในแววตาของเธอ
"แน่ใจรึว่าแค่นั้น?"
"......"
"อยากจะตะโกนบอกใครก็ตามใจ เพราะนี่มิใช่ร่างจริงของข้า พ่อตาข้ากับไอ้ไกรมันทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่งั้นข้าจะมานั่งอยู่ในนี้ได้ยังไง?"
อีกฝ่ายเอ่ยยังยียวน เหมือนจะล่วงรู้ทุกความคิดของเธอ
เขาเป็นพ่อมดหมอผีหรืออย่างไรกัน?
"ใครเป็นพ่อตาแกกัน?"
การะเกดสวนกลับ เมื่อร่างของเธอชิดยังผนังห้อง
"พ่อของเมียก็คือพ่อตามิใช่รึ?"
"ฉันไม่ใช่เมียแก! อย่ามาเรียกฉันแบบนี้"
ริมฝีปากของการะเกดสั่นระริก แต่ไม่ทันจะเอ่ยอะไรต่อ ร่างบางของเธอก็ถูกวงแขนแข็งแรงรวบเข้าไปแนบชิดกับอกกว้าง
"ไม่ใช่เมียแล้วจะเป็นอะไร เอากันขนาดนั้น"
"อย่ามาพูดจาอย่างนี้กับข้าแกต้องการอะไร? พูดมาเลย"
จเร หลุบตาลงต่ำมองใบหน้าหวานที่เริ่มแดงระเรื่อแสนน่ารังแก พลันหัวใจแกร่งของเขา ก็อ่อนยวบลง
"ข้าคิดถึงเมีย"
ใบหน้าหล่อเหลาซุกลงยังซอกคอระหง สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนกายสาวที่เขาคนึงหามาหลายวันเข้าไปเต็มปอด ความนุ่มนิ่มของร่างในอ้อมกอดทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านก่อนหน้าของเขาเริ่มผ่อนคลายลง
"อย่ามาทำรุ่มร่ามบนเรือนข้านะ อย่าคิดว่าข้าจะกลัวคำขู่ของเจ้า บอกมาเกี่ยวกับเรื่องของข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะตะโกนร้องดังๆอย่าหวังว่าเจ้าจะได้ตายดี"
"ขู่ข้าจัง"
ชายหนุ่มคำรามต่ำในลำคอ ริมฝีปากเย็นกดจูบเบาๆยังผิวเนื้ออ่อน ขณะที่มือหนาไล้ลูบโลมแผ่นหลังเนียนภายใต้อาภรณ์ช้าๆ ขนอ่อนในกายของการะเกดเริ่มลุกชูชัน
ทว่าเธอก็พยายามสะกดกั้นอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่ ด้วยต้องการอยากรู้ในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดเมื่อสักครู่นี้
"ข้าไม่ได้ขู่! หากเจ้าอยากมีลมหายใจต่อก็จงพูดมาซะ เพราะคนของข้าและของพี่สิงห์ตรึงกำลังไว้มากมายอยู่รอบด้าน"
ดวงตาคู่สีนิลของ จเร ดำมืดขึ้น เมื่อได้ยินชื่อนั้นออกจากปากหญิงสาว ริมฝีปากหยักขบเม้มตรงตะขอสร้อยเพียงเบาๆ สร้อยเส้นนั้นก็หลุดกองลงมายังช่วงอกอิ่มของเธอ
"อย่าเอาของชายอื่นมาใส่บนตัวเจ้า!! ข้าไม่ชอบ!"
สร้อยเส้นนั้นโดนเหวี่ยงกระเด็นไปไกล เกินกว่าที่การะเกดจะเอื้อมมือไปคว้า ใบหน้าสวยหันมามองเขาอย่างฉุนเฉียว
“แกต้องการอะไรกันแน่? ทำแบบนี้ทำไม?”
“ข้าต้องการเจ้าไงการะเกด”
ใบหน้าคมกระซิบชิดริมหูขาว ท่าทีของเขาไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแม้เพียงนิดกับอาการร้อนรนของเธอในตอนนี้ “คิดว่าข้าทำขนาดนี้เพราะอยากได้อย่างอื่นนอกจากเจ้ารึยังไง?”
“ตาไกรศรบอกว่าเจ้าเป็นพวกเล่นของที่ต้องการเลือดของหญิงสาวจิตบริสุทธิ์เพื่อไปทำพิธีกรรมต่อชะตาให้ตนเอง เจ้าอยากได้เลือดข้าใช่รึไม่? ข้าจะได้กรีดให้เจ้าเสีย แล้วอย่าได้มายุ่งวุ่นวายกับข้าอีก”
ปากบอกเขาไปอย่างนั้น แต่เธอก็เหมือนกำลังจะร้องไห้
“ข้าไม่โง่งมอยากได้อะไรแบบนั้นดอก”
คางหนาเกยบนหัวไหล่เธอและหลับตาลงเหมือนอยากจะซึมซาบความอุ่นละมุนนี้ไว้ในใจ ขณะที่วงแขนแข็งแรงกำชับร่างบางให้แนบชิดมากขึ้น การะเกดนิ่งเงียบไปสักพัก
“อยากบอกนะว่าเจ้าแค่อยากจะนอนกับข้า ถึงกับต้องลงทุนทำอะไรเสี่ยงๆเช่นนี้”
ถึงแม้นี่คือจิตแทนเสมือนจริง แต่การะเกดรู้ดีว่าเขาจะมีเวลายืนอยู่ตรงนี้อีกไม่นาน อย่างไรก็ต้องหาทางรีบกลับเข้าร่างเดิมตามเวลาที่กำหนด และพ่อครูไกรศรที่นั่งภาวนาอยู่ด้านนอกจะต้องจับกระแสจิตได้ในไม่ช้า
แต่การที่เขาถอดจิตเสมือนจริงได้ขนาดนี้ นับว่าคนตรงหน้าฝึกปรืออาคมได้กล้าแกร่งยิ่งนัก
“ถ้าข้าตอบว่าใช่ละ”
จเร เงยหน้าขึ้น สายตาคมเข้มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวย การะเกดสังเกตว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเหมือนพวกคนกรุยผสมกับแขกมาลายู เขาอาจไม่ใช่คนลาว ส่วยหรือเขมรอย่างคนในพื้นที่ทางตอนใต้เป็นแน่
แสงอ่อนๆจากโคมไฟอันเล็กตรงมุมห้อง ฉาบไล้ให้เห็นใบหน้าเขาชัดๆ จเร มีดวงตากลมคมเข้มดั่งรัตติกาลพาดด้วยคิ้วหนารับกับจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหยักอิ่มได้รูป นับว่าเป็นบุรุษรูปงามตามตำรายิ่งกว่ากำนันสิงห์หรือชายหนุ่มในอำเภอรัตนบุรีที่เธอได้เจอมา
น่าเสียดายที่เขาเป็นคนที่ไม่สมควรจะอยู่ใกล้เพียงนิด
“ข้ารู้ว่าจิตเสมือนจริงของเจ้ามีเวลาอีกไม่นานนัก อื้อ...”
ไม่ทันจะเอ่อต่อน้ำเสียงของเธอก็หลุดไปในลำคอเมื่อริมฝีปากเย็นบดจูบยังเรียวปากอิ่มของเธออย่างหนักหน่วง ความรู้สึกวาบหวามแผ่ซ่านไปทั่วร่างเมื่อเขาเริ่มบดเคล้าและสอดลิ้นร้อนเข้ายังโพรงปากนุ่ม กอบโกยความหวานหอมภายใน ดูดดุนพันเกี่ยวดูดเม้มอย่างย่ามใจ จนร่างสาวอ่อนระทวยในอ้อมแขนแข็งแกร่ง
“อื้อ! อ๊ะ...”
เธอปรามท้วงในลำคอ เมื่อรู้สึกได้ว่าอุ้งมือหนาลูบไล้ยังสาบเสื้อด้านล่าง เกาะเกี่ยวตะขอชั้นในด้านหลังจนหลุด ขณะที่เขายังบดเคล้าจูบไม่ยอมห่างคล้ายจะฉกชิงลมหายใจของเธอไปด้วย ร่างของเธอถูกดันไปยังผนังห้อง
“ตั้งแต่วันนั้นข้าก็คิดถึงแต่เจ้า”
จเร ถอดถอนริมฝีปากออกแต่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้น สัมผัสกับรสชาติหวานล้ำที่เขาโหยหามาเนิ่นนานและรอคอยอย่างทรมาน แต่เหมือนเธอจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“ยะ ..อย่า บอกเรื่องของข้ามาก่อน”
แม้จะรู้สึกวาบหวามกับสัมผัสของเขาเพียงใด
แต่การะเกดก็ตะโกนบอกตัวเองในใจว่านี่คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเขาเป็นบุคคลอันตรายที่เธอไม่ควรจะเผลอตัวเผลอใจไปด้วยไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม
พลั่ก!!
เธอใช้กำลังทั้งหมดผลักร่างหนานั้นอย่างแรง จนอีกฝ่ายเซถลาชนกับขอบเตียงและแจกันบนโต๊ะที่อยู่ติดกับหัวเตียงหล่นลงพื้นแตกกระจาย
เพล้ง!!
“การะเกด เป็นอะไรรึไม่?”
เสียงของแม่ธารทิพย์อยู่นอกห้อง ทำให้คิ้วสวยยกขึ้นและจ้องมองเขาเขม็ง ขณะที่ดวงตาคมเข้มของชายหนุ่มหรี่แคบลง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเวลาของจิตเสมือนจริงของเขาใกล้หมดลงแล้ว
จเร จึงเอ่ยบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อย่าให้ไอ้เวรนั่นหรือผู้ชายหน้าไหนมาสัมผัสใกล้ชิดเจ้าแบบนั้นอีก ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย”
แววตาเขาดุกร้าวขึ้น จนการะเกดรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง
“และเรื่องนั้นเจ้าจะได้รู้...เมื่อถึงงานลงเสาเอกเมืองช้างแห่งใหม่”
ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา
ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น และลูกกระสุนลงอาคมจะพุ่งไปยังร่างเสมือนจริงนั้นอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง!!
**************