ช่วงชิง
ตอนที่ 1
ช่วงชิง
จังหวัดสุรินทร์ พุทธศักราช ๒๕๑๙
ร่างอรชรของหญิงสาวในวัยสิบเก้าย่างยี่สิบก้าวลงจาก เรือนใหญ่ของ พ่อครูไกรศร และ แม่จำปา พ่อครูผู้กว้างขวางแห่งหมู่บ้านตาดแดด ขณะที่เจ้าของเรือนทั้งสองตามลงมาส่งถึงบันใดด้านล่าง ยังรถกระบะที่จอดรอไว้อยู่แล้ว สายตาของทั้งคู่มองหญิงสาวตรงหน้า ด้วยแววตาแห่งความรักอย่างเปี่ยมล้น
“กลับดีๆนะการะเกด วันหลังมาเยี่ยมตากับยายอีกนะ”
พ่อครูไกรศร บอกด้วยความเอ็นดู
“ฉันจะมาบ่อยๆจ้ะ แต่ช่วงนี้พ่อเพลิงกับแม่ทิพย์ค่อนข้างยุ่งเพราะต้องเตรียมพิธีงานแต่งงานของฉันกับท่านกำนันสิงห์ช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวนี้”
การะเกด บอกทั้งสอง แม้จะไม่เข้าใจที่พ่อกับแม่บอกมากนัก ตั้งแต่จำความได้ว่าทำไมถึงย้ำกับเธออยู่เสมอว่าพ่อครูไกรศรและจำปา แห่งหมู่บ้านตาดแดดคือตากับยายของตน เพราะดูแล้วทั้งคู่ก็ยังอายุไม่เยอะและดูอ่อนวัยกว่า นายฮ้อยเพลิงและแม่ธารทิพย์ของตนเสียอีก
ทว่าเมื่อเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แม่ทิพย์ก็ได้อธิบายให้เธอเข้าใจทีละนิด ถึงเรื่องจิตบริสุทธิ์ข้ามภพ และบอกว่าแท้จริงแล้ว แม่ทิพย์คือลูกสาวของ พ่อครูไกรศร กับ คุณยายจำปา
แม่ทิพย์และยายจำปา คือหญิงข้ามภพ
และตั้งแต่เด็กเธอมักจะแวะเวียนไปมาระหว่างเมืองรัตนะบุรี กับเรือนของพ่อครูไกรศร ที่หมู่บ้านตาดแดดอยู่เสมอจนคุ้นชิน และได้รับความรักที่อบอุ่นท่วมท้นจากทั้งสองบ้าน ดั่งเป็นครอบครัวเดียวกัน
จนกระทั่งบัดนี้ที่เธอพร้อมจะออกเรือนแต่งงานเป็นฝั่งฝา
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงดอก ตากับยายจะช่วยเตรียมการให้ด้วย ช่วงนี้เจ้าอย่าได้ริอาจเถลไถลนัก เห็นว่าไปฝึกยิงปืนขี่ม้าขี่ช้างขับรถ ก๋ากั่นมิต่างจากเด็กผู้ชาย”
จำปา เอ่ยปรามหลานสาวสุดรัก ที่ไม่ได้เรียบร้อยดั่งกุลสตรีเลยสักนิด แถมธารทิพย์ลูกสาวของเธอยังมาฟ้องและบ่นให้ฟังบ่อยๆถึงพฤติกรรมของหลานสาวที่ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าในแต่ละวัน
“แค่ฝึกเองจ้ะคุณยาย ก็ฉันอยากจะเก่งเหมือนแม่ทิพย์กับยายจำปานี่จ้ะ”
การะเกด ออดอ้อนอย่างรู้งาน นั่นทำให้จำปา อดจะยิ้มมุมปากเสียไม่ได้
เขาว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ท่าจะจริง
อย่างไรก็แล้วแต่ การะเกด หลานรักจะต้องผ่านช่วงเวลาชีวิตในวัยยี่สิบปีนี้ให้ได้ หากได้แต่งงานกับบุรุษที่ตรงตามตำราตามที่ หมอสรวง ได้ทำนายไว้
กล้าแกร่ง อาจหาญ จากบูรพาทิศ
จะเป็นใครเสียไม่ได้หากไม่ใช่ กำนันสิงห์ บุรุษรูปงามแห่งท่าตะมะลูกหลานท่านหลวงและขุนยอดเจ้าเมืองเก่าแก่ของประทายสมันต์
“รีบกลับเสียเถิด เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อนเดี๋ยวเพลิงกับทิพย์จะเป็นกังวล อ้าวไอ้กล้าไอ้เข่งเอาของขึ้นรถให้เร็วๆ”
พ่อครูไกรศร ตะโกนบอกไอ้กล้ากับไอ้เข่ง ขณะที่ ไอ้เจิดและอีแจ่ม ที่เป็นคนของนายฮ้อยเพลิงรีบก้าวขึ้นรถ โดยของกินและของใช้ที่จะนำไปให้กับบ้านใหญ่ที่รัตนะบุรี ถูกลำเลียงขึ้นหลังจากนั้นไม่นานนัก ก่อนที่ไอ้เจิดจะสตาร์ทรถและพาเคลื่อนออกจากเรือนใหญ่
โดยมี พ่อครูไกรศร กับจำปามองตามจนลับตา
“ข้ามีลางสังหรณ์แปลกๆ”
“ทำไมรึ?”
จำปาเอ่ยถามผัวตน
“เปล่าๆ”
ไกรศร ส่ายหน้าไปมา แม้จะมีบางอย่างผุดขึ้นแต่ก็อ่อนกำลังจนเขาจับกระแสจิตไม่ได้ อาจเป็นการก่อกวนของเจ้ากรรมนายเวรบางกลุ่มที่รบกวนสมาธิและเขาคงจะคิดมากเกินไป อีกทั้งไม่อยากให้เมียรักต้องมาเป็นกังวล
“ไม่มีอะไรดอก ขึ้นเรือนเถิด เจ้าไพรสันต์น่าจะหิวแล้ว”
.
.
ครืนๆ ๆ เปรี้ยงๆ ๆ
ฝนเดือนเจ็ดที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนน้ำเจิ่งนองสองข้างทาง แทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า จน ไอ้เจิด ต้องชะลอรถและขับอย่างระมัดระวัง
“โห หนักมาก ขับดี ๆ เด้ออ้าย”
แจ่ม ที่นั่งด้านหลังบอกอย่างกังวล ขณะที่ การะเกด นั่งข้างๆ เอาแต่จ้องมองกระจกรถด้วยความฉงน เพราะมีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งตามมาตลอดตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านตาดแดด
ถนนสายหลักจากตาดแดดไปยังรัตนะบุรีนั้นค่อนข้างเปลี่ยว และชาวบ้านในยุคนั้นน้อยคนที่จะมีรถกระบะขับ ส่วนใหญ่ยังเดินทางด้วยม้าและเกวียน ทว่าบ้านของเธอนั้นถือว่าเป็นเศรษฐีแห่งจังหวัดสุรินทร์ หลังจากเปลี่ยนชื่อมาจากเมืองประทายสมันต์มาเป็นจังหวัดได้ไม่นานนัก
เดิมทีพ่อของเธอเป็นพ่อค้าควายที่ยิ่งใหญ่แห่งอีสานตอนใต้ ไม่มีใครทั่วอีสานไม่รู้จัก นายฮ้อยเพลิง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการค้าวัวควาย ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปทั้งการคมนาคมและการปกครอง แม่ธารทิพย์ ผู้ฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง ได้เล็งเห็นว่า การค้าส่งไม้ เป็นธุรกิจที่จะต่อยอดให้ร่ำรวยต่อจากกิจการค้าวัวควายได้
เธอจึงเป็นลูกสาวของ เศรษฐีค้าไม้ที่ร่ำรวยแห่งอีสานใต้
“ข้าชะลอให้แซงแล้วหนา ใยไม่แซงไปเล่า”
ไอ้เจิด บ่นอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นรถคันหลังยังคงขับตามจี้ไม่หยุดหย่อน ทว่าไม่นานนักรถคันดังกล่าวก็ปราดแซงขึ้นมาก่อนจะเบี่ยงมาดักหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้รถต้องเบรกดังลั่น!
เอี๊ยด!!!
“ไอ้ห่า!! อีหยังของมันวะ!”
ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรต่อ ชายร่างหนาผู้หนึ่งก็ก้าวลงจากรถ สายฝนที่โปรยปรายนั้น ทำให้ การะเกด เห็นหน้าเขาผู้นั้นไม่ชัดทั้งเขายังมีผ้าดำปิดหน้าตา ทว่าก่อนที่เธอจะทำอะไรต่อ ชายคนนั้นก็ปรี่มายังฝั่งที่เธอนั่งและเปิดประตูรถออกอย่างรวดเร็ว
“จะทำอะไร?!!”
หญิงสาวอุทานอย่างตระหนก เมื่อมือหนาอุ่นของชายผู้นั้น ดึงข้อมือเธอให้ลงมา และเอ่ยเสียงเข้ม
“ไปกับข้า!”
“มะ..ไม่ไปปล่อยฉันนะ!”
พอจะเรียนวิชาการต่อสู้ และคาถาอาคมมาจากทั้งพ่อและตาไกรศร เธอจึงสะบัดตัวเหวี่ยงออกก่อนจะพึมพำคาถาหลบหลีกและเอื้อมมือเพื่อจะกดนิ้วยังหน้าผากของอีกฝ่าย
หมับ!!
“คาถาพื้น ๆแค่นี้ ทำอันใดข้าไม่ได้ดอก การะเกด!”
ถ้อยคำเรียบนิ่งจากปากชายผู้นั้นเหมือนจะสะกดเธอไว้ไม่ให้ไหวติง เพียงสัมผัสกับผิวสีแทนตรงหน้าผาก ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ
ชายผู้นี้ ไม่มีดวงจิตให้เชื่อมมนต์
นี่คือกายหยาบ ที่เป็นร่างแทน...
เปรี้ยง!!!
กระสุนปืนจากมือของ ไอ้เจิด จ่อเข้ายังหน้าอกของชายผู้นั้น ก่อนที่เอ่ยเสียงเหี้ยม ด้วยคาดการณ์ว่านี่อาจเป็นพวกชุมเสือโจรที่มาคอยดักปล้นและเรียกค่าไถ่ นายน้อยการะเกดแห่งโรงค้าไม้รัตนะบุรี เป็นแน่แท้
เช่นนั้นก็แดกลูกปืนไปเสียเถิดมึง!
“ปล่อยนายน้อยนะมึง!!”
เปรี้ยง!
มุมปากของชายผู้นั้นยกยิ้มขึ้น
ดวงตาคู่สีนิลดั่งรัตติกาล มองไอ้เจิดอย่างเรียบเฉย มิหวั่นเกรงต่อกระสุนที่พุ่งมาจากกระบอกปืนยาวเลยสักนิด ทั้งร่างหนาสีแทนนั้น มิได้สะเทือนเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้เหี้ย!! มึงตัวอะไรวะเนี่ย”
ไอ้เจิด ตะโกนดังกึกก้อง ทว่าเหมือนร่างกายมันขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้เพียงนิด ทั้งที่มันพยายามตะเกียกตะกายที่จะวิ่งมาด้านล่าง เพื่อฉุดรั้งร่างนายน้อยการะเกดกลับคืนมา มันจึงทำได้แต่เพียงเหนี่ยวไกซ้ำเล็งยังร่างชายผู้นั้นจนกระสุนหมด
เปรี้ยงๆ ๆ
ทว่า ห่ากระสุนนั้นกลับร่วงลงสู่พื้นดินและผสานกับหยาดน้ำฝนจากท้องนภา ดั่งไม่มิสิ่งใดเกิดขึ้น
ไอ้หมอนี่มันเป็นผู้ใด!!
“ไอ้พวกคนเล่นของ!!มึงเป็นใคร! บังอาจมาเหยียบจมูกเสือทั้งท่านเพลิงกับพ่อครู ท่านไม่เอามึงไว้แน่ ๆ!!”
“ฮึ!”
เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอของชายลึกลับผู้นั้น มือหนาดึงรั้งผ้าคาดดำที่ปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นความคมเข้มหล่อเหลาราวเทพบุตร
“ยังไงกูฝากบอกมันทั้งสองด้วยละกัน ..ว่าลูกสาวและหลานสุดที่รักของมัน ถูกกูฉุดไปแล้วมันจะได้ล้มเลิกงานแต่งกับกำนันสิงห์หน้าโง่นั่น”
สุรเสียงเย็นยะเยือกนั่น ทำเอา ไอ้เจิด ตัวชาวาบ
ในทั่วแดนอีสานใต้นี้ มิมีใครกล้าต่อกรกับท่านเพลิงและพ่อครูไกรศร ผู้แก่กล้าวิชาและเปี่ยมด้วยอำนาจบารมีเลยสักคน อีกทั้งฝั่งกำนันสิงห์ก็ขึ้นชื่อเรื่องนอกกฎหมาย หากทำเช่นนั้นมันผู้นั้นย่อมไร้แผ่นดินอยู่และมิได้ตายดีแน่!
แต่ไอ้หมอนี่กลับเอ่ยถึงทั้งสองอย่างไม่สะทกสะท้าน!
“มะ..มึงเป็นใครรึ?”
ครืน!!!
ร่างหนาหันมามองอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“นามของกู ....หมอจเร”
*************