ช่วงชิง

1574 คำ
ตอนที่ 1 ช่วงชิง จังหวัดสุรินทร์ พุทธศักราช ๒๕๑๙ ร่างอรชรของหญิงสาวในวัยสิบเก้าย่างยี่สิบก้าวลงจาก เรือนใหญ่ของ พ่อครูไกรศร และ แม่จำปา พ่อครูผู้กว้างขวางแห่งหมู่บ้านตาดแดด ขณะที่เจ้าของเรือนทั้งสองตามลงมาส่งถึงบันใดด้านล่าง ยังรถกระบะที่จอดรอไว้อยู่แล้ว สายตาของทั้งคู่มองหญิงสาวตรงหน้า ด้วยแววตาแห่งความรักอย่างเปี่ยมล้น “กลับดีๆนะการะเกด วันหลังมาเยี่ยมตากับยายอีกนะ” พ่อครูไกรศร บอกด้วยความเอ็นดู “ฉันจะมาบ่อยๆจ้ะ แต่ช่วงนี้พ่อเพลิงกับแม่ทิพย์ค่อนข้างยุ่งเพราะต้องเตรียมพิธีงานแต่งงานของฉันกับท่านกำนันสิงห์ช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวนี้” การะเกด บอกทั้งสอง แม้จะไม่เข้าใจที่พ่อกับแม่บอกมากนัก ตั้งแต่จำความได้ว่าทำไมถึงย้ำกับเธออยู่เสมอว่าพ่อครูไกรศรและจำปา แห่งหมู่บ้านตาดแดดคือตากับยายของตน เพราะดูแล้วทั้งคู่ก็ยังอายุไม่เยอะและดูอ่อนวัยกว่า นายฮ้อยเพลิงและแม่ธารทิพย์ของตนเสียอีก ทว่าเมื่อเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แม่ทิพย์ก็ได้อธิบายให้เธอเข้าใจทีละนิด ถึงเรื่องจิตบริสุทธิ์ข้ามภพ และบอกว่าแท้จริงแล้ว แม่ทิพย์คือลูกสาวของ พ่อครูไกรศร กับ คุณยายจำปา แม่ทิพย์และยายจำปา คือหญิงข้ามภพ และตั้งแต่เด็กเธอมักจะแวะเวียนไปมาระหว่างเมืองรัตนะบุรี กับเรือนของพ่อครูไกรศร ที่หมู่บ้านตาดแดดอยู่เสมอจนคุ้นชิน และได้รับความรักที่อบอุ่นท่วมท้นจากทั้งสองบ้าน ดั่งเป็นครอบครัวเดียวกัน จนกระทั่งบัดนี้ที่เธอพร้อมจะออกเรือนแต่งงานเป็นฝั่งฝา “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงดอก ตากับยายจะช่วยเตรียมการให้ด้วย ช่วงนี้เจ้าอย่าได้ริอาจเถลไถลนัก เห็นว่าไปฝึกยิงปืนขี่ม้าขี่ช้างขับรถ ก๋ากั่นมิต่างจากเด็กผู้ชาย” จำปา เอ่ยปรามหลานสาวสุดรัก ที่ไม่ได้เรียบร้อยดั่งกุลสตรีเลยสักนิด แถมธารทิพย์ลูกสาวของเธอยังมาฟ้องและบ่นให้ฟังบ่อยๆถึงพฤติกรรมของหลานสาวที่ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้าในแต่ละวัน “แค่ฝึกเองจ้ะคุณยาย ก็ฉันอยากจะเก่งเหมือนแม่ทิพย์กับยายจำปานี่จ้ะ” การะเกด ออดอ้อนอย่างรู้งาน นั่นทำให้จำปา อดจะยิ้มมุมปากเสียไม่ได้ เขาว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ท่าจะจริง อย่างไรก็แล้วแต่ การะเกด หลานรักจะต้องผ่านช่วงเวลาชีวิตในวัยยี่สิบปีนี้ให้ได้ หากได้แต่งงานกับบุรุษที่ตรงตามตำราตามที่ หมอสรวง ได้ทำนายไว้ กล้าแกร่ง อาจหาญ จากบูรพาทิศ จะเป็นใครเสียไม่ได้หากไม่ใช่ กำนันสิงห์ บุรุษรูปงามแห่งท่าตะมะลูกหลานท่านหลวงและขุนยอดเจ้าเมืองเก่าแก่ของประทายสมันต์ “รีบกลับเสียเถิด เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อนเดี๋ยวเพลิงกับทิพย์จะเป็นกังวล อ้าวไอ้กล้าไอ้เข่งเอาของขึ้นรถให้เร็วๆ” พ่อครูไกรศร ตะโกนบอกไอ้กล้ากับไอ้เข่ง ขณะที่ ไอ้เจิดและอีแจ่ม ที่เป็นคนของนายฮ้อยเพลิงรีบก้าวขึ้นรถ โดยของกินและของใช้ที่จะนำไปให้กับบ้านใหญ่ที่รัตนะบุรี ถูกลำเลียงขึ้นหลังจากนั้นไม่นานนัก ก่อนที่ไอ้เจิดจะสตาร์ทรถและพาเคลื่อนออกจากเรือนใหญ่ โดยมี พ่อครูไกรศร กับจำปามองตามจนลับตา “ข้ามีลางสังหรณ์แปลกๆ” “ทำไมรึ?” จำปาเอ่ยถามผัวตน “เปล่าๆ” ไกรศร ส่ายหน้าไปมา แม้จะมีบางอย่างผุดขึ้นแต่ก็อ่อนกำลังจนเขาจับกระแสจิตไม่ได้ อาจเป็นการก่อกวนของเจ้ากรรมนายเวรบางกลุ่มที่รบกวนสมาธิและเขาคงจะคิดมากเกินไป อีกทั้งไม่อยากให้เมียรักต้องมาเป็นกังวล “ไม่มีอะไรดอก ขึ้นเรือนเถิด เจ้าไพรสันต์น่าจะหิวแล้ว” . . ครืนๆ ๆ เปรี้ยงๆ ๆ ฝนเดือนเจ็ดที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนน้ำเจิ่งนองสองข้างทาง แทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า จน ไอ้เจิด ต้องชะลอรถและขับอย่างระมัดระวัง “โห หนักมาก ขับดี ๆ เด้ออ้าย” แจ่ม ที่นั่งด้านหลังบอกอย่างกังวล ขณะที่ การะเกด นั่งข้างๆ เอาแต่จ้องมองกระจกรถด้วยความฉงน เพราะมีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งตามมาตลอดตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านตาดแดด ถนนสายหลักจากตาดแดดไปยังรัตนะบุรีนั้นค่อนข้างเปลี่ยว และชาวบ้านในยุคนั้นน้อยคนที่จะมีรถกระบะขับ ส่วนใหญ่ยังเดินทางด้วยม้าและเกวียน ทว่าบ้านของเธอนั้นถือว่าเป็นเศรษฐีแห่งจังหวัดสุรินทร์ หลังจากเปลี่ยนชื่อมาจากเมืองประทายสมันต์มาเป็นจังหวัดได้ไม่นานนัก เดิมทีพ่อของเธอเป็นพ่อค้าควายที่ยิ่งใหญ่แห่งอีสานตอนใต้ ไม่มีใครทั่วอีสานไม่รู้จัก นายฮ้อยเพลิง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการค้าวัวควาย ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปทั้งการคมนาคมและการปกครอง แม่ธารทิพย์ ผู้ฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง ได้เล็งเห็นว่า การค้าส่งไม้ เป็นธุรกิจที่จะต่อยอดให้ร่ำรวยต่อจากกิจการค้าวัวควายได้ เธอจึงเป็นลูกสาวของ เศรษฐีค้าไม้ที่ร่ำรวยแห่งอีสานใต้ “ข้าชะลอให้แซงแล้วหนา ใยไม่แซงไปเล่า” ไอ้เจิด บ่นอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นรถคันหลังยังคงขับตามจี้ไม่หยุดหย่อน ทว่าไม่นานนักรถคันดังกล่าวก็ปราดแซงขึ้นมาก่อนจะเบี่ยงมาดักหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้รถต้องเบรกดังลั่น! เอี๊ยด!!! “ไอ้ห่า!! อีหยังของมันวะ!” ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรต่อ ชายร่างหนาผู้หนึ่งก็ก้าวลงจากรถ สายฝนที่โปรยปรายนั้น ทำให้ การะเกด เห็นหน้าเขาผู้นั้นไม่ชัดทั้งเขายังมีผ้าดำปิดหน้าตา ทว่าก่อนที่เธอจะทำอะไรต่อ ชายคนนั้นก็ปรี่มายังฝั่งที่เธอนั่งและเปิดประตูรถออกอย่างรวดเร็ว “จะทำอะไร?!!” หญิงสาวอุทานอย่างตระหนก เมื่อมือหนาอุ่นของชายผู้นั้น ดึงข้อมือเธอให้ลงมา และเอ่ยเสียงเข้ม “ไปกับข้า!” “มะ..ไม่ไปปล่อยฉันนะ!” พอจะเรียนวิชาการต่อสู้ และคาถาอาคมมาจากทั้งพ่อและตาไกรศร เธอจึงสะบัดตัวเหวี่ยงออกก่อนจะพึมพำคาถาหลบหลีกและเอื้อมมือเพื่อจะกดนิ้วยังหน้าผากของอีกฝ่าย หมับ!! “คาถาพื้น ๆแค่นี้ ทำอันใดข้าไม่ได้ดอก การะเกด!” ถ้อยคำเรียบนิ่งจากปากชายผู้นั้นเหมือนจะสะกดเธอไว้ไม่ให้ไหวติง เพียงสัมผัสกับผิวสีแทนตรงหน้าผาก ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ ชายผู้นี้ ไม่มีดวงจิตให้เชื่อมมนต์ นี่คือกายหยาบ ที่เป็นร่างแทน... เปรี้ยง!!! กระสุนปืนจากมือของ ไอ้เจิด จ่อเข้ายังหน้าอกของชายผู้นั้น ก่อนที่เอ่ยเสียงเหี้ยม ด้วยคาดการณ์ว่านี่อาจเป็นพวกชุมเสือโจรที่มาคอยดักปล้นและเรียกค่าไถ่ นายน้อยการะเกดแห่งโรงค้าไม้รัตนะบุรี เป็นแน่แท้ เช่นนั้นก็แดกลูกปืนไปเสียเถิดมึง! “ปล่อยนายน้อยนะมึง!!” เปรี้ยง! มุมปากของชายผู้นั้นยกยิ้มขึ้น ดวงตาคู่สีนิลดั่งรัตติกาล มองไอ้เจิดอย่างเรียบเฉย มิหวั่นเกรงต่อกระสุนที่พุ่งมาจากกระบอกปืนยาวเลยสักนิด ทั้งร่างหนาสีแทนนั้น มิได้สะเทือนเลยแม้แต่น้อย “ไอ้เหี้ย!! มึงตัวอะไรวะเนี่ย” ไอ้เจิด ตะโกนดังกึกก้อง ทว่าเหมือนร่างกายมันขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้เพียงนิด ทั้งที่มันพยายามตะเกียกตะกายที่จะวิ่งมาด้านล่าง เพื่อฉุดรั้งร่างนายน้อยการะเกดกลับคืนมา มันจึงทำได้แต่เพียงเหนี่ยวไกซ้ำเล็งยังร่างชายผู้นั้นจนกระสุนหมด เปรี้ยงๆ ๆ ทว่า ห่ากระสุนนั้นกลับร่วงลงสู่พื้นดินและผสานกับหยาดน้ำฝนจากท้องนภา ดั่งไม่มิสิ่งใดเกิดขึ้น ไอ้หมอนี่มันเป็นผู้ใด!! “ไอ้พวกคนเล่นของ!!มึงเป็นใคร! บังอาจมาเหยียบจมูกเสือทั้งท่านเพลิงกับพ่อครู ท่านไม่เอามึงไว้แน่ ๆ!!” “ฮึ!” เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอของชายลึกลับผู้นั้น มือหนาดึงรั้งผ้าคาดดำที่ปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นความคมเข้มหล่อเหลาราวเทพบุตร “ยังไงกูฝากบอกมันทั้งสองด้วยละกัน ..ว่าลูกสาวและหลานสุดที่รักของมัน ถูกกูฉุดไปแล้วมันจะได้ล้มเลิกงานแต่งกับกำนันสิงห์หน้าโง่นั่น” สุรเสียงเย็นยะเยือกนั่น ทำเอา ไอ้เจิด ตัวชาวาบ ในทั่วแดนอีสานใต้นี้ มิมีใครกล้าต่อกรกับท่านเพลิงและพ่อครูไกรศร ผู้แก่กล้าวิชาและเปี่ยมด้วยอำนาจบารมีเลยสักคน อีกทั้งฝั่งกำนันสิงห์ก็ขึ้นชื่อเรื่องนอกกฎหมาย หากทำเช่นนั้นมันผู้นั้นย่อมไร้แผ่นดินอยู่และมิได้ตายดีแน่! แต่ไอ้หมอนี่กลับเอ่ยถึงทั้งสองอย่างไม่สะทกสะท้าน! “มะ..มึงเป็นใครรึ?” ครืน!!! ร่างหนาหันมามองอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ “นามของกู ....หมอจเร” *************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม