ขบวนศพเคลื่่อนไปเรื่อยจนกระทั่งถึงสุสานสกุลหาน ซึ่งมันถูกตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้
ซูอันเดินเลี่ยงออกมายืนริมหน้าผา ด้านล่างเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ความสูงมันไม่ได้มากมายนัก บรรยากาศรอบตัวมันทำให้นางนึกถึงวัยเด็กของตน ที่ต้องตื่นขึ้นมาฝึกหนักทุกวันในป่า
ทว่าบัดนี้ตนได้กลายเป็นคุณหนูกำพร้าในยุคโบราณไปแล้ว ไม่มีใครมาตั้งกฎเหมือนแต่ก่อน จากนี้หานซูอันจะของใช้ชีวิตในแบบของตน ไม่ต้องฟังคำสั่งใครอีกแล้ว
“ลมแรงนะ ประเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เสียงทุ้มอ่อนดังมา ทำให้ใบหน้างามต้องหันมามองในทันที
นางยกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นว่าคนที่เอ่ยกับตนคือสามี และยังมีบุรุษที่คุ้นหน้าอีกสองคนยืนอยู่ด้วย ‘คงทำเอาหน้าสินะ’ นึกในใจถึงการกระทำของสามี เขากำลังแสดงความห่วงใยจนน่าหมั่นไส้ ก่อนหน้านี้ที่เกิดเรื่องหายหัวไปไหนมาไม่ทราบ
อวี้หรานมองสีหน้าและแววตาฮูหยินตนแล้วก็ใจหาย นางคงโกรธเขาเรื่องที่หน้าประตูเมืองเป็นแน่
ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ใช่ว่าเขาจะนิ่งเฉย หากคนสนิทของบิดาไม่รั้งไว้ตนก็เข้ามาช่วยนางแล้ว แต่พอได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ต้องชะงักไปไม่ต่างจากผู้อื่น เพราะมันเป็นเรื่องที่เกินคาดจริง ๆ นางเก่งมีวรยุทธ์ สามารถทำบุรุษร่างโตล้มได้ด้วยฝ่าเท้า ที่ตวัดขึ้นมาจากทางด้านหลังเพียงแค่ครั้งเดียว มันไม่น่าเชื่อเลย
ซูอันย่อตัวคาระวะราชนิกูลทั้งสองที่ยืนมองด้วยสายตาไม่ต่างกันนัก คงสงสัยเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูเมืองกระมัง
“ตามสบายเถอะ ข้าแค่จะมาส่งหมอหลวงหานเป็นครั้งสุดท้าย” จวิ้นอ๋องเอ่ยบอกพระประสงค์ของตน
“ข้ามาตามรับสั่งเสด็จพ่อ” เหยียนมู่ฟานรีบเอ่ยบ้าง เขาไม่ค่อยกล้าสบตานางนัก เห็นแล้วมันหดหู่อย่างไรไม่รู้ องค์ชายสี่อดนึกถึงภาพที่นางนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไม่ได้
ใบหน้าของหานซูอันในวันนั้นซีดเผือดไร้สีสัน มือก็เหี่ยวย่นเพราะแช่อยู่ในน้ำนาน สภาพดูไม่ได้เลยสักนิด ถึงแม้ในยามนี้นางจะดูดีขึ้นก็เถอะ ทว่ามันกลับไร้ความสดใส ยิ่งไปกว่านั้นคือท่าทางของนางก็นิ่งจนยากจะคาดเดา ดูน่ากลัวอย่างไรไม่รู้
“ขอบพระทัยทั้งสองพระองค์เพคะ หากท่านพ่อรู้ คงนอนตายตาหลับแล้ว” นางเอ่ยกับทั้งคู่อย่างมีมารยาท และมันก็เป็นชนวนชวนให้ทั้งสามขบคิดกันอีกแล้ว
หานซูอันเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน นางสงบนิ่ง ดูเย็นชาเหมือนคนไม่มีหัวใจ แม้แต่ร้องไห้ให้กับคนตายยังไม่มีใครได้เห็น แววตานางก็ไม่ได้เศร้าเลยสักนิด ต่อให้เป็นบุตรที่เอาแต่ใจตน แต่ถ้าขาดที่พึ่งไปเช่นนี้ นางก็ควรต้องร่ำไห้มิใช่หรือ แต่เหตุไฉนถึงทำเหมือนผู้ที่นอนอยู่ในโลงมิใช่ญาติตนเช่นนี้
ครึ่งชั่วยามต่อมา พิธีฝังศพของผู้วายชนม์ก็จบสิ้นลง ตลอดงานจวิ้นอ๋องเฝ้าสังเกตถึงพฤติกรรมหานซูอันอยู่ตลอด นางไม่มีน้ำตาเลยสักหยดจริง ๆ น้ำเสียงก็ราบเรียบไม่มีสั่นเครือ
มันเป็นไปได้หรือที่นางไม่เสียใจกับการจากไปของบิดาเลย
หากมีคนถาม นางก็คงตอบว่า ‘ไม่’ เพราะคนที่อยู่ในร่างนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับหมอหลวงหานเลย นางถูกชะตาเล่นตลก ชักพาให้ต้องมาตายในยุคนี้ ก่อนจะเกิดใหม่ในร่างของสตรีไม่เอาไหน ไม่ควรมีชื่อและหน้าตาเหมือนกันเลยด้วยซ้ำ
เมื่อภารกิจส่งร่างหมอหลวงหานจบลงแล้ว ทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันกลับ โดยมีรถลากที่หานซูอันจ้างมรับคนของตนกลับจวน ส่วนตัวนางกำลังจะขึ้นหลังม้า ก็มีมือหนึ่งมารั้งแขนไว้ก่อน
นางมองใบหน้าเขาก่อนจะเลื่อนลงมาที่มือเรียว อวี้หรานจึงรีบปล่อยทันที เพราะเขาเองก็ลืมตัวไปเช่นกัน
“เจ้าจะทำอันใด ขี่ม้าไปมันอันตรายนะ” เตือนด้วยความหวังดี เพราะหานซูอันไม่เคยขี่ม้าเลย
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ข้าดูแลตนเองได้ จากนี้เราก็ต่างคนต่างอยู่ไม่เกี่ยวข้องกัน ข้าจะตกม้าตายมันก็เรื่องของข้า ดูแลตัวท่านเองให้ดีเถอะ ระวังจะติดโรคตายเพราะความมักมากที่มี”
อวี้หรานรู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที จากนั้นก็เริ่มชาจนเกือบจะไม่รู้สึกอันใด หานซูอันช่างปากคอเราะร้ายนัก
มากไปกว่านั้นคือนางกำลังขึ้นไปนั่งบนหลังม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว พอจับบังเ**ยนได้ก็ใช้เท้าสองข้างตีกระทบลำตัวมัน ทำให้อาชาตัวดำเมี่ยมออกวิ่งในทันที ท่วงท่ายามควบม้าช่างงดงามราวกับสตรีในภาพวาด แม้จะอยู่ในชุดไว้ทุกก็เถอะ
“นะ…นางขี่ม้าเป็นตั้งแต่เมื่อใด” เหยียนมู่ฟานเดินมาจับไหล่สหายเอ่ยถามถึงสิ่งที่เขาพบเห็น
“ข้าก็ไม่รู้” ตอบเสียงเบา สายตาก็ยังมองตามร่างเล็กบนหลังม้า กระทั่งลับตาไปในชายป่า ‘หรือจริง ๆ แล้ว ตลอดมานางแอบซ่อนตัวตนเอาไว้ แสร้งทำเป็นคนเอาแต่ใจ นิสัยเสีย’ เถาอวี้หรานผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา
“กลับกันได้แล้ว” เสียงจากด้านหลังดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่ได้สติ และตลอดทาง จวิ้นอ๋องก็ได้ไต่ถามถึงเรื่องการหย่ากับเถาอวี้หราน ใช่ว่าเขาอยากจะยุ่ง ทว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น มันทำให้เขาอยากรู้สาเหตุถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปมากของหานซูอัน
อวี้หรานจึงเล่าข้อตกลงที่มีหนึ่งปีให้จวิ้นอ๋องฟัง ส่วนสาเหตุที่แท้จริงเขาไม่ได้กล่าวถึง ปล่อยให้ทุกคนคิดว่าหานซูอันอยากหย่าเองน่าจะดีกว่า เมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็คงจบ
“หึ! กลัวเสียชื่อเสียงสินะ จึงไม่ยอมหย่าให้นางในทันที แต่ช่างเถอะ นี่มันเรื่องของพวกเจ้าสองคน หากไม่อยากอยู่ด้วยกันก็เลิกลานั่นแหละถูกแล้ว เพียงแต่เจ้าต้องคิดให้ดี หานซูอันไม่มีใครแล้ว หากภายหน้าเจ้าหย่าให้นาง บุรุษที่ไหนจะมาแต่งด้วย สตรีกำพร้าไร้บารมีบิดาคุ้มหัว นิสัยก็แย่”
อวี้หรานยิ้มแห้งเมื่อได้ฟังคำก่นว่าที่กล่าวถึงฮูหยินเขาจากปากจวิ้นอ๋อง นึกไม่ถึงว่าบุรุษเย็นชาเงียบขรึมจะปากร้ายเพียงนี้ หรือว่าเคยมีอดีตอันใดกับหานซูอันกันนะ พอเอ่ยถึงนางสีหน้าท่าทางท่านอ๋องจึงดูไม่ค่อยชอบใจเลย
ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดของเขามันก็จริงดั่งว่า บุรุษที่ไหนจะรับสตรีที่แต่งงานแล้วเข้าจวนกันบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นฐานะทางบ้านก็ไม่เหมือนเดิม ไม่มีอำนาจบารมีใดค้ำจุนเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว
แต่จะให้เขาแบกรับหน้าที่เป็นสามีนางต่อ อวี้หรานไม่เอาด้วยแน่ ต่อให้ทั้งแผ่นดินเหลือนางคนเดียวก็เถอะ
หากเปรียบเป็นสิ่งที่เขารังเกียจ หานซูอันก็คือมูลสัตว์ที่ไม่น่าเข้าใกล้ แค่เห็นก็อยากจะอาเจียนแล้ว เขาไม่มีทางญาติดีกับนางได้แน่ ปล่อยให้นางเป็นอิสระน่ะดีแล้ว ไม่แน่ภายหน้าอาจมีคนรับความเป็นมาของนางได้ และยอมแต่งเข้าสกุลไปเป็นสะใภ้
อวี้หรานไม่ได้ตอบกลับจวิ้นอ๋อง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะหย่าอยู่แล้ว ภายในหนึ่งปี เอาเป็นว่าเขาจะช่วยให้นางสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งใครแล้วกัน อย่างไรเสีย ทรัพย์สมบัติของสกุลหานก็มีให้นางใช้ไปตลอดชีวิต โดยไม่ต้องลำบากแต่งเข้าสกุลใดทั้งนั้น แค่อยู่คนเดียวให้ได้ก็พอ
#ลูกสาวเราไร้ใจไปหน่อยไหมคะ ไม่มีน้ำตาเลย 55