เรื่องข่าวลือที่กระจายไปทั่ว ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลกง ไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบมาถึงเยว่ชิงที่นั่งจัดเตรียมสมุนไพรอยู่ใน
ทั้งบ่าวในจวนก็ไม่คิดจะเรื่องที่ได้ยินมา มาเล่าให้คุณหนูได้ฟัง เพราะไม่มีผู้ใดอยากจะเห็นคุณหนูของตนเจ็บปวดใจได้
พอกงป๋อเหวินและกงหลี่เฉียงกลับมาถึงจวน ตู้ซื่อจึงเล่าเรื่องที่น้องชายของนางมาโวยวายที่จวนให้พวกเขาฟัง
“เพ้ย เช่นนั้นเจ้าก็หาสินสอดกันเองเถิด” กงป๋อเหวินสะบัดชายเสื้อจากไปอย่างไม่ไยดี
“ท่านแม่ แล้วเรื่องนี้จะทำอย่างไรกันดี” กงหลี่เฉียงยามนี้ก็ทำตัวเป็นบัณฑิตให้คนภายนอกดู
แต่ความจริงแล้วเขายังไม่อาจสอบเข้าทำงานในราชสำนักได้ ถึงแม้จะสอบผ่านจิ้นซื่อหน้าพระพักตร์ได้แล้ว แต่ด้วยอันดับที่ไม่ดี ทั้งยังมิอาจสอบชิงเข้ากรมใดได้สักกรม จึงยังมิได้ทำงานเสียที
การแต่งงานกับเยว่ชิงก็หวังว่าตนจะได้อาศัยบารมีของหมอหลิวที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และไทเฮา เพื่อได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ดีในราชสำนัก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะหมดหวังไปเสียทุกทาง แล้วยังมาถูกจวนตระกูลตู้เร่งรัดให้รีบส่งแม่สื่อไปที่จวนในเวลาเพียงสามวันเท่านั้น
“จะทำอย่างไรได้ แม่คงต้องนำสินเดิมที่เก็บซ่อนพ่อเจ้าไปออกไปขาย หรือเจ้าจะยอมเข้าคุกเล่า” ตู้ซื่อกุมขมับอย่างสิ้นหนทาง
สินเดิมของนางถูกนำออกมาจนหมด ทั้งยังให้สาวใช้นำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เพื่อตบแต่งซิงเยียนเข้ามาในจวน
สามวันต่อมาตระกูลกงได้ส่งแม่สื่อไปที่จวนตระกูลตู้ ยิ่งทำให้ข่าวเรื่องที่พวกเขาลอบพบกันกลายเป็นที่ขบขันของคนในเมืองหลวง และอดที่จะเห็นในเยว่ชิงไม่ได้ที่ถูกกระทำเช่นนี้
เยว่ชิงได้ข่าวเรื่องที่กงหลี่เฉียงส่งแม่สื่อไปสู่ขอซิงเยียน นางก็ออกจากจวน เพื่อไปดูร้านที่จะสร้างเป็นโรงหมอของนาง
“คุณหนู มีสิ่งใดที่ต้องแก้ไขหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยถามออกมา
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านทำออกมาได้อย่างดีแล้วเจ้าค่ะ” นางยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ
“ขอรับ” พ่อบ้านหลิว ยิ้มอย่างดีใจ เขาเห็นคุณหนูมาตั้งแต่เล็ก หากนางเสียใจพวกเขาย่อมต้องปวดใจไปด้วย
เยว่ชิงเริ่มให้บ่าวนำสมุนไพร ลำเลียงเข้ามาเก็บภายในโรงหมอแล้ว และนางก็เป็นผู้ที่ควบคุมด้วยตนเอง เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาด
โรงหมอของนางก็นับว่าแปลกตา เพราะเปิดรักษาแต่สตรี ทั้งยังมีห้องแยกอย่างชัดเจน สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนให้ผู้อื่นรู้
โดยโรงหมอทั่วไปจะนั่งตรวจอยู่ด้านนอก หากมีคนเจ็บหนักถึงจะพาเข้าไปในห้องด้านใน
ที่นางทำเช่นนี้ เพราะสตรีที่มาตรวจโรค คงไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่านางเป็นโรคอันใด ส่วนมากสตรีในเมืองหลวงที่นางพบมักจะตามหมอไปตรวจที่เรือน ยิ่งเป็นชาวบ้านยิ่งแล้วใหญ่ พวกนางเพียงมาซื้อยาไปกินเท่านั้น
หมอที่ถูกเชิญไปตรวจที่จวนก็เป็นบุรุษ บางเรื่องพวกนางอาจจะเขินอายไม่ต้องการที่จะเปิดเผย อีกสิ่งที่โรงหมอของเยว่ชิงเขียนติดด้านหน้าอย่างชัดเจน จนสร้างความแปลกใจให้ผู้คน
เห็นจะเป็นเรื่องที่นางยอมให้หญิงคณิกา เข้ามาตรวจรักษาที่โรงหมอของนางได้ ผู้ใดจะไม่รู้กัน หมอในเมืองหลวงหรือแม้แต่ในแคว้นต้าฉีน้อยนักที่จะยอมไปรักษาให้หญิงคณิกา
เรื่องนี้หมอหลิวได้เอ่ยทัดทานนางไว้แล้ว เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะมองนางไม่ดี
“ท่านพ่อ หญิงคณิกาก็คนเจ้าค่ะ พวกนางก็เจ็บป่วยเป็น และควรได้รับการรักษาเช่นพวกเรา หากผู้อื่นจะมองข้าไม่ดี เรื่องนี้ข้าไม่สนใจเจ้าค่ะ” นางจับมือบิดาไว้แน่น แล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง
“แล้วต่อไปผู้ใดจะกล้าแต่งเจ้าเข้าตระกูล”
“หึหึ ลูกไม่คิดจะออกเรือนเจ้าค่ะ ดีเสียอีกที่ไม่มีผู้ใดอยากแต่งลูกเข้าจวน ลูกจะได้อยู่ดูแลท่านพ่ออย่างไรเล่าเจ้าคะ” นางเอียงคอมองบิดาอย่างน่าเอ็นดู
“เอาเถิดเมื่อเจ้าดึงดันเช่นนี้ พ่อจะพูดสิ่งใดได้” เขาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ ที่เข้าใจลูก”
เยว่ชิงจัดเตรียมเรื่องโรงหมอของนาง จนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น เมื่อรู้ตัวอีกที อาอิงก็นำข่าวเรื่องการแต่งงานของกงหลี่เฉียงและซิงเยียนมาเล่าให้ฟังอย่างสนุกปาก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ แม่นางตู้ไม่นำสินเดิมติดตัวมาด้วยเลยรึ” นางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“เจ้าค่ะ ชาวเมืองพูดกันอย่างสนุกปาก แม้แต่สินสอดที่ไปตบแต่งก็มีเพียงแค่สองหีบเท่านั้น เป็นผ้าพับไปเอาหนึ่งหีบ อีกหีบปิดเอาไว้คนอื่นยังคิดว่าใส่ก้อนหินไว้เลยเจ้าค่ะ”
“หึ ข้าอยากจะรู้ตู้ซื่อนางจะทำหน้าเช่นไร” เยว่ชิงยิ้มมุมปาก
เมื่อชาติที่แล้ว นางแต่งเข้าไปเพียงวันเดียวก็ให้นางนำสินเดิมออกมาชดใช้หนี้แล้ว แต่นี่ซิงเยียนนางไม่แม้แต่จะนำสินเดิมติดตัวมาด้วย ไม่รู้ว่าตระกูลกงจะผ่านเรื่องหนี้สินไปได้อย่างไร
“คุณหนู หากท่านอยากจะรู้ บ่าวจะให้คนไปสืบเรื่องให้เจ้าค่ะ” อาอิงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้องแล้ว เรื่องจวนตระกูลกง เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า เจ้าก็ไปพักเสียเถิด พรุ่งนี้จะเปิดโรงหมอวันแรกคงจะวุ่นวายไม่น้อย” นางบีบจมูกของอาอิงอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะไล่ให้นางไปนอนพัก
เมื่อเห็นว่าอาอิงเดินออกไปจากห้องแล้ว เยว่ชิงก็ไปหยุดยืนที่หน้าต่าง
“ท่านมาอีกทำไมเพคะ” นางกอดอกพิงกำแพงห้องเอ่ยถามอย่างสงสัย
เว่ยอ๋องค่อยๆ เปิดหน้าต่างเข้ามา ก่อนจะกระโดดเข้ามาด้านใน แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ เขาทำราวกับว่าเป็นห้องของเขาเสียอย่างนั้น
“เปิ่นหวางว่าจะนำเรื่องสนุกมาเล่าให้เจ้าฟังเสียหน่อย หากไม่อยากรู้เปิ่นหวางกลับก็ได้” เขาเอ่ยออกมาอย่างน้อยใจ
“เช่นนั้นหม่อมฉันไม่ส่งนะเพคะ” เยว่ชิงหมุนตัวเดินไปที่ที่นอนของนาง
“ชิงชิง เจ้าทำกับเปิ่นหวางเช่นนี้ได้อย่างไร เปิ่นหวางรึอุตส่าห์นำข่าวดีมาบอกเจ้า”
เมื่อได้ยินเสียงตัดพ้อของเขา เยว่ชิงจำต้องเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามเขาอย่างเอาใจ
“เช่นนั้นท่านก็พูดเถิด ข้าจะนั่งฟังอย่างดี” นางอมยิ้มหยอกล้อเขา ที่ทำตัวราวกับเด็กน้อย
“มานั่งตรงนี้” เขาตบลงที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างตัวของเขา
เยว่ชิงเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม เหตุใดนางต้องไปนั่งใกล้เขาขนาดนั้นด้วย เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมมานั่งข้างตน เว่ยอ๋องจึงเสนอตัวไปนั่งข้างนางแทน
“เรื่องที่เปิ่นหวางจะเล่า ต้องพูดเสียงเบากลัวเจ้าจะไม่ได้ยิน” เขากระซิบข้างหูของนาง จนเยว่ชิงต้องกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย คนเจ้าเล่ห์ก็คือคนเจ้าเล่ห์
“จะเล่าได้หรือยังเพคะ” นางเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดที่เขาเอาแต่นั่งมองหน้านาง ไม่ยอมเอ่ยเสียที
“กงป๋อเหวินยักยอกเงินในกรมพิธีการไปไม่น้อย อาซีตรวจพบเรื่องนี้ เห็นทีคงจะถูกจับในไม่ช้า” เยว่ชิงหันไปมองที่เว่ยอ๋องอย่างไม่อยากเชื่อว่านายท่านกงจะใจกล้าถึงเพียงนี้