รุ่งเช้า เมื่อหมอหลิวเข้าไปทำงานที่วังหลวงก็พบกับนายท่านกงที่ดักรอเขาอยู่ที่หน้าประตูวัง
“อาเฮ่อ ข้าขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”
“หากเจ้าจะพูดเรื่องหมั้นหมายของชิงเออร์ เห็นทีข้าคงไม่มีเรื่องจะพูด”
“อย่างไรเล่า อาเฉียงเป็นบุรุษ เรื่องสตรีย่อมต้องมีกันบ้าง เจ้าอย่าได้ใจแคบนักเลย หากเขาได้แต่งชิงเออร์เข้าตระกูลแล้วข้ารับรองว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” นายท่านกงเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้านๆ
“หึ กงป๋อเหวิน ข้าเห็นเจ้าเป็นสหาย หากเจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าอีกครั้ง แม้แต่ความเป็นสหายข้าก็จะไม่เหลือให้เจ้า” หมอหลิวจ้องมองนายท่านกงอย่างไม่สบอารมณ์
“ใช่แล้ว ใต้เท้ากง ท่านพูดได้เห็นแก่ตัวนัก บุตรชายท่านจะทำตัวเช่นไรก็ได้อย่างนั้นรึ”
หมอหลิวได้ยินเสียงก็รู้เลยว่าเป็นผู้ใด เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปทำความเคารพให้เว่ยอ๋อง
เมื่อเห็นเว่ยอ๋องเดินเข้ามาพูดสีหน้าของกงป๋อเหวินก็ซีดขาวทันที เพราะกงหลี่เฉียงกลับมาที่จวนแล้วเล่าสิ่งที่เว่ยอ๋องได้เอ่ยกับเขาออกมาให้บิดาได้ฟัง
“กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” กงป๋อเหวินเอ่ยขอตัวทันที เขาหันไปมองหน้าหมอหลิวก่อนจะเร่งรีบเดินจากไป
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลิวขอบคุณเว่ยอ๋อง
“มิได้ สิ่งที่เปิ่นหวางพูดเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเปิ่นหวางขอตัวก่อน” เขาเดินถอดน่องไปอย่างสบายใจ
หมอหลิวมองตามแผ่นหลังของเว่ยอ๋องไปอย่างครุ่นคิด น้อยครั้งนักที่เว่ยอ๋องจะยอมเข้าประชุมเช้า มันช่างบังเอิญเสียจริง ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปที่ห้องทำงานของตน
เว่ยอ๋องมิได้อยากจะเข้าประชุมเช้าที่น่าเบื่อเสียหน่อย แต่เพราะรู้ว่าวันนี้กงป๋อเหวินจะต้องรั้งตัวหมอหลิวเพื่อพูดคุยเรื่องงานหมั้นหมายอีกแน่นอน จึงได้จอดรถม้ารออยู่ที่หน้าวังหลวง
เมื่อเห็นหมอหลิวลงจากรถม้า เขาก็เดินตามลงมาทันที ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
หลังจากประชุมเช้าเสร็จลง เว่ยอ๋องถูกพี่ชายรั้งตัวไว้เพื่อพูดคุย เขาจำต้องเดินตามฮ่องเต้ไปที่ห้องทรงงาน
“อาจ้าน เจ้าเข้าร่วมประชุมเช้าได้อย่างไร” ฮ่องเต้ ฉีฮุ่ยหลงเอ่ยถามน้องชายอย่างสงสัย
“ข้าอยากเข้าฟังบ้างก็เท่านั้น” เขาหมุนจอกน้ำชาเล่นอย่างไม่ใส่ใจ
“หึ แต่เรื่องที่เจิ้นรู้มา คงไม่เพียงเท่านั้นกระมัง” ฮ่องเต้มองน้องชายอย่างหยอกล้อ
“เรื่องอันใดเล่า แล้วข้าไปเกี่ยวอันใด เสด็จพี่อย่าได้มองข้าเช่นนี้” เว่ยอ๋องถลึงตามองพี่ชายอย่างเขินอาย เมื่อถูกจับได้
“วันนี้ เสด็จแม่เรียกตัวคุณหนูไป๋เข้าวัง อีกไม่นานคงได้เจ้าไปพบ”
จอกน้ำชาในมือของเว่ยอ๋องชะงักลง เขายืดตัวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“หึ ข้าไม่แต่ง มิเช่นนั้นข้าจะหนีไปอยู่ที่ชายแดนเหนือ”
“เรื่องนี้เจ้าคงต้องไปพูดกับเสด็จแม่เอง เจิ้นช่วยเจ้ามิได้”
“เสด็จพี่ ท่านรู้ดีว่าข้าต้องการอันใด หากเสด็จแม่บังคับข้า พรุ่งนี้คุณหนูไป๋อาจจะต้องตกน้ำแล้วถูกบุรุษจวนใดสักจวนช่วยเหลือเป็นแน่”
“เช่นนั้นเจิ้นจะไปพูดกับเสด็จแม่ให้เจ้าเอง” ฮ่องเต้โบกมือไล่น้องชายของตนให้ออกไปให้ไกลสายตา
เขารู้ดีว่าที่เว่ยอ๋องพูดมิใช่เพียงแค่ขู่ แต่เขาสามารถทำได้จริง
ตั้งแต่ที่รู้เรื่องตระกูลหลิวจะหมั้นหมายกับตระกูลกง เขาก็ดื่มสุราย้อมใจอยู่ในตำหนักเสียหลายวัน จนไทเฮาอดที่จะเห็นใจบุตรชายคนเล็กของนางไม่ได้
จึงได้ส่งนางกำนัลเข้ามาในตำหนักเว่ยอ๋องหลายคน และทุกคนยังมีใบหน้าละม้ายเยว่ชิงเสียสองถึงสามส่วน หวังให้เขารับนางพวกนั้นเป็นสาวใช้ข้างห้อง
แต่เว่ยอ๋องกลับส่งพวกนางทุกคนเข้าไปในค่ายทหาร เพื่อให้ทหารที่ยังไม่แต่งงานใต้อาณัติของเขาแต่งนางเข้าเรือน
เรื่องนี้สร้างความตกใจให้ไทเฮาอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าบุตรชายของตนจะจัดการเช่นนี้ หากส่งพวกนางกลับเข้าวังยังจะดีเสียกว่า
พอไล่เว่ยอ๋องกลับออกจากวังไปแล้ว ฮ่องเต้จึงได้ไปที่ตำหนักของไทเฮา เพื่อพูดเรื่องที่เขาเอ่ยกับน้องชายให้เสด็จแม่ฟัง
“สวรรค์ อาจ้านพูดเช่นนี้รึ” ไทเฮายกมือขึ้นทาบอก
นางไม่ได้กลัวว่าคุณหนูไป๋จะโดนจัดการเช่นไร หากคิดจะให้นางแต่งให้กับเว่ยอ๋อง แต่กลัวว่าบุตรชายจะหนีไปประจำการอยู่ที่ชายแดนเหนือและไม่ยอมกลับมาให้นางได้เห็นหน้าอีก
“เสด็จแม่ เรื่องคู่ครองของอาจ้าน ท่านก็ปล่อยให้เขาจัดการเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ แล้วไอเจียจะทำอันใดได้เล่า” นางมองค้อนบุตรชายคนโตที่เข้ากันดีกับน้องชาย
ข่าวลือในเมืองหลวงเรื่องที่ตระกูลหลิวจับได้ว่าคุณชายกงลอบพบกับคุณหนูตู้ ระหว่างทั้งสองตระกูลเอ่ยเรื่องหมั้นหมายกันก็ถูกลือไปทั่ว
ทั้งจากคนที่เห็นเหตุการณ์จริง และทั้งที่คนนำเอาเรื่องราวไปแต่งเติม แม้แต่โรงงิ้วในเมืองหลวงยังเล่นเรื่องนี้ติดต่อกันหลายวัน
ตู้ซิงเยียนอับอายจนไม่กล้าออกจากจวน ร้อนถึงบิดาของนางที่เป็นเพียงอาลักษณ์เล็กๆ อยู่ในราชสำนักเท่านั้น ต้องออกหน้าเรื่องนี้ด้วยตนเอง
นายท่านตู้เดินทางไปที่จวนตระกูลกง เพื่อพูดคุยกับพี่สาวของตน
“พี่หญิง ท่านต้องจัดการเรื่องนี้ให้ข้า เยียนเออร์ไม่มีหน้าออกไปพบเจอผู้คนแล้ว นางเก็บตัวอยู่ในเรือน ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน”
“ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจ้าก็รู้ว่ายังมิอาจแต่งนางเข้ามาในยามนี้ได้” ตู้ซื่อก็ร้อนใจเช่นกัน
ยิ่งข่าวเรื่องไม่มีงานหมั้นหมายระหว่างสองตระกูลเกิดขึ้นแล้ว เจ้าหนี้ก็เริ่มมาที่จวนอย่างเปิดเผย และเร่งให้ชำระเงินคืนโดยเร็วที่สุด
นางจึงได้รู้ว่าตอนนี้การแต่งงานกับเยว่ชิงสำคัญมากเพียงใด
“ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร บุตรสาวของข้าที่เป็นหลานสาวของท่าน เสื่อมเสียชื่อเสียงจนไม่เหลือชิ้นดี ท่านยังจะไม่ยอมแต่งนางเข้าจวนตอนนี้อีกรึ” เขาลุกขึ้นโวยวายเสียงดัง
“เพ้ย หากแต่งเข้าจวน เรื่องสินสอดตอนนี้ข้าไม่มีให้ เจ้ายังอยากจะแต่งเข้าจวนข้าอีกหรือไม่เล่า”
“เหอะ ไม่มีสินสอดก็ต้องหามา ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเยียนเออร์ไปร้องทุกข์ที่ศาลต้าฉี”
“เจ้ากลับไปก่อน เรื่องนี้ข้าจะต้องหารือกับท่านพี่ก่อน” ตู้ซื่อเห็นน้องชายดูท่าจะไม่ยอมถอย นางจึงได้ใจเย็นลง เพื่อขอให้เขากลับไปก่อน
“ข้าให้เวลาพวกท่านสามวัน หากยังไม่ส่งแม่สื่อไปที่จวนของข้า เรื่องนี้ได้ถึงศาลต้าฉีอย่างแน่นอน” เขาสะบัดชายเสื้อเดินออกจากห้องโถงไปอย่างไม่พอใจ