‘กั้งป่วย’ ข้อความสั้น ๆ ถูกส่งออกจากเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กของกีรกาน โดยหญิงสาวหวังว่าปลายทางจะเปิดอ่านและส่งข้อความกลับมาบ้าง ไม่ใช่เมินเฉยเหมือนที่ผ่านมา
ทว่าผ่านมาแล้วร่วมยี่สิบนาทีก็ไร้การตอบกลับใด ๆ คนชอกช้ำหัวใจมาตลอดหลายปีได้แต่ยิ้มเจื่อน หัวใจเจ็บแปลบราวกับโดนอาวุธร้ายทิ่มแทงและยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บไปยังขั้วหัวใจกับการกระทำที่เฉยชาของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี
ภามไม่คิดจะมอบความห่วงใยให้กันบ้างเลยหรือ แม้ในเวลาที่หล่อนป่วยถึงขั้นนอนซม
น้ำตารื้นขึ้นมาคลอเบ้าเพราะความอ้างว้างและโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญมาเนิ่นนานมันเกาะแน่นในหัวใจ แถมเมื่อเลื่อนสายตาไปมองลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียง น้ำตามันก็เจียนจะไหล
เขารักลูกหรือเปล่า…เธอยังรู้สึกไม่แน่ใจเลย เพราะเขาไม่เคยพูดมันออกมาสักครั้ง ทั้งวันที่ต้องสูญเสียลูกสาวอีกคนไป เขาก็ไม่เคยมอบอ้อมกอดหรือไออุ่นให้หล่อนสักวินาที แม้แต่คำปลอบประโลมยังไม่มี
ภามได้แต่มองและนิ่งเฉย แม้เธอจะร้องไห้จนน้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือดเพราะทรมานกับการสูญเสียที่ต้องเผชิญ และไม่ว่าจะกี่ปีหล่อนก็ไม่อาจจะทำใจกับเรื่องนี้ได้
หัวอกคนเป็นพ่อและแม่คงไม่มีอะไรเจ็บปวดเท่าสูญเสียลูกน้อยทั้งที่ยังไม่ได้อุ้มชูหรือกอดสักครั้ง...หัวใจมันขมขื่นเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ริมฝีปากเล็กเริ่มสั่นพร้อมเม้มมันแน่นเพื่อพยายามกลั้นน้ำตาและแรงสะอื้น ยิ่งคิดถึงคนใจร้าย หัวใจมันก็ยิ่งเย็นเฉียบเกินครึ่งดวง
ทว่าชั่ววินาทีต่อมา กีรกานก็ต้องปาดน้ำตาเม็ดร้อนออกจากใบหน้า เนื่องจากบัดนี้ลูกสาวได้ตื่นแล้ว แถมยังส่งยิ้มมาให้
กีรกานพิมพ์ส่งข้อความสั้น ๆ ไปอีกครั้งแม้จะต้องใช้ความพยายามมากเพราะดวงตาเริ่มพร่ามัว มันคงเป็นเพราะพิษไข้ที่โจมตีร่างกายเธออย่างหนัก
‘มารับยัยหนูได้ไหมคะ’ เพราะรู้ตัวว่าเพียงยาสามัญประจำบ้านคงไม่สามารถต่อสู้กับไข้หวัดที่หล่อนเป็นได้ในเวลานี้ และคนที่ห่วงมากที่สุดก็คือลูกสาวตัวน้อย
หวังว่าหัวใจของเขาคงยังไม่ดำเหมือนอีกาถึงขั้นใจร้ายกับลูกได้ เพียงไม่นานก็มีข้อความหนึ่งถูกส่งกลับมา ซึ่งมันก็พอทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้างว่าเขาก็ยังห่วงลูกอยู่ แม้จะไม่เคยได้ยินเขาบอกรักลูกเลยสักครั้ง และในข้อความนั้นก็ไม่มีไถ่ถามถึงอาการของเธอเลยสักนิด
‘ฉันจะไปรับลูก’
กีรกานยิ้มอย่างชอกช้ำและยอมรับมัน พร้อมกับพยายามทำใจให้ชินกับความเจ็บปวดนี้ มันอยู่เป็นเพื่อนกับเธอมาตลอดเกือบสามปีเต็ม
หญิงสาวพยายามดันกายลุกจากโซฟาที่ใช้เป็นที่นอนพักกายมาหลายชั่วโมงเพราะไม่อยากให้ลูกสาวต้องติดไข้ แต่การพยายามดันัวขึ้นอีกครั้งก็ทำไม่สำเร็จ
หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเข้าปอดเพื่อรวบรวมแรง ใบหน้าของกีรกานทั้งซีดขาว เนื้อตัวก็ร้อนผ่าว
และแล้วในครั้งนี้เธอก็ทำมันสำเร็จ กีรกานลุกขึ้นได้แต่ก็ต้องสะบัดศีรษะเพราะรู้สึกเหมือนสมองหนักอึ้ง ก่อนจะย่ำฝีเท้าเข้าไปหาลูกสาว ซึ่งลูกน้อยก็ชูมือขึ้นทั้งสองข้างขึ้นเพราะต้องการให้มารดาอุ้ม
แม้จะไม่อยากให้ลูกสาวติดไข้ แต่ในเวลานี้ก็จำเป็นต้องเข้าใกล้ลูกน้อย กีรกานรู้ตัวดีว่าสติของเธอเหลือน้อยลงทุกขณะ ความกังวลจึงเกิดขึ้น แม้สามีใจร้ายคนนั้นรับปากแล้วว่าจะมารับลูก แต่มันก็คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ก็เธอและเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน กั้นขวางด้วยระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร
เกือบจะสามปีแล้วที่อยู่เพียงลำพัง ไร้ซึ่งเขามาอยู่เคียงข้างกาย แม้กระทั่งตอนที่เธอท้อง เขายังเมินเฉย
วงหน้าโศกยิ้มให้ลูกน้อยและอุ้มจากเตียง แล้วเดินออกจากห้องตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเจ้าหล่อนนัก
“ฉวย ฉวย” เด็กหญิงลักษณ์นาราฉีกยิ้มแล้วร้องบอกมารดาพร้อมกับชี้ให้ดูสิ่งที่ต้องการจะบอกว่ามันสวย แต่ก็ยังพูดไม่ชัด มันก็คือหมู่มวลดอกไม้ สองสายตาของหนูน้อยยังคงจับจ้องกับสิ่งสวยงามรอบตัว
กีรกานยังคงพยายามก้าวต่อไปแม้ใกล้จะหมดแรง ดวงตาก็มัวเริ่มจนเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน แต่มันก็เหลือเพียงอีกอึดใจเดียวเท่านั้น หล่อนก็จะถึงที่หมาย
“ลุงบุญค่ะ กั้งเองค่ะ”
มือเรียวยกขึ้นเคาะประตูและเรียกหาเจ้าของบ้าน ไม่นานนักบานประตูก็ถูกเปิดออก
“มีอะไรหรือครับหนูกั้ง หนูกั้งไม่สบายหรือเปล่า” บุญร้องถามฉับไวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเมื่อได้เห็นสีหน้าของคนที่มายืนอยู่หน้าบ้านพัก
“ฝากยัยกี้ด้วยค่ะ กั้งไม่สบาย”
หล่อนแจ้งสาเหตุที่มาทันทีเนื่องจากรู้สึกหน้ามืดใกล้จนจะยืนไม่อยู่แล้ว เพียงแค่ชายวัยห้าสิบห้าปีที่มีบุญคุณมากล้นอุ้มลูกไป กีรกานก็หมดห่วงและร่างกายมันก็ชัตดาวน์ลงเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ถูกถอดปลั๊ก
“หนูกั้ง”