ชินหวางอ๋องฉู่เอี้ยนแบกซูลี่ขึ้นบ่า ร่างสูงเดินลิ่วไปยังม้าศึกตัวใหญ่ แม้มีศักดิ์ชินอ๋องแต่ในยามนี้สองเท้าเหยียบย่างอยู่ในเขตดงโจร ป่าดับตะวันมิใคร่อยากมีผู้ใดย่างกรายผ่าน ด้วยว่าเป็นเขตแห่งค่ายโจรมังกรทมิฬ คาราวานสินค้ามักหายไปอย่างไร้ร่องรอยหากดวงกุดเดินทางผ่านป่าแห่งซ่องโจร
หากถามว่าเหตุใดราชสำนักไม่ส่งคนเข้ามาปราบปราม ถามว่าเหตุใดเจ้าเมืองจึงปล่อยให้ป่าดับตะวันเป็นเขตไม่โปร่งใส คำตอบคือไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้าไปในเขตป่าดับตะวันแล้วมีชีวิตรอดออกมาได้โดยสวัสดิภาพแม้แต่คนเดียว
เมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อน
องค์จักรพรรดิเคยส่งกองทัพสามพันคนปูพรมหน้ากระดานเข้าตรวจค้นเพื่อไขข้อสงสัยในใจผู้คน เพื่อพิสูจน์ว่ามีสิ่งใดอยู่ในป่ากันแน่ สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงร้องโหยหวนกับร่างไร้ชีวิตของเหล่าทหารกองรวมกันนอกเขตป่าเป็นกองพะเนิน
มีสาส์นทำจากหนังหมีดำลงตราประทับลายหมาป่าส่งไปยังราชสำนักว่าต่างคนต่างอยู่ นอกจากสาส์นเพียงไม่กี่ประโยคยังมีทองคำมูลค่ามหาศาลส่งไปให้องค์จักรพรรดิราวกับเป็นสิ่งปลอบขวัญสำหรับการฆ่าฟันปลิดชีพทหารทั้งสามพันนาย
เมื่อเห็นทหารสิ้นชีพมากมาย องค์จักรพรรดิลงทุนบุกตรวจค้นด้วยตนเอง แต่กลับหลังกลับออกมา พระองค์ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องราวของป่าดับตะวัน ทรงเพิกเฉยและสั่งการว่าห้ามผู้ใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกหากไม่อยากเดือดร้อน
สาส์นนั้นไม่คล้ายสัญญาสงบศึก แต่ราชสำนักมิอาจเอาชีวิตทหารกล้าไปทิ้งเปล่า จึงได้แต่ยอมรับทองคำมิอาจประเมินค่ากับยอมเลิกราการบุกตรวจค้นป่าดับตะวัน
"ก่อนตะวันสิ้นแสงเราต้องรีบออกจากที่นี่พ่ะย่ะค่ะ" หัวหน้าองครักษ์ทำหน้าเลิ่กลั่ก แววตาเริ่มแสดงอาการตระหนกตื่นกลัว
"เจ้ากลัวอันใด" ชินหวางอ๋องมองโดยรอบไม่เห็นสิ่งผิดปกติ มีเพียงแสงแดดอ่อนสลัวยามเย็นดูน่าหดหู่
"มีเรื่องเล่ากันว่าหากผู้ใดอยู่ในป่าจนสิ้นแสงตะวัน ผู้นั้นเท่ากับดับชีวิตตนเอง"
"เจ้าพวกขี้ขลาด"
"กันไว้ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ"
"กลับ" ฉู่เอี้ยนสั่งการเหล่าผู้ติดตาม
“ข้าไม่กลับ ปล่อยข้าไปเถิดท่านอ๋อง" ซูลี่ดิ้นรน แต่มิอาจพ้นวงแขนแข็งแกร่งนั่นได้
"สตรีน่าชัง เจ้าก่อเรื่องให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน" มือหนาขยุ้มเส้นผมซูลี่จนนางหน้าหงายไปด้านหลัง
เขาคิดจะปล่อยนางไป แต่สุดท้ายก็ต้องถ่อสังขารมาตามอยู่ดี
ชินหวางอ๋องฉู่เอี้ยนบังคับซูลี่ให้นั่งม้าตัวเดียวกับตน กักขังร่างน้อยไว้ในวงแขน แทนที่ซูลี่จะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยแต่ความรู้สึกในใจนางกลับตรงกันข้าม มีเพียงความกลัวความหวาดระแวงเท่านั้น
"ข้าไม่อยากกลับไปตำหนักอ๋อง ข้าอยากกลับบ้าน"
"เจ้าแต่งให้ข้า ตำหนักอ๋องคือบ้านของเจ้า"
"ไม่ ข้าไม่กลับ ปล่อยข้าไป ข้าจะกลับเผ่าอาร์คาร์" ซูลี่ดิ้นรน สองมือพยายามแกะมือใหญ่กุมขยุ้มบนเส้นผมจนรู้สึกเจ็บ
"หุบปาก อย่าได้ขัดขืน หากพูดมากข้าจะโยนเจ้าเข้าไปในหลุมดักสัตว์อีกครา ลั่นกุญแจไว้มิให้เจ้าได้ตายดี"
ซูลี่น้ำตาไหลริน คับแค้นใจอย่างบอกไม่ถูก สตรีตัวเล็กได้แต่เก็บวาจากลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ตนสะอื้น นางคิดว่าตนร้องไห้มามากพอแล้ว เหตุใดต้องร้องไห้ให้กับบุรุษอย่างชินหวางอ๋อง
ฉู่เอี้ยนปล่อยมือจากเส้นผมนาง สองมือจับบังเ**ยน บังคับม้าหันกลับไปทางตำหนักอ๋อง
บรรยากาศโดยรอบเย็นลงอย่างฉับพลัน ไอหม่นเทาสีจางลอยคลุ้งขึ้นมาจากผืนดิน ยามอาทิตย์อัสดง เย็นย่ำปลายยามเซิน บรรยากาศโพล้เพล้ดูวังเวง กิ่งก้านไม้ใหญ่บนหัววูบไหวคราหนึ่ง
เงาดำวูบผ่านไปมาจนมองไม่ทัน ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นผีหรือคน
"สิ่งใดที่เป็นของข้า ไม่อนุญาตให้มันผู้ใดเอาออกจากป่าดับตะวัน" เสียงกร้าวทุ้มเข้มดังขึ้นไม่รู้จากทิศใด เสียงต่ำทรงอำนาจกังวานขึ้นทั่วผืนป่า
ชินหวางอ๋องกระตุกยิ้มมุมปาก มองเงาดำกำลังเคลื่อนไหวไปมา ไหล่หนาไหวเล็กน้อยอย่างไม่ยี่หระ
"ข้าไม่ว่างเสวนากับพวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้แต่เปิดเผยใบหน้าตน" ฉู่เอี้ยนคำรามในลำคอ กระตุกม้าห้อตะบึงออกจากเขตป่าดับตะวัน
"ข้าเตือนเจ้าครั้งสุดท้าย ห้ามนำสิ่งใดออกนอกป่าดับตะวัน"
ชินหวางอ๋องชักบังเ**ยนม้าหันหน้ากลับมา ม้าหยุดชะงักจนฝุ่นตลบ สายตาคมกร้าวกวาดมองถ้วนทั่วอีกครั้ง มองหาต้นตอเสียงบุรุษปริศนา
"ข้าเพียงมาตามพระชายา เจ้ามาแส่อันใด คนมารยาทดีมักไม่สอดแส่เรื่องของผัวเมีย" ฉู่เอี้ยนประกาศกร้าว มิได้เกรงกลัวเสียงจากมุมมืด
"นางผู้นั้นติดอยู่ในหลุมดักสัตว์ที่ข้าสร้างไว้ นางย่อมเป็นของข้า"
"อยากได้นางก็จงมาแย่งเอาเถิด หากเจ้ามีปัญญาชิงนางก็จงเอาไป" ชินหวางอ๋องชักดาบโค้งออกจากฝัก
"เหตุใดคนเช่นข้าต้องสู้กับเจ้าให้เปลืองแรง"
"เจ้าคนขี้ขลาด"
"ผู้ใดฉลาดย่อมไม่ปะทะ" เสียงหัวเราะจากรอบทิศดังขึ้น
แสงอาทิตย์อ่อนจางกำลังจะลาลับขอบฟ้า ไอหม่นเทาฟุ้งขึ้นจนมองไม่เห็นทาง กลุ่มหมอกรูปมังกรฉวัดเฉวียนไปมากลางอากาศ มันคือเคล็ดวิชามังกรทมิฬ ฉู่เอี้ยนเคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่คาดคิดว่าจะมาเห็นด้วยสองตา
เสียงวัตถุมีคมแหวกอากาศออกมาจากทุกทิศทาง เข็มเงินเล่มเท่าเส้นผมหลายร้อยเล่มพุ่งผ่านกลุ่มหมอกตรงเข้าปักลำคอของเหล่าองครักษ์ ทหารผู้ติดตามต่างร่วงลงจากหลังม้า เสียงม้าแตกตื่นวิ่งกันอลหม่านในม่านหมอกสีเทา
พรึ่บ!
อาวุธลับรูปดวงดาวพุ่งตรงเข้าหาชินอ๋องเน้นจุดตายตรงลำคอ ฉู่เอี้ยนขมวดคิ้ว ผลักร่างซูลี่ให้พ้นแนววิถีอาวุธ ส่วนตนเองเอนร่างไปด้านหลังหลบอาวุธลับที่พุ่งเข้ามาอย่างเร็ว
"ว๊าย ช่วยด้วย" ซูลี่ร้องขึ้นอย่างตกใจ นางกำลังจะตกลงจากหลังม้า แรงผลักของชินอ๋องทำร่างเล็กเซร่วงจากหลังม้าศึกตัวใหญ่
อาวุธลับเฉียดผ่านลำคอชินอ๋องจนเลือดซิบ ตัดเส้นผมปอยหนึ่งขาดกระเด็น ชินอ๋องรู้สึกโกรธจนตัวสั่น กายแกร่งรีบเด้งดีดตัวขึ้น อีกมือคว้าชายอาภรณ์ของซูลี่ไว้แต่ไม่ทัน
ซูลี่หลับตาปี๋ คิดว่าแผ่นหลังตนต้องกระทบดินเป็นแน่
เร็วราวกับสายลมพัดผ่าน สองแขนแน่นกำยำคว้านางไว้ในอ้อมกอด ดีดกายลอยสูงขึ้นในอากาศ สะบัดปลายเท้าเข้าที่ปลายคางชินหวางอ๋อง
พลั่ก
ชินหวางอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ถูกเตะกระเด็นลงจากหลังม้า ชายปริศนาพร้อมซูลี่นั่งแทนที่ ชิงม้าศึกราคาแพงลิบจากฉู่เอี้ยน
"นางกระต่ายน้อยเป็นของข้า" ชายร่างสูงสง่าสะบัดแส้เฆี่ยนม้าวิ่งห้อเข้าไปในป่าดับตะวัน
ชินหวางอ๋องเห็นภาพเลือนรางก่อนสิ้นสติไปพร้อมกลุ่มหมอกควันที่กำลังจางหาย
ซูลี่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ร่างนางแนบชิดอยู่ใกล้บุรุษผู้มีกลิ่นอายอันตรายอย่างยิ่งยวด แผงอกแกร่งแนบแผ่นหลังนางแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงความร้อนแผ่ซ่านจากเรือนกายเขา ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดอยู่ใกล้จนแทบใช้ลมหายใจเดียวกัน ซูลี่ได้กลิ่นกายบุรุษเคล้าเครื่องหอมชั้นสูง เขากอดนางแน่นเข้า ดวงตากลมโตหันไปมองหน้าบุรุษปริศนาแวบหนึ่ง เขาสวมผ้าพรางหน้าจึงไม่อาจเห็นรูปโฉมเจ้าโจรถ่อยได้ถนัด
"ปล่อยข้าเถิด ข้าไม่มีประโยชน์ต่อท่านหรอก" ซูลี่พูดให้โจรเปลี่ยนใจ
"กระต่ายน้อย เจ้าต้องเป็นของข้า"
"หมายความว่าอย่างไร จะเอาข้าไปทำอันใดกันเล่า
"เอาไปทำเมียรัก" เขาตอบออกมาเพียงสั้น ๆ
"ปล่อยข้านะ ชีวิตข้าบัดซบพออยู่แล้ว ยังต้องถูกโจรถ่อยเช่นเจ้าชิงตัวไปอีกหรือ ปล่อย!"
"ข้าให้เจ้าเลือกเพียงสองอย่าง อยู่เงียบ ๆ หรือให้ข้าไปส่งเจ้าที่ตำหนักอ๋อง"
ซูลี่เม้มปากอวบอิ่ม ปากน้อยเผยอคล้ายจะอ้าจะหุบแต่ก็ไร้คำกล่าวสิ่งใด นางได้แต่เงียบแล้วปล่อยให้โจรถ่อยพานางเข้าไปในเขตป่าดับตะวัน