เธอลบเขาคนนี้...คนที่เธอรักไปจนหมดใจแล้วจริงๆ หรือ?
ทั้งๆ ที่เขายังคงรักเธอเหมือนเดิม ไม่เคยแปรเปลี่ยน...
ไม่มีวัน!
แสนคะนึงเป็นภรรยาของเขา และเขาก็เป็นสามีของเธอ พวกเราจะต้องอยู่ด้วยกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย เขาไม่ยอมปล่อยมือจากแสนคะนึงเป็นอันขาด
“ผมไม่ได้ถามความเห็นคุณ คุณเป็นเมียผม มีหน้าที่เชื่อฟังสามี อยู่เฉยๆ หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว”
“คุณไม่มีสิทธิ์...”
“อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง” เสียงเค้นคำรามลึกอยู่ในลำคอทำให้แสนคะนึงเสียวสันหลังวาบ แววตาเย็นชาที่เหมือนจะแช่แข็งเธอได้ทั้งเป็นทำให้เธอตัวสั่นเล็กน้อย รู้สึกหนาวสะท้านจับขั้วหัวใจ
เขาพูดจริง!
แทนชนม์ไม่ได้ขอความเห็น แต่นี่คือการบังคับให้เธอปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้ เธอจะต่อกรกับเขาได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเธอมีความกล้ามากแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเขาจะยอมปล่อยเธอไปรึเปล่าต่างหาก
หญิงสาวยิ้มเยาะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผู้ชายคนนี้หมดรักเธอไปนานแล้ว แต่ก็ยังจะสร้างภาพเป็นสามีผู้แสนดีหลอกคนอื่น ดูเผินๆ เหมือนเขาเป็นห่วงภรรยา หวังดีต่อภรรยา สีหน้าแววตาดูเจ็บปวดและกังวลชวนให้คนเข้าใจผิด เว้นแต่เธอที่รู้สึกราวกับว่ากำลังโดนกักขังอยู่ในกำมือของผู้ชายบ้าอำนาจคนนี้เสียมากกว่า
แสนคะนึงกัดริมฝีปากแน่น สะบัดมือและหัวไหล่หลุดออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างแรง หันหลังเดินจากไปอย่างหัวเสียหนัก เพราะต่อให้เธออาละวาดใส่เขาก็ไม่ต่างอะไรกับจากชกฟองน้ำหรือนุ่น แทนชนม์ไม่เพียงไม่รู้สึกรู้สา ยังไม่สนใจความรู้สึกของเธออีกด้วย
ที่เขาสนใจมีเพียงความรู้สึกของตัวเอง ความต้องการที่ ‘เห็นแก่ตัว’ ของเขาฝ่ายเดียวเท่านั้น!
เป็นอย่างนี้แล้วเธอยังจะพูดอะไรอีก?
เธอคร้านจะพูด เหนื่อยจะต่อต้าน ยิ่งไม่อยากมองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทางเดียวที่ทำได้คือเดินหนีไปเหมือนคนขี้ขลาดแบบนี้ไงละ
แสนคะนึงพ่นลมหายใจอย่างกระแทกกระทั้นเหมือนมังกรพ่นไฟ สีหน้ายามนี้บูดบึ้งชนิดที่ใครก็ตามกล้ามาแหยม แม้พร้อมฟาดแบบสุดพลัง เธอเดินดุ่มๆ ไม่มองทิศมองทาง คิดแค่ว่าต้องหนีไปจากไอ้คนใจหมาให้ได้โดยเร็วที่สุด กระทั่งชนกับใครบางคนเข้าจังๆ จนซวนเซไปคนละทิศละทาง
“โอ๊ย! แกเดินประสาอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ไม่รู้รึไงว่าฉันเป็นใคร ฉันน่ะแม่นางแบบดังเชียวนะยะ”
แสนคะนึงมองคนที่อวดอ้างศักดาตัวเองแล้วเบ้ปาก ทีแรกก็ว่าจะขอโทษอยู่หรอก ตอนนี้คงไม่ต้องแล้วมั้ง เพราะปากโทรโข่งของระรินทิพย์เล่นด่ากราดเธอต่อหน้าประชาชี ก็ถือว่าเจ๊ากันไปแล้วกัน
“ต่างคนต่างก็ชน ทำไมฉันต้องขอโทษด้วยล่ะคะ”
“หน็อย! แกนี่เองนังฆาตกร นี่ตำรวจเขายอมตัวอันธพาลอย่างแกให้ออกมาเดินเพ่นพ่านได้ด้วยเหรอ ทำงานกันยังไง ห่วยแตกสิ้นดี”
หล่อนเหยียดปากดูแคลนเธออย่างน่าหมั่นไส้ เล่นเอาแสนคะนึงคันมือยิกๆ ยิ่งนึกถึงคราวก่อนยัยป้านี่ตบเธอทีเผลอด้วยแล้ว เธอยิ่งอยากเอาคืนเป็นสองเท่า
“ตำรวจเขาคงมีวิจารณญาณมากพอ รู้ว่าใครผิดใครถูก ใครใส่ร้ายใคร ไม่ใช่มาทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะขี้ฟ้องที่แหกปากก่อนก็ชนะ”
“นี่แกว่าใคร!” ระรินทิพย์ชี้หน้าถลึงตามองนังเด็กปากพล่อยอย่างเข่นเขี้ยว
แสนคะนึงยักไหล่ยั่ว
“ใครผิด ฉันก็ด่าคนนั้นแหละค่ะ คุณเองทำผิดหรือใส่ร้ายฉันรึเปล่าล่ะคะ” เธอย้อนถามหน้าซื่อตาใส แต่รอยยิ้มเต็มไปด้วยการยั่วยุ
“แก๊! ปากดีนักนะ”
ระรินทิพย์มองเธอเหมือนจะกรีดเลือดกินเนื้อ พุ่งโผนเข้าใส่พร้อมเงื้อมือขึ้นสูงเตรียมจะหวดใบหน้าเธอให้เต็มแรง แต่แสนคะนึงมีประสบการณ์จากคราวก่อนทำให้ระมัดระวังตัวเต็มที่ ทันทีที่หล่อนฟาดฝ่ามือลงมาเธอก็ยกมือกันแล้วบีบข้อมือหล่อนแน่น บีบแรงๆ เหมือนจะให้มันหักคามือเธอ ตาจ้องมองระรินทิพย์เขม็ง เอ่ยเสียงลอดไรฟันว่า
“คิดว่าฉันจะยอมให้คุณตบเป็นครั้งที่สองเหรอ” แล้วผลักยัยป้ามหาภัยกระเด็นออกไป จนหล่อนซวนเซเกือบล้มหน้าคะมำ
“อีบ้า! แกกล้าทำร้ายฉันเหรอ” ระรินทิพย์ร้องโวยวายลั่นโรงพยาบาล กระทืบเท้าเต้นเร่าๆ เหมือนเด็กอนุบาลที่โดนขัดใจ ดูแล้วน่าเกลียดและเอือมระอากับผู้คนที่ได้พบเห็น
“คุณทำร้ายฉันก่อน จะให้ฉันอยู่เฉยๆ รึไงคะ ฉันเองก็เป็นคนเหมือนกับคุณ มีสิทธิ์ป้องกันตัวเท่าเทียมกัน” แสนคะนึงสวนเสียงแข็ง