หมาป่าหนุ่มทะยานตัวออกจากบ้านของเจนัสแล้วหายไปท่ามกลางป่าที่มืดมิดยามราตรี ทิ้งไว้เพียงไออุ่นและกลิ่นไม้ซีดาร์ที่ดูลึกลับและน่าค้นหา
เจนัสกดรับสายอย่างเหม่อลอยเพราะยังไม่อยากจะเชื่อว่าเอสโทเพลยังมีชีวิตอยู่ ปลายสายพูดแค่ไม่กี่คำก็กดวางสายไปปล่อยให้เธอยืนมองมือถืออย่างงุนงง
“สติฉันไปไหนหมดเนี่ย....”
คนที่โทรมาเป็นลูกน้องของท่านผู้นำที่ต้องการความคืบหน้าของคนที่ทำร้ายคาลเตอร์ เจนัสดึงสติที่ดูเหมือนจะล่องลอยตามหมาป่าหนุ่มไปกลับเข้าร่างก่อนจะเปิดหน้าจอคอมเพื่อส่งข้อมูลที่หามาได้กลับไปให้ท่านผู้นำ
“เฮ้ออ เสร็จสักที เมื่อยชะมัดเลย.....”
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จและพร้อมส่งให้ทางฐานลับเพื่อนำส่งให้กับท่านผู้นำต่อไป เจนัสบิดตัวเล็กน้อยเพราะต้องนั่งอยู่หน้าคอมติดต่อกันหลายชั่วโมง
เธอเปิดคอมทิ้งไว้ก่อนจะถอดเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำ ตอนนี้พระอาทิตย์ก็เริ่มฉายแสงแล้วแต่เธอยังไม่ได้หลับสักงีบเพราะมัวแต่ทำงาน สายน้ำที่ไหลผ่านร่างบอบบางช่วยทำให้ความเหนื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง มันเป็นพลังดั้งเดิมที่เจนัสมีตั้งแต่กำเนิดเธอรักษาอาการบาดเจ็บทุกอย่างได้ด้วยน้ำไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตามที
“ค่อยสบายตัวหน่อย”
เจนัสหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดน้ำตามตัวออก ดวงตาคู่สวยสำรวจเรือนร่างอยู่หน้ากระจก รอยแดงเล็ก ๆ ที่ตรงเหนือหน้าอกทำเอาเธอชะงักไปเล็กน้อย
“เจ้าเด็กนี่ทิ้งอะไรไว้เนี่ย”
มันไม่ใช่รอยที่เกิดเพราะแมลงแน่ ๆ และคนที่จะทำได้ก็คงมีแค่เอสโทเพลที่ใกล้ชิดมากพอจะทิ้งร่องรอยไว้ได้
“อืมมม แต่เอสคงไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอกมั้ง บังเอิญมากกว่างั้นสินะ”
เจนัสคิดเสมอว่าเธอกับเอสโทเพลเป็นพี่น้องกันและมักมองว่าตัวเองไม่ได้มีเสน่ห์สำหรับผู้ชาย ที่ผ่านมาทุกคนเข้าหาเธอก็เพราะกลิ่นฟีโรโมนที่ปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัวมากกว่า
มันเป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไอริสที่จะทำให้คนใกล้ ๆ รู้สึกอยากเข้าหาและอยากใกล้ชิด เจนัสมักจะกินยาเพื่อลดกลิ่นนี้ลงแต่มันก็ยังไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด
เธอไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองมีรูปร่างที่ยั่วยวนแค่ไหน ทั้งหน้าอกอวบที่มักซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่ ไหนจะรูปร่างที่สมส่วนกลมกลึงน่าสัมผัสไปทั้งตัวอีก เธอเลยไม่คิดสงสัยคนที่รู้จักและสนิทสนมมาตั้งแต่ยังเด็กอย่างเอสโทเพลเลยแม้แต่นิดเดียวแม้จะเพิ่งได้กลับมาเจอกันก็ตามที
“จะว่าไปเอสมาทำภารกิจอะไรแน่ถึงบอกกันไม่ได้....”
»»»»««««
อีกด้านชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงก็กำลังหายใจหอบหนัก ใบหน้ามีเหงื่อเล็กน้อย มือหนาหยิบเสื้อตัวบางที่เอามาจากห้องของกระต่ายตัวน้อยขึ้นสูดดม ส่วนมืออีกข้างก็กำความเป็นชายที่แข็งแล้วรูดขึ้นลงด้วยความกระสัน
“อาาา พี่เจนัส....”
ยิ่งคิดถึงใบหน้าและเสียงหวาน ๆ ของเธอก็ทำเอาหมาป่าหนุ่มแทบบ้าแล้ว กลิ่นดอกไอริสที่ติดอยู่บนเสื้อทำให้เขาไม่อาจควบคุมความต้องการได้
“พี่เจนัสของผม อึก!”
เขาจินตนาการถึงเธอพลางสาวข้อมือถี่ขึ้น ปลายตัดสีชมพูปริ่มด้วยน้ำสีใส ท่อนเอ็นหนามีเส้นเลือดปูดพันรอบและต้องการปลดปล่อยออกมา
“ผมต้องการพี่....”
น้ำเสียงแหบพร่าเปล่งชื่อเธอออกมาไม่หยุด เสื้อสีขาวตัวบางที่มีกลิ่นดอกไอริสถูกยกขึ้นมาสูดดมครั้งแล้วครั้งเล่า มือหนาสาวข้อมือถี่ขึ้นเรื่อย ๆ พลางนึกถึงสิ่งที่อยากทำกับเธอ
แค่นึกภาพเธอกำลังโยกเอวบาง ๆ บดเบียดเนินเนื้อสาวอยู่บนตัวเขาเอสโทเพลก็แทบเสร็จออกมาแล้ว เสียงหวาน ๆ ที่ครางกระเส่าอยู่ข้างหูคงเพราะกว่าเสียงไหน ๆ ที่เคยได้ยินมา
“อึก! อาาา”
มือหนาเบาแรงลงและปล่อยน้ำขาวขุ่นพุ่งออกมาเป็นสายเลอะลงบนเตียงกว้าง ร่างสูงหายใจหอบหนักพลางหลับตาลง
กลายเป็นว่าพอได้เจอกับเธอเขายิ่งเพิ่มความหมกมุ่นมากขึ้นไปอีกระดับจนอดใจไม่ไหวต้องมาปลดปล่อยตัวเองแบบนี้ ความปรารถนาในตัวเธอนับวันจะยิ่งควบคุมยากเข้าไปทุกที
“ถ้าพี่ได้รู้ว่าผมทำอะไรแบบนี้พี่จะคิดยังไงกันนะ....”
ความยึดติดของเอสโทเพลนั้นมากกว่าที่เจ้าตัวนึกไว้ซะอีก เขาอยากจะครอบครองและกักขังเธอเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำทว่าก็ต้องอดใจไว้
เพราะเขาเองก็ไม่อยากทำเธอเสียใจเช่นกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เอส ได้เวลาแล้วนะ”
ร่างสูงลุกออกจากที่นอนพลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะเอาเสื้อของเจนัสซุกไว้ใต้หมอน ตอนนี้เขามีเรื่องต้องออกไปจัดการคงไม่ได้เจอเธออีกหลายวัน
“มาแล้ว บลู”
“ฉันบอกว่าให้เรียกพี่ไง”
“เข้าใจแล้วน่า บลู”
พอออกมาเขาก็ถูกบลูบ่นให้ทันทีเพราะไม่ยอมเรียกพี่ ก่อนหน้านี้ที่เรียกก็แค่ต้องการขอความเห็นใจจากเขาเท่านั้น
“เฮ้ออ นายนี่มันดื้อจริง ๆ เอ้า ที่นายฝากฉันหา”
บลูยื่นเอกสารลับให้กับอีกฝ่ายมันเป็นสิ่งที่เขาได้มาอย่างยากลำบากแถมยังต้องฝ่าฝืนกฎอีกตั้งหลายข้อ
“จะให้ไปด้วยไหม?”
“ไม่ ฉันจะไปคนเดียว”
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะทำแบบนี้?”
“.....”
“เอสโทเพล นายอาจกำลังทำให้เธอเสียใจนะ ถ้าเจนัสรู้ล่ะก็.....”
“งั้นก็อย่าให้เธอรู้สิ ผู้หญิงคนนั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่ คนที่ขายทุกอย่างได้เพื่อเงินแบบนั้นน่ะไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น”
“.....”
บลูรู้ดีว่าไม่อาจห้ามคนตรงหน้าได้ เขาจึงทำได้แค่เตือนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยให้เขาไป
“งั้นก็ตามใจนาย ระหว่างนี้ฉันจะดูแลเจนัสให้”
“ขอบใจนะ ไปล่ะ”
หมาป่าหนุ่มโยนเอกสารคืนอีกฝ่ายก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปยังอีกเมือง ที่นั่นคือบ้านเกิดของเจนัส เมืองอีสเทอร์วิลล์
มันเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรอาศัยอยู่แค่หลักพัน เป็นเมืองค่อนข้างห่างไกลและสงบสุขปราศจากสงครามเหมือนเมืองอื่น ๆ
มันอยู่ห่างจากเมืองคาลตันไปเกือบ 500 ไมล์แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเอสโทเพล เขาใช้เวลาเดินทางแค่คืนเดียวเท่านั้นก็มาถึงยังจุดหมายแล้ว
“เมืองอีสเทอร์วิลล์งั้นสินะ สมกับเป็นเมืองที่พี่เกิดเลยสวยงามจริง ๆ”
เอสโทเพลที่ตอนนี้มาถึงแล้วกำลังยืนชมทิวทัศน์ยามสายของที่นี่ ตอนนี้ในเมืองกำลังมีงานเทศกาลเลยทำให้บรรยากาศค่อนข้างครึกครื้นพอสมควร
“นาเดียร์ เคสเกอร์ นายกเทศมนตรีของอีสเทอร์วิลล์ บุคคลอันเป็นที่รักของชาวเมืองแต่เบื้องหลังกลับขายลูกตัวเองและเด็ก ๆ ที่รับอุปการะให้กับองค์กรชั่วร้ายแล้วเอาเงินมาบำเรอตัวเอง....”
เอสโทเพลสงสัยมาตลอดว่าทำไมเจนัสถึงไปอยู่ที่ฐานลับของดิสโทเปียได้ เขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะพบร่องรอยและขอให้บลูช่วยหาข้อมูลเพิ่มเติมให้จนได้รู้เรื่องสำคัญหลายเรื่องเข้า
“หึ ปิศาจในคราบนักบุญชัด ๆ”
มิสซิส V คือชื่อของหญิงสาวปริศนาที่ติดต่อค้าขายกับ ดิสโทเปียมาหลายสิบปี เธอเป็นทั้งผู้จัดหาเหล่าเด็ก ๆ และหนึ่งในผู้บริหารของดิสโทเปียอีกด้วย เด็กส่วนใหญ่จะถูกเธอนำมาขายต่อให้กับองค์กรในราคาที่สูงลิ่วจนน่าตกใจ
เขาสืบจนได้รู้ว่ามิสซิส V กับนาเดียร์คือคนเดียวกัน แต่ว่ามันไม่ได้จบแค่นั้นเพราะเธอดันมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับเจนัสในบางมุมจึงทำให้เอสโทเพลเกิดความสงสัยและเริ่มสืบต่อ
จนในที่สุดหมาป่าหนุ่มก็ได้คำตอบที่สงสัยหลังจากการพยายามสืบค้นมานานหลายปี นาเดียร์คือแม่แท้ ๆ ของเจนัสและยังเป็นคนที่ขายเธอให้กับดิสโทเปียอีกด้วย
คนที่ส่งเจนัสไปลงนรกบนดินก็คือตัวเธอเอง แม้กระทั่งลูกในไส้นาเดียร์ก็ยังทำได้ลงคอ ไม่มีความสำนึก ไม่เคยเสียใจและเสพสุขจากเงินที่ได้มาจากการขายลูก
ใช้เส้นสายจนตัวเองได้เป็นนายกเทศมนตรี กุมอำนาจของคนทั้งเมืองแล้วแสร้งทำเป็นรับอุปการะเด็กกำพร้าจากหลาย ๆ เมืองก่อนจะส่งขายให้กับองค์กรตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“อาาา อยากฆ่าจังเลย.....”
ยิ่งคิดมากแค่ไหนเลือดในตัวหมาป่าหนุ่มก็ยิ่งพลุ่งพล่านจนยากจะคุมไว้ สัญชาตญาณในการฆ่าร่ำร้องให้เขาลงมือสังหารเธอซะเดี๋ยวนี้
แต่ถ้าปล่อยให้คนเลวทรามอย่างเธอตายแบบนั้นมันก็ออกจะง่ายไปหน่อย เขาจะเล่นกับเธอ ทรมานให้ตายทั้งเป็นเหมือนที่เจนัสเคยพบ ยื้อชีวิตเธอไว้ให้มอบแสงแห่งความหวังแล้วค่อยดับลมหายใจอันไร้ค่านั้นลง
“ตื่นเต้นจังเลย”
รอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตรปรากฏที่มุมปากแค่จินตนาการว่าได้ทำอะไรกับเธอบ้างก็ทำเอามีความสุขจนหยุดยิ้มไม่ได้แล้ว ยิ่งถ้าได้ฆ่าเธอต่อหน้าคนทั้งเมืองก็คงดีไม่น้อย
“แขวนประจานด้วยดีไหมนะ....”
เขาหันหลังให้กับเมืองเพื่อออกไปเตรียมตัวลงมือในค่ำคืนนี้ เมืองที่แสนเงียบสงบจะต้องตกตะลึงกับการฆาตกรรมครั้งใหญ่ที่จะเขย่าขวัญผู้คนไปทั้งเมืองและมันคือคำเตือนถึงดิสโทเปียอีกด้วย
มือหนาแตะเครื่องสื่อสารที่อยู่ในหูเบา ๆ เพื่อโทรหาบลูก่อนจะบอกทุกอย่างกับเขาไป
“นี่บลู ฉันเจอมันแล้ว มันอยู่ที่นี่จริงด้วย”
(จะทำอะไรก็ระวังด้วย)
“ฝากพี่เจนัสด้วยนะ อีกสองวันน่าจะกลับไปถึง”
(อย่าให้เอิกเกริกนักล่ะเอส คนที่นายกำลังจะฆ่าเป็นคนระดับสูงของดิสโทเปีย อย่าได้ลืมเด็ดขาด)
เขากดวางสายทันทีที่บลูพูดจบ ถ้าไม่เอิกเกริกมันก็ไม่สาแก่ใจเขาน่ะสิ
“ฉันจะให้เธอได้ชดใช้ที่ทำให้พี่เจนัสต้องตกนรกทั้งเป็น นาเดียร์ เคสเกอร์”