เจนัสหยิบหน้ากากมาสวมก่อนจะเดินออกไปจากห้อง คนที่พาเธอมากำลังรออยู่และเมื่อเจนัสออกไปเขาก็ยิงคำถามทันที
“เป็นไงบ้างครับ เขาหายแล้วใช่ไหม”
“เอ่ออ ฉันว่าเราควรเปลี่ยนที่คุยนะคะ”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินนำเธอออกไปขึ้นรถเพื่อพาไปส่งยังบ้านพักอีกหลังซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร ที่นั่นนอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครเคยมาทั้งนั้น
“ถึงแล้วครับ ของใช้ทุกอย่างผมจัดหามาให้แล้วถ้าขาดเหลืออะไรบอกได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
มันเป็นบ้านที่ไม่ได้หลังใหญ่มากและยังดูกลมกลืนกับป่ารอบ ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ หากไม่สังเกตดี ๆ คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีบ้านอยู่
“เข้ามาก่อนสิคะ ฉันจะเล่าอาการของเขาให้ฟัง”
เจนัสเดินนำเข้าไปในบ้านพร้อมกับวางกระเป๋าไว้ที่มุมหนึ่ง เธอผายมือให้เขานั่งก่อนตัวเองจะนั่งที่โซฟาอีกตัวโดยไม่ยอมถอดหน้ากากออก
“เขาถูกโจมตีด้วยพวกอมนุษย์สินะคะ”
เธอพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชายตรงหน้าขมวดคิ้วด้วยความงุนงงก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“มันมีจริง ๆ เหรอครับ? อมนุษย์น่ะ”
เจนัสยิ้มออกมาเล็กน้อยใต้หน้ากากหรูหรา ไม่แปลกที่เขาจะไม่เชื่อเพราะมีไม่กี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วดิสโทเปียเป็นองค์กรแบบไหน
“เห็นฉันแล้วยังไม่เชื่ออีกเหรอคะ?”
“....”
“คุณไม่ต้องเชื่อที่ฉันพูดก็ได้ค่ะ แต่บาดแผลบนตัวของคุณคาลเตอร์ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอน”
เขากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบากและตั้งใจฟังที่หญิงสาวตรงหน้าพูด แม้จะไม่อยากเชื่อแต่การที่คาลเตอร์แก่ขึ้นชั่วข้ามคืนนั่นก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ไหนจะรูปร่างของเธอที่เด่นชัดอยู่ตรงหน้านี่อีก
“การรักษาของฉันไม่สามารถทำให้เขาหายดีได้ภายในวันเดียวมีแต่ต้องค่อย ๆ รักษาไปเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เขาแก่ขึ้นฉันพอมีทางช่วยอยู่ค่ะ”
“ยังไงครับ”
“ฉันจะทำยาออกมาให้ค่ะ คุณแค่ช่วยเตรียมของก็พอแล้ว”
“ได้เลยครับ”
เจนัสจัดการลิสต์รายการของที่ต้องใช้พร้อมกับออกไปส่งเขาที่หน้าประตู อีกฝ่ายโค้งคำนับให้เธอและหันหลังเตรียมเดินจากไป
“อ้อ อีกเรื่องหนึ่งครับ”
“คะ?”
“ผมคิดว่าเราคงต้องร่วมงานกันไปอีกงาน ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็เลย....อยากจะบอกชื่อผมไว้ครับ” เขาพูดพร้อมกับเกาคอแก้เก้อเพราะก่อนหน้านี้ดันบอกเธอไปว่าไม่สามารถบอกชื่อกับเธอได้
“ตามใจคุณเถอะค่ะ”
“ผมชื่อวิลสันครับ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ”
“เช่นกันค่ะ”
การพูดคุยของทั้งสองคนอยู่ในสายตาของชายหนุ่มครึ่งหมาป่าคนหนึ่งทุกวินาที ดวงตาสีแดงที่เหมือนสัตว์ร้ายจับจ้องทั้งสองอย่างไม่วางตา แม้ในใจอยากจะพุ่งเข้าไปหาเท่าไหร่ก็ทำได้เพียงระงับความต้องการนั้นไว้ในอก
“พี่สวยขึ้นเยอะเลย....”
ใบหน้าหวานที่ไม่ได้เจอมานานถึง 20 ปีทำเลือดในอกเดือดพล่าน เส้นผมสีทองดูนุ่มสวยยาวถึงกลางหลัง ใบหูตกที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอยังคงเหมือนครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน ดวงตาคู่นั้นที่มักมองเขาอย่างอ่อนโยนก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป มันทำให้เขาหวนนึกไปถึงวันแรกที่ได้เจอกับเธอ หญิงสาวที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปทั้งชีวิต
22 ปีก่อน
บ้านพักดิสโทเปีย (ศูนย์ทดลองลับใต้ดินอิตาลี)
“วันนี้จะมีเด็กมาใหม่ ลุงฝากเธอช่วยดูให้ได้ไหม?”
“ได้ค่ะ ลุงคานิกซ์”
เด็กสาววัย 5 ขวบขานรับด้วยความยินดีพร้อมกับเผยรอยยิ้มสดใสออกมา ไม่นานเด็กชายวัยสามขวบที่มีหน้าตามอมแมมและสวมเสื้อผ้าขาดหวิ่นก็เดินเข้ามาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“รู้จักและสนิทกันไว้นะ DTPX0012 และ DTPX0013”
ทุกคนที่นี่ไม่มีชื่อและมีเพียงหมายเลขที่บ่งบอกถึงแต่ล่ะคนเท่านั้น หมายเลขเหล่านั้นยังหมายถึงลำดับในการถูกนำตัวมาอีกด้วย
ดวงตาสีฟ้ามองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะหลบหลังคานิกซ์ด้วยความเขินอาย หูเล็ก ๆ แดงก่ำจนสังเกตเห็นได้ง่าย ๆ
“ไม่เป็นไรนะ....”
เสียงที่อ่อนหวานปลุกความกล้าในตัวเด็กชายให้เดินเข้าไปหา ใบหน้าเธอประดับประดาด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น เขาก้าวเข้าไปหาเธออย่างไม่มั่นใจนักพร้อมกับที่คานิกซ์ปล่อยเด็กทั้งสองไว้ด้วยกันเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง
“จับตาดูทั้งสองคนไว้ด้วย”
“ครับ คุณคานิกซ์”
เด็กทั้งสองเริ่มทำความคุ้นเคยกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันภายใต้การจับตามองของผู้ใหญ่ หลังจากผ่านไป 2 ปีทั้งคู่ก็สนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ ๆ ซึ่งมันทำให้คานิกซ์พอใจเป็นอย่างมาก
“DTPX0012 ถึงคิวเธอแล้ว”
“จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ ไปก่อนนะเอสโทเพล”
“ไว้เจอกันนะครับ พี่เจนัส”
ถึงแม้จะถูกห้ามให้มีชื่อทว่าเด็กทั้งสองต่างพากันตั้งชื่อลับ ให้แก่กันและกัน ใบหน้าหวานที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเดินออกไปจากห้องพร้อมกับมือเล็ก ๆ ที่โบกไปมา
เอสโทเพลไม่เคยรู้เลยว่านั่น....จะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายของเธอที่เขาได้เห็น....
เจนัสถูกพาตัวออกไปถึงสามวันและไม่มีวี่แววจะกลับมาเลยสักนิด เอสโทเพลเริ่มร้อนใจและอยากจะออกไปตามหาเธอทว่าเขาก็ไม่สามารถทำได้
“DTPX0013 ถึงตานายแล้ว”
“แล้วเธอล่ะครับ เธออยู่ไหน”
แม้จะถามไปมากแค่ไหนก็ไร้ซึ่งคำตอบจากคนตรงหน้า เอสโทเพลถูกพาไปยังห้องลับที่อยู่ลึกลงไปใต้บ้านพัก มันทั้งมืดและอับชื้นจนเขาอดหวาดกลัวไม่ได้
“มาแล้วสินะ ตัวทดลองที่ล้ำค่าของฉัน....”
คานิกซ์ที่สวมชุดกาวน์สีขาวเดินยิ้มเข้ามาหาเอสโทเพล ดวงตาเขาดูบ้าคลั่งและน่าหวาดกลัว
“ผะ ผม....”
“จับขึ้นเตียงเลย”
“ไม่นะ!!!”
เขาพยายามจะดิ้นรนหนีการจับกุมของชายชุดดำสองคน ทว่าด้วยเรี่ยวแรงที่มีก็ไม่อาจทำอะไรได้ ร่างเล็กถูกนำขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับล็อคแขนและขาไว้
“อย่าทำร้ายเขานะ....”
น้ำเสียงที่อ่อนหวานพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เอสโทเพลหันไปตามเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีก่อนจะเบิกตากว้าง
“เจนัส....”
เธอเองก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเขา ร่างกายมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ใบหน้าเธอขาวซีดจนแทบไร้สีเลือด
“อ้าว นี่พวกเธอฝ่าฝืนกฎงั้นเหรอ อืมม น่าสนใจจริง ๆ”
คานิกซ์ที่ได้ยินเอสโทเพลพูดชื่ออีกฝ่ายก็เข้ามายืนคั่นระหว่างคนสองคน ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลแปรเปลี่ยนจากความกลัวเป็นความโกรธที่อัดแน่นในอก
“ปล่อยเธอนะ!!”
ท่าทางของเขาที่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการจับกุมทำเอาคานิกซ์หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน มันช่างดูเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ติดบ่วงจนหาทางหนีไม่ได้
“แกทำอะไรไม่ได้หรอกนะ นอนอยู่เฉย ๆ ไปก่อน”
เขาลากเตียงของทั้งสองคนมาตั้งชิดกันก่อนจะยื่นมือไปรับเข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวสีเขียวเอาไว้เต็มหลอด สายตาที่น่าขยะแขยงมองเอสโทเพลที่พยายามดิ้นรนด้วยความเย้ยหยันก่อนจะฉีดเจ้าสิ่งนั้นเข้าไปในร่างกายของเจนัส
“กริ๊ดดดด!!!!”
เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความทรมานดังขึ้นแทบจะในในทันที เอสโทเพลถึงกับสะดุ้งเพราะไม่เคยเห็นเจนัสเป็นแบบนี้มาก่อน
“มะ ไม่เอาแล้ว หนูกลัว หนูเจ็บ กริ๊ด!!!”
“พี่เจนัส!!!!”
ร่างเล็กเกร็งกระตุกจนเส้นเลือดปูดขึ้นตามตัว ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความทรมานและน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้คานิกซ์ยอมหยุดแต่อย่างใด เขาหยิบเข็มเล่มต่อไปมาเตรียมฉีดท่ามกลางเสียงตะโกนห้ามอย่างบ้าคลั่งของเอสโทเพล
“หยุดนะ!!!”
ยาหลอดที่สองสร้างความเจ็บปวดจนแทบสลบให้กับเจนัส เธอรู้สึกเหมือนร่างกายถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ และประกอบเข้าหากันใหม่อีกครั้งวนไปวนมา
เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานดังห้องไปทั่วห้องสลับกับเสียงร้องไห้ของเด็กชายวัยสามขวบและเสียงอ้อนวอนขอความเมตตา เข็มฉีดยาหลายเข็มว่างเปล่าลงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเจนัสก็สลบไปทั้งที่ยังร้องไห้อยู่
“ผมขอร้อง หยุดเถอะ ได้โปรด....”
“แล้วทำไมฉันต้องฟังแกด้วยล่ะ....”
“ผมจะยอมทุกอย่าง จะฉีดมันให้ผมก็ได้แต่อย่าทำเธอเลยนะ ผมขอร้อง....”
เสียงอ้อนวอนทั้งน้ำตาของเอสโทเพลทำให้คานิกซ์เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา เขาวางเข็มในมือลงแล้วเดิมเข้ามาประชิดเด็กชาย
“ดีมากเด็กดี ถ้าแกทำได้เธอก็จะไม่เจ็บปวดอีก แกจะต้องเชื่อฟังและทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่างเข้าใจไหม?”
“ฮึก....ครับ....”
“เอาตัวเด็กผู้หญิงออกไปแล้วเตรียมการทดลองนั่นด้วย”
ผู้ช่วยของคานิกซ์เข็นเตียงที่เจนัสนอนอยู่ออกไปพร้อม ๆ กับที่อีกคนเอารถเข็นคันใหม่เข้ามา เครื่องมือนานาชนิดที่อยู่บนนั้นสร้างความหวาดผวาให้กับเอสโทเพลได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“หวังว่าแกจะทนได้นะ เพราะไม่งั้นฉันคงได้พาตัวยัยนั่นกลับมาแน่ ๆ”
“อ๊ากกกก!!!!!!!”
เฮือก!!
ร่างบางผุดลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยเหงื่อไคลทั้งที่อากาศเย็นสบาย
“ฝันอีกแล้วเหรอ”
เจนัสยกมือนวดขมับที่ปวดตุบ ๆ ความฝันที่ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่เคยจางหายไปทำให้เธอหวนคิดถึงคนที่จากไปอย่างอดไม่ได้
“ถ้านายยังอยู่ตอนนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้วใช่ไหม เอสโทเพล”
รอยยิ้มของเขายังคงติดแน่นอยู่ในความทรงจำและไม่เคยเลือนหายไป ความเสียใจที่ต้องทิ้งเขาไว้และหนีมายังคงทำให้เธอรู้สึกผิดอยู่จนทุกวันนี้
วันนั้นทั้งสองควรได้ออกมาด้วยกันแล้วถ้ามันไม่มีอะไรผิดพลาดแต่เพราะการเสียสละของเอสโทเพลที่โยนเธอข้ามหุบเหวมาหาเจสเตอร์เลยทำให้เธอมีทุกวันนี้ได้
“ฉันคิดถึงนายมาก ๆ เลยเอสโทเพล”
ครืด ครืด.....
เจนัสคว้ามือถือที่สั่นอยู่ข้างเตียงมากดรับโดยไม่มองชื่อบนหน้าจอก่อนที่จะรีบเอามันออกห่างใบหูเพราะปลายสายเล่นตะโกนใส่เธอเต็มเสียง
(ยัยกระต่าย!!! มาเอาปลาทองเธอคืนไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!!)
“ลีออนเหรอ วินด์กับเวลเป็นไงบ้างสบายดีไหม นายให้อาหารมันหรือยัง?”
(ให้อาหารกับผีน่ะสิ ถ้าเธอไม่มาเอามันกลับไปฉันจะโยนมันลงโถส้วมแล้วโรยน้ำยาฆ่าเชื้อลงไปด้วย! รู้ไหมมันไม่หุบปากเลยตั้งแต่มาถึงที่นี่ฉันจะบ้าตายแล้วนะ!)
“ฮ่า ๆ เอาน่า ฉันออกมาทำภารกิจ จะทิ้งไว้ห้องทดลองก็สงสารมัน ฝากเลี้ยงไปก่อนสิ”
(อย่ามาโยนภาระให้กันนะยัยกระต่าย!)
“หาวว~~ ฉันง่วงแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะอย่าลืมเปิดเพลงให้มันฟังด้วยล่ะ บาย~~~”
(เดี๋ยวสิ ยัยกระต่าย! ฮัลโหล!ฮัลโห-)
เจนัสรีบกดวางหูก่อนที่ลีออนจะโวยวายไปมากกว่านี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้ากันได้ดีกับปลาทองของเธองั้นสินะ
“คิดถูกจริง ๆ ด้วยที่เอาไปฝากลีออน”