ก่อนที่จะออกไปทำภารกิจเจนัสได้จัดการเคลียร์เรื่องสำคัญ ๆ ที่จำเป็นพร้อมทั้งเตรียมยาไปหลายชนิดเผื่อกรณีฉุกเฉินรวมทั้งจัดการข้าวของที่กระจัดกระจายให้เข้าที่ด้วย
“ห้องก็สะอาดแล้ว เหลือแค่อย่างเดียวแล้วสินะ”
เธอหันมองโหลปลาทองที่เลี้ยงไว้ด้วยความหนักใจ จะเอามันไปด้วยก็คงไม่ได้แต่จะให้ทิ้งไว้ก็กลัวไม่มีคนดูแลมันอีก
“เอาไงดีล่ะวินด์ เวล”
เจ้าปลาทองที่มีสีและขนาดผิดจากปลาทองทั่วไปว่ายน้ำวนไปมา พวกมันคือปลาที่หลุดรอดออกมาจากห้องทดลองของดิสโทเปียที่เธอเผอิญไปเจอเลยเก็บมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน มันทำท่าเหมือนจะสื่อสารกับเจนัสแต่เธอจะไปเข้าใจภาษาของปลาได้ไงกัน
“เฮ้ วินด์นายจะแกล้งเวลไม่ได้นะ!
เจนัสคว้าโหลปลาทองมาเขย่าเล็กน้อยเพื่อแยกทั้งสองออกจากกัน เจ้าปลาสีดำชื่อว่าวินด์ทั้งอารมณ์ร้ายและเอาแต่ใจ ส่วนตัวสีขาวชื่อว่าเวลนิสัยขี้กลัวและยอมวินด์ตลอด
“เวลนายต้องสู้กลับเหมือนที่ลีออนสอนไว้สิ! เอ๊ะ! จริงด้วย! ลีออนไง!”
เจนัสยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อนึกขึ้นได้ เธอจัดการป้อนอาหารเจ้าจอมซนทั้งสองก่อนจะเดินออกไปเพื่อจัดเสื้อผ้าบ้าง
“ลีออนต้องดีใจแน่ ๆ เลยที่ได้เจอกับวินด์และเวลเพราะหมอนั่นชอบสัตว์นี่น่าา”
เจนัสใช้เวลาในการเตรียมตัวสองวันถึงเริ่มเดินทางออกจากฐานอย่างเงียบเชียบ ภารกิจของเธอถือเป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่เจสเตอร์ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ท่านผู้นำได้ทำการจัดที่พักพร้อมห้องทดลองขนาดย่อมไว้ให้กับเธอแล้ว สถานที่นั้นแทบไม่มีใครรู้เส้นทางและไม่มีตำแหน่งปรากฏบนแผนที่ด้วย
“ทำภารกิจให้สำเร็จแล้วกลับมาอย่างปลอดภัยนะเจนัส จำเอาไว้ว่าเธอเป็นคนที่มีค่ามาก อย่าให้ใครรู้และอย่าไว้ใจใครจนเกินไป”
“ฉันจะกลับมาอย่างปลอดภัยค่ะ”
“ถ้าเกิดปัญหาอะไรเธอติดต่อไปหาเฟลิกซ์นะ เขารับภารกิจในเขตเดียวกับเธอน่าจะพอให้ความช่วยเหลือได้บ้าง”
เฟลิกซ์เป็นหนึ่งในหัวหน้าองค์กรแบบเดียวกับเธอและเป็นคนที่เจนัสค่อนข้างกลัวและให้ความเคารพในระดับหนึ่ง เขามีความเป็นพี่ชายค่อนข้างสูง สุขุม รอบคอบและยังฉลาดอย่างหาใครเทียบไม่ติดอีกด้วย
“ค่ะ งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
เธอเดินไปขึ้นรถหรูที่มาจอดรออยู่โดยไม่ลืมสวมหน้ากากประจำตัวที่สั่งทำขึ้นมา วงแขนเรียวอุ้มโหลปลาทองสุดรักสุดโปรดเอาไว้แนบอก ใบหน้าสวยถูกปกคลุมไว้เกินครึ่งเหลือเพียงดวงตาสีแดงที่ฉายชัดถึงความมุ่งมั่น
“รบกวนแวะที่นี่ให้ก่อนได้ไหมคะ ฉันต้องแวะไปทำธุระนิดหน่อย”
“ครับ....”
เจนัสส่งที่อยู่ของคลินิกลีออนให้กับคนขับรถ เธอจะแวะเอาปลาทองไปให้ลีออนที่คลินิกเลยเพราะถ้าให้โทรถามคงไม่ได้คำตอบแน่ ๆ
โชคดีที่คลินิกของลีออนหาไม่ยากอย่างที่คิดเธอเดินเข้าไปด้านในตึกที่ชั้นล่างเป็นเป็นสถานพยาบาลพร้อมทั้งแจ้งพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า
‘ฉันเป็นน้องสาวของลีออน พอดีเอาของขวัญมาเซอร์ไพรส์ห้องของเขาไปทางไหนคะ’
พนักงานที่เคาน์เตอร์ไม่ได้ถามอะไรต่อแต่ชี้ไปยังห้องทำงานของลีออน ร่างบางก้มหัวขอบคุณก่อนจะเดินไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายบอก เธอสวมฮู้ดเพื่อปิดบังหูเลยทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นอมมนุษย์
“ฮู่วว ห้องใหญ่เหมือนกันนะลีออน”
เจนัสวางโหลปลาลงบนโต๊ะทำงานพร้อมกับหยิบจดหมายที่เตรียมไว้มาวางไว้ข้าง ๆ ก่อนจะรีบออกไป เธอยังต้องไปทำภารกิจและนี่ก็เลยเวลามาพอสมควรแล้วด้วย
“ไว้เจอกันนะ วินด์ เวล อย่าดื้อกับลีออนล่ะ”
การเดินทางกินเวลาไปหลายชั่วโมง ระหว่างทางเธอต้องเปลี่ยนรถถึง 5 ครั้งและไม่มีใครรู้จุดหมายเลยแม้แต่คนเดียว วิวรายทางเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เธอลงจากรถ ตึกที่ไม่คุ้นตาและกลิ่นเหม็นเน่าลอยคละคลุ้งไปทั่ว
“ไม่เหมือนที่คิดไว้เลย.....”
สภาพเมืองที่เธอได้พบเจอแตกต่างจากรูปที่เคยเห็นเป็นอย่างมาก ความเสื่อมทรามมีให้พบอยู่ทั่วไปจนกลายเป็นความชินชาของคนที่พบเจอภาพเหล่านั้น
ทั้งเหล่าโจรที่วิ่งราวโดยไม่สนกฎหมาย ทั้งชายฉกรรจ์ที่รุมทำร้ายเด็กสาวตัวเล็ก ๆ และไร้ซึ่งหนทางหนีหรือแม้กระทั่งการฆ่ากันก็มีให้พบเจออยู่เกลื่อนท้องถนน
“มันคือเรื่องปกติเมืองเวสเปอร์ครับ กฎหมายไม่มีประโยชน์สำหรับที่นี่”
คนขับรถอธิบายให้เธอฟังด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ท่านผู้นำกำชับเขามาเป็นการส่วนตัวว่าให้คอยดูแลและอำนวยความสะดวกแก่เธอเท่าที่จะทำได้
“คนที่ฉันต้องไปเจอเขาอยู่ที่นี่งั้นเหรอคะ”
เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยเพราะในประวัติบอกว่าเขาเป็นคนที่มีอำนาจพอตัว งั้นการที่เขามาอยู่ที่นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
“เปล่าครับ แต่เขาลี้ภัยมาที่นี่เพราะคนที่ลอบสังหารรู้แล้วว่าเขายังไม่ตาย”
รถหรูเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ตามถนนที่ทอดยาวไร้จุดจบท่ามกลางสวยตาหิวกระหายที่จับจ้องมาราวกับจะกลืนรถเข้าไปทั้งคัน
“คนพวกนั้นเหมือนจะหมายตารถเรานะคะ”
“ใช่ครับ เพราะงั้นผมจะเร่งความเร็วสักหน่อยคุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
“ค่ะ เรารีบไปกันดีกว่า”
ก่อนที่จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดรถหรูก็วิ่งฉิวออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฝุ่นควันตลบจนมองไม่เห็นท้ายรถด้วยซ้ำ
“กลิ่นนี้มัน....”
ชายปริศนาที่นั่งอยู่บนซากตึกหันหน้าไปตามกลิ่นหอม ๆ ที่ลอยมาตามสายลมพลางสูดเข้าไปจนเต็มปอด ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนจะลุกยืนเต็มความสูง
“เจอตัวแล้วดวงดาวของผม~”
เพียงพริบตาเดียวเขาก็ทะยานไปตามตึกที่พังเสียหายเพราะสงครามเมื่อนานมาแล้ว จมูกโด่งสูดกลิ่นที่เฝ้ารอคอยมาตลอด 20 ปีพลางมุ่งหน้าตามไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
ใบหูสีดำขยับเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งความเร็วขึ้นกะทันหัน เจ้าของกลิ่นที่เขาเฝ้าตามหาอยู่ในรถคันนั้นมันมุ่งหน้าออกไปยังนอกเมืองแล้วหายไปในเงามืดของป่าไม้
“คิดถึงจังเลย พี่เจนัส....”
ความเร็วของรถยนต์นั้นไม่อาจเทียบพละกำลังเหนือมนุษย์ของเขาได้เพียงไม่นานเขาก็ตามมาประชิดแล้ว ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ได้ลงมืออย่างที่ใจคิดเพราะต้องการรู้จุดหมายปลายทางของเธอ
ถึงเวลานั้นค่อยไปเอาตัวเธอมาก็ยังไม่สาย.....
»»»«««
ท่ามกลางภูเขาที่โดดเดี่ยวไร้วี่แววของมนุษย์อาศัยอยู่กลับมีบ้านตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งหลัง มีคนคุ้มกันมากหน้าหลายตากำลังทำหน้าที่คอยสอดส่องเพื่อรักษาความปลอดภัย
รถหรูที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันแล่นเข้ามาจอดอย่างคุ้นชินก่อนที่คนขับรถจะลงมาเปิดประตูให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถ
“เชิญครับ คุณเจนัส”
ร่างบางขยับหน้ากากคู่ใจให้เข้าที่พร้อมกับก้าวลงรถอย่างมั่นคง เส้นผมสีทองพลิ้วไหวไปตามแรงขยับทำให้หลายคนหันไปสนใจผู้ที่มาเยือนอย่างเธอ ดวงตาสีแดงกวาดมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจก่อนจะเดินตามคนขับรถเข้าไปในบ้านหลังใหญ่เพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง
“ผมคิดว่าคุณคงอ่านข้อมูลมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
เธอตอบรับคนขับรถที่ไม่ยอมแม้กระทั่งจะบอกชื่อกับเธอ เขาให้เหตุผลว่าตัวตนของเขาถือเป็นความลับและไม่อาจบอกชื่อได้
“งั้นผมจะเสริมในส่วนที่ขาดให้แล้วกันนะครับ”
ร่างสูงเดินนำมาหยุดที่หน้าประตูบานหนึ่ง บอดี้การ์ดที่คุ้มกับก้มหัวทำความเคารพก่อนจะเปิดประตูให้อย่างนอบน้อม ในห้องนอนกว้างเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดพร้อมกับหมอและพยาบาลอีกหลายชีวิต
ทุกคนหันมามองเจนัสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย มนุษย์ครึ่งสัตว์แบบเธอไม่ใช่ว่าจะหาดูได้ง่าย ๆ จึงไม่แปลกที่จะตกเป็นเป้าสายตาก่อนที่คนข้าง ๆ เธอจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ทุกคนออกไปก่อน”
หมอและพยาบาลหลายชีวิตวางทุกอย่างในมือลงและออกไปข้างนอกตามคำสั่ง บนเตียงกว้างมีร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังนอนหายใจรวยริน
“ชื่อของเขาคือ คาลเตอร์ เอลเซอร์แวน คุณอาจไม่รู้จักสักเท่าไหร่แต่เขาคือว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป....”
ใบหน้าที่ดูเหมือนจะชราเกินกว่าประวัติทำให้เจนัสขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ในไฟล์ที่ได้รับมาบอกว่าเขาอายุแค่ 40 ต้น ๆ เอง
“เกิดอะไรขึ้นกับเขาคะ?”
“เขาถูกลอบโจมตีจากบางอย่างที่เรายังระบุไม่ได้และผลของมันก็ทำให้เขากลายเป็นชายวัย 70 อย่างที่เห็นพร้อมกับ.....”
เขาเปิดเสื้อของคาลเตอร์ออกเผยให้เห็นรอยกรงเล็บขนาดใหญ่ที่ดูไม่เหมือนรอยของสัตว์ มันพาดผ่านไหปลาร้าลงมาและยาวลงไปจนถึงเอว”
“พระเจ้า....เขารอดมาได้ยังไงคะ”
บาดแผลรุนแรงและยากมากที่จะรักษาด้วยการแพทย์ทั่วไป นี่สินะคือสาเหตุที่เธอต้องมาด้วยตัวเองเพราะเอาเข้าจริงเจนัสก็ไม่มั่นใจเลยว่าพลังของเธอจะช่วยได้
มันไม่ใช่บาดแผลที่เกิดจากมนุษย์หรือสัตว์และถ้าให้เดามันต้องเป็นฝีมือของดิสโทเปียแน่ ๆ
“เรายื้อชีวิตเขาด้วยทุกวิธีเท่าที่จะทำได้แล้วครับ ที่เหลือคงต้องรบกวนคุณ”
“ฉันจะพยายามนะคะ”
เขาออกไปจากห้องปล่อยทิ้งให้เจนัสอยู่ตามลำพังกับคนเจ็บ มือเรียวถอดหน้ากากออกและเริ่มลงมือรักษาโดยเริ่มจากการสมานแผลที่หน้าอกเป็นอันดับแรก
มือบางแตะลงอย่างแผ่วเบาบนหน้าอกที่เหวอะหวะและเต็มไปด้วยเลือด ร่างของชายตรงหน้าสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความเจ็บที่แล่นขึ้นมาตามบาดแผล
“อดทนนะคะ ฉันจะช่วยคุณเท่าที่จะทำได้”
รอยกรงเล็บเริ่มสมานกันช้า ๆ ไปทีล่ะนิด เพราะมันลึกและค่อนข้างใหญ่ทำให้เจนัสไม่สามารถรักษาทั้งหมดได้ในคราวเดียว เธอทำการรักษาไปได้แค่ 1 ใน 4 ของบาดแผลก็แทบทำเอาหมดแรงแล้ว
“เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย....”
เธอถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งใจ อย่างน้อยสีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นกว่าตอนแรกอย่างเทียบไม่ติดแม้จะยังมีบาดแผลหลงเหลืออยู่มากก็ตาม