ฉันรีบออกไปยังเขตนอกเมืองเวสเปอร์แถว ๆ ซากรถที่ คาลเตอร์ถูกลอบโจมตีเพื่อไขข้อข้องใจบางอย่าง พอฟังเรื่องที่เอสโทเพลเล่าแล้วก็แอบตงิดใจยังไงบอกไม่ถูก
“แฮ่ก....แฮ่ก....เฮ้อออ ไม่ได้ออกกำลังกายนานระยะทางแค่นี้เหนื่อยชะมัดเลย”
ฉันปาดเหงื่อที่เปียกตามใบหน้าออกก่อนเริ่มสำรวจรอบรถที่เสียหายอีกครั้ง รอบนี้ฉันไม่ได้โฟกัสที่จุดของคาลเตอร์แต่มุ่งความสนใจไปที่อย่างเดียวเท่านั้น
รอยกรงเล็บ
มันติดตาฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้วเพราะการจะสร้างรอยขนาดนี้ได้ย่อมต้องมีพละกำลังมหาศาลรวมทั้งมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำด้วย
ตอนแรกฉันก็แอบคิดว่ามันคือฝีมือของเอสโทเพลด้วยซ้ำ เขามีทุกอย่างที่ฉันสงสัย ทั้งพละกำลัง ทั้งความแข็งแรงของร่างกายรวมทั้งแรงจูงใจด้วย
“ใช่จริง ๆ ด้วยสินะ นี่ไม่ใช่ฝีมือของเอส....”
อีกอย่างที่ทำให้มั่นใจว่ามันอาจเป็นคนอื่นนั้นก็เพราะประโยคที่เอสโทเพลบอกว่าเขาเป็นตัวต้นแบบในการทดลองรุ่นหลัง ๆ
นั่นแสดงว่าตอนนี้คงมีมนุษย์หมาป่ามากกว่าหนึ่งตัวแน่ ๆ และมันหมายถึงว่าการทดลองของพวกมันกำลังไปได้สวย
“แย่แล้ว! ต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไวที่สุด”
“แกร๊ง!!!”
ฉันกำลังจะกดอัปโหลดข้อมูลที่เพิ่งได้รู้มาสด ๆ ร้อน ๆ ให้กับทางท่านผู้นำได้รู้และเตรียมการรับมือแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีเงาปริศนาพุ่งเข้ามาโจมตีทำเอาเกือบตั้งรับไม่ทัน
“จะดูถูกเพราะเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ได้นะ”
เขายกกรงเล็บมากันมีดไว้ได้ก่อนที่เราจะต่างคนต่างดีดตัวออกจากกันเพื่อหยั่งเชิงและดูท่าทีของอีกฝ่าย
“แกเป็นใครกันแน่”
“....”
มันเอียงหัวเล็กน้อยก่อนจะแสยะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและชวนขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก แม้จะไม่เห็นหน้ามันชัด ๆ แต่ฉันก็รู้ได้ว่าคนคนนี้อันตรายมาก
ถ้าสู้กันยืดเยื้อฝ่ายที่เสียเปรียบจะเป็นฉันเองเพราะฉันไม่ใช่สายต่อสู้เหมือนแคลร์หรือคนอื่น ๆ ในหน่วย ความสามารถฉันเหมาะกับการอยู่แนวหลังมากกว่า
“ขอค่าหัว 50 ล้านปอนด์ของเธอไปก่อนแล้วกันนะ สาวน้อย~~”
ค่าหัว? มันหมายถึงอะไรกัน....ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ทำความเข้าใจเขาก็พุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง มันทั้งหนักหน่วงและรุนแรงจนแทบล้มทั้งยืน แม้จะโชคดีกันเอาไว้ได้แต่ต้องยอมรับเลยว่าครั้งหน้าฉันอาจไม่โชคดีแบบนี้
“เก่งนี่~ รับการโจมตีฉันได้ด้วย”
“ก็แค่เรื่องง่าย ๆ เอง นายไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นสักหน่อย”
ฉันจงใจยั่วโมโหมันให้ได้มากที่สุดซึ่งมันก็ได้ผล ดวงตาสีแดงวาววับด้วยความโกรธก่อนจะพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
เคร้ง!!
ฉันตั้งรับพร้อมกับถอยหลังไปเรื่อย ๆ หมอนี่นอกจากจะมีกรงเล็บที่เหมือนกับหมาป่าแล้วยังเสริมแกร่งมันด้วยแร่พิเศษที่หาได้ยากอีกด้วย
“อึ่ก....”
“เอ้าๆ ท่าทีอวดดีเมื่อกี้มันหายไปไหนแล้วล่ะ มีแรงสู้แค่นี้หรือไงกัน!”
ตู้ม!!!
กรงเล็บตวัดผ่านหน้าฉันไปแบบหวุดหวิดแล้วกระแทกเข้ากับซากของบ้านร้าง มันพังทลายลงมาในพริบตาไม่เหลือเค้าโครงเดิมของตัวบ้านเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้ออ เกมแมวจับหนูมันก็สนุกอยู่หรอกนะ แต่ฉันเบื่อแล้ว จะเดินตามไปดี ๆ หรือจะให้หักขาก่อนดี?”
“สนใจเอาศพฉันไปไหมล่ะ เพราะแค่หักขาฉันก็ไม่ยอมตามแกไปหรอก”
“หึ ปากดีจริง ๆ อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงแบบแกมีอะไรดีถึงขนาดที่มีค่าหัวสูงลิ่วแบบนั้น”
“....”
ฉันหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาทางหนีทีไล่แต่ดูแล้วไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลยแต่ถึงแบบนั้นฉันก็ยังมีไม้ตายอยู่....
ยาที่ทำให้แคลร์ฉันเองก็มีมันด้วย เอาจริง ๆ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากใช้เท่าไหร่ สภาพร่างกายของฉันกับแคลร์ต่างกันราวฟ้ากับเหวและไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าหลังใช้ฉันจะมีสภาพเป็นยังไงบ้าง
ความเสี่ยงมันมีมากซะจนประเมินไม่ได้....แต่ถ้าต้องถูกจับตัวไปก็เสี่ยงมันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า! ฉันจะไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือใครหน้าไหนทั้งนั้น
“ไปด้วยกันดี ๆ เถอะน่า นี่ถ้าไม่ติดว่าให้จับเป็นฉันคงหักคอเธอแล้วลากออกไปแล้ว”
“งั้นแกควรจะทำแบบนั้นมากกว่านะ เพราะว่า-”
‘กรรรรร’
เราทั้งสองต่างชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงข่มขวัญของสัตว์ป่าที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แถมจู่ ๆ อากาศโดยรอบก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
“คะ ใครน่ะ!”
‘กรรรร’
“ฉันถามว่าใคร!!!!”
มันตะโกนถามด้วยท่าทีลนลานแล้วตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้ความมืดรอบ ๆ ทำให้ขอบเขตการมองเห็นลดลงและไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่มองไม่เห็นฉันเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน
“อย่า...แตะต้องเธอ”
พอจบประโยคนั้นร่างของชายอีกคนก็ปลิวไปกระแทกกับซากตึกดังโคร่ม!! พร้อมกับเศษปูนที่ร่วงกราวลงมาฝังร่างเอาไว้
“แฮ่ก....แฮ่ก....”
หมาป่าหนุ่มตรงหน้าหายใจหอบถี่ ดวงตาทั้งสองแดงก่ำราวกับสัตว์ร้ายใบหน้ามีขนสีดำปกคลุมเอาไว้บางส่วนแต่ฉันยังจำเขาได้ดี
“เอสโทเพล ใจเย็น ๆ ก่อนนะ”
ดวงตาสีแดงที่บ้าคลั่งหันขวับมามองฉันราวกับจำกันไม่ได้ ถึงจะแอบกลัวนิดหน่อยแต่ฉันรู้สึกได้ว่าถ้าถอยออกไปตอนนี้เขาจะต้องเสียใจมากแน่ ๆ
“เอส นี่พี่เองนะ เจนัสไง...”
“เจ..นัส?”
“ใช่ พี่เองนะ”
ฉันยกมือกุมแก้มเขาเอาไว้ เอสโทเพลค่อย ๆ หลับตาและผ่อนลมหายใจลงช้า ๆ ขนสีดำเริ่มหดกลับไปใต้ผิวหนัง อุณหภูมิร่างกายเขาเริ่มกลับมาเป็นปกติ
“พี่เจนัสใจร้ายมากเลยนะครับ.....”
“ขอโทษนะ”
ฉันรู้ว่าเขาหมายถึงอะไรและที่ทำลงไปก็เพราะมีเหตุผล ถ้าฉันพาเขามาด้วยคนที่อยู่เบื้องหลังก็จะไม่ยอมออกมาแค่ถ้าจะมาคนเดียวแน่นอนว่าเอสโทเพลไม่มีทางยอมแน่ ๆ ทางเลือกสุดท้ายก็คือการแอบออกมาเท่านั้น
“กลับกันเถอะเอส”
“ครับ....”
ฉันตั้งใจจะพาเขาออกไปจากที่นี่ทันที ส่วนชายคนนั้นก็คิดว่าจะปล่อยให้สลบอยู่แบบนั้น ฉันไม่อยากฆ่าใครตอนนี้และก็ไม่อยากให้เอสโทเพลลงมือเองด้วย เขาฆ่าคนมามากเกินพอแล้วฉันไม่อยากให้เขาต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้
“เอส มองหน้าพี่”
เขาละสายตาจากชายคนนั้นมามองหน้าฉัน ดวงตาที่บ้าคลั่งค่อย ๆ สงบลงไปทีล่ะนิด เอสโทเพลจับมือฉันไปแนบกับแก้มแล้วถูไถเบา ๆ
“เด็กดี เชื่อฟังพี่นะ ตกลงไหม?”
พอเห็นเขาพยักหน้าตกลงแต่โดยดีแล้วก็อดโล่งใจไม่ได้ เราเดินออกไปจากซากปรักหักพังแล้วหยุดลงที่ชายป่า
“อืม นายกลับไปก่อนก็ได้นะเดี๋ยวฉันตามไป รถฉันมันขี่ได้คน-ว๊าย! เอส!!”
อยู่ ๆ เขาก็อุ้มฉันขึ้นมาเฉยเลย หมอนี่จะแรงเยอะเกินไปหรือเปล่าเนี่ย!
“เอส ปล่อยพี่ลงเถอะนะ บะ แบบนี้มัน....”
“เกาะไว้แน่น ๆ นะครับ”
แทนที่เขาจะฟังที่ฉันบอกเอสโทเพลกลับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วเริ่มออกวิ่ง สายลมเย็น ๆ ปะทะผิวจนฉันสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ อากาศที่นี่ในเวลากลางคืนค่อนข้างจะต่ำกว่ากลางวันอยู่มาก
“กอดผมไว้สิครับ ผมจะช่วยให้พี่อุ่นเอง”
ฉันไม่มีทางเลือกมากนักเลยต้องทำตามที่เขาบอก ไออุ่นจากเอสโทเพลช่วยได้เยอะเลยล่ะมันกลบความหนาวเหน็บโดยรอบไปจนหมดเลย
จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นว่าเขาโตกว่าเมื่อก่อนมากแค่ไหน ตอนเด็ก ๆ ยังร้องไห้เพราะถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เลย
“คิก คิก....”
“หัวเราะอะไรครับ”
“ก็เปล่า แค่คิดถึงนายตอนเด็ก ๆ ที่วิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งมาหาน่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่านายจะโตขนาดที่อุ้มฉันไปไหนมาไหนได้แล้ว”
“พี่ครับ มันผ่านมายี่สิบปีแล้วนะครับ ลืม ๆ มันไปเถอะ”
“ไม่เอา ถ้าฉันลืมแล้วใครจะจำมันล่ะ นายเองก็จำช่วงนั้นไม่ได้ไม่ใช่หรือไง”
“....ถึงแล้วครับ”
เขาวางฉันลงที่ข้างเตียงอย่างแผ่วเบาและไม่ยอมตอบคำถามฉันตามเคย ทำไมถึงได้โตมาเดาใจยากขนาดนี้กันนะ
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“จะว่าไปมันก็ดึกมากแล้วนะ นายกลับบ้านก่อนก็ได้นะพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันต่อ”
ฉันเหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้างผนัง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดีเราคุยกันทั้งวันจนลืมเวลาไปเลยแต่กลับไม่มีการตอบรับจากเขาที่กำลังยืนหลังหลังให้ฉัน
เกิดอะไรขึ้น?
“เอส?”
เขายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนเดิม ดวงตามองไปยังนอกหน้าต่างที่วันนี้ดูจะสว่างกว่าปกติ ร่างสูงสั่นเทาเล็กน้อยเหมือนคนกำลังอดกลั้นบางอย่างเอาไว้
“เอส นายโอเคไหม?”
ฉันแตะแขนเขาเบา ๆ ก่อนจะรีบดึงมือออก ร่างกายเขาร้อนเป็นไฟเลยแถมบรรยากาศรอบ ๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย ฉันว่าฉันรู้จักมันนะอาการแบบนี้น่ะ.....
ถ้านับจริง ๆ แล้วเอสก็แทบจะเป็นหมาป่ามากกว่ามนุษย์ไปแล้ว พฤติกรรมบางอย่างก็มีความคล้ายคลึงกับสัตว์มากกว่าด้วยและที่สำคัญวันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงด้วย....เพราะงั้นมันคงจะไม่แปลกถ้าเขา.....
“เอส...นายฮีทเหรอ!”