ในเช้าของวันรุ่งขึ้นเมืองอีสเทอร์วิลล์ก็ได้ตกอยู่ในความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก ศพของนาเดียร์ถูกนำไปตั้งไว้กลางเมืองในสภาพที่ถูกตรึงกับไม้และร่างกายเปลือยเปล่าพร้อมกับใบปลิวหลายแผ่นที่กระจายอยู่โดยรอบจัตุรัสน้ำพุกลางเมืองและคนที่มาพบศพคนแรกคือครอบครัวที่ตั้งใจพาลูกสาวมาชมน้ำพุในยามเช้า
“กริ๊ดดดด!!!!”
เสียงกรีดร้องของครอบครัวนั้นดังก้องไปทั่วเมืองปลุกให้ทุกคนวิ่งกรูออกมาอย่างตื่นตระหนก ภาพตรงหน้าโหดร้ายจนไม่อาจให้เด็ก ๆ ดูได้ พ่อแม่หลายคนพาลูกกลับเข้าที่พักพร้อมกับสั่งห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน
ศพของนาเดียร์แทบจะเรียกว่ามนุษย์ไม่ได้ ใบหน้าสวยงามเสียโฉมและมีแผลเหวอะหวะจากการถูกกรีด ข้อมือและข้อเท้าถูกเฉือนเส้นเอ็นออกอย่างโหดร้าย เครื่องในถูกควักออกมาเรียงเป็นตัวอักษรบนพื้นจนเลือดเจิ่งนองไปทั่ว
DTPX
คือตัวอักษรที่ถูกเรียงด้วยเครื่องในบนพื้น มันคือโค้ดที่ไว้ใส่ให้กับตัวทดลองในดิสโทเปียและเป็นคำเตือนที่เอสโทเพลต้องการส่งให้กับองค์กร
ว่าดิสโทเปียจะต้องมีจุดจบไม่ต่างจากนาเดียร์
โรงเรียนทั้งหมดแจ้งประกาศหยุดการเรียนด่วนอย่างไม่มีกำหนด จัตุรัสน้ำพุอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองถูกกั้นด้วยเทปสีเหลือง เจ้าหน้าที่ตำรวจนับสิบต่างเข้าร่วมการสืบคดีเพื่อค้นหาว่าเธอเป็นใคร
“นะ นี่มัน นะ นายกเทศมนตรีนาเดียร์!!!”
เพราะใบหน้าเสียหายจนไม่อาจมองออกตั้งแต่แวบแรกกว่าพวกเขาจะรู้ว่าศพตรงหน้าเป็นใครก็ผ่านไปพักใหญ่แล้ว เจ้าหน้าที่รีบติดต่อไปยังเมืองหลวงเพื่อขอแพทย์ชันสูตรฝีมือดีมาช่วยในการทำคดี
“โหดร้ายเกินไปแล้ว”
“ฝีมือใครกันที่ทำแบบนี้”
“คุณนาเดียร์เป็นคนดีแท้ ๆ เลย ไม่น่าต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้”
“เฮ้! ดูใบปลิวพวกนี้สิ มันถูกโปรยไปทั่วเมืองเลยนะ!”
หนึ่งในชาวเมืองที่มามุงดูศพ ณ จัตุรัสตะโกนขึ้นพร้อมกับชูแผ่นใบปลิวไปมาเพื่อเรียกความสนใจจากคนอื่น ๆ และแน่นอนว่ามันได้ผล มือหลายคู่ต่างพากันก้มเก็บกระดาษขึ้นมาอ่าน สีหน้าของชาวเมืองเปลี่ยนไปเมื่อได้อ่านเรื่องราวเลวร้ายที่ถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!’
‘โหดร้ายที่สุดเลย’
‘ไม่จริงน่า คุณนาเดียร์น่ะเหรอ โกหกแน่ ๆ’
‘แต่เธอรับอุปการะเด็กจริงนะ!’
แม้กระทั่งตำรวจที่อยู่รอบ ๆ ก็ยังอดสงสัยไม่ได้และก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาอ่านบ้าง ก่อนที่จะรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเอาใบปลิวไปให้นายอำเภอดู
“นะ นายอำเภอครับ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!”
“อะไรอีก!”
“นะ นี่ครับ ใบปลิวพวกนี้ถูกโปรยไปทั่วเมืองแล้วครับ!
นายอำเภอเบิกตากว้างในขณะที่ไล่อ่านทีล่ะตัวอักษรก่อนจะออกคำสั่งด้วยเสียงห้วน ๆ
“ไปเก็บกลับมาให้หมด ห้ามใครอ่านมันเด็ดขาด ไปเดี๋ยวนี้เลย!”
“ครับ!”
ทว่ามันก็สายไปซะแล้ว จำนวนของใบปลิวที่โปรยลงทั่วเมืองนั้นมีมากจนเก็บไม่หมด แม้กระทั่งคนที่อยู่ห่างออกไปจากจัตุรัสก็ยังได้รับใบปลิวนี้ ข่าวใหญ่ที่จะสั่นสะเทือนเมืองอีสเทอร์วิลล์ไปอีกหลายปีได้ถูกส่งถึงมือชาวเมืองแล้ว
ใจความในใบปลิวนั้นได้เขียนเอาไว้ว่า
‘เปิดโปงความชั่วของนายกเทศมนตรีนาเดียร์ หญิงสาวที่ขายลูกสาวเพื่อเงินตราและตกอยู่ใต้อำนาจเงินโดยสมบูรณ์’
ข้อความสีแดงขนาดใหญ่ถูกพาดอยู่บนหัวกระดาษ ด้านล่างลงมามีข้อความบรรยายถึงการกระทำของนาเดียร์และรูปเหล่าเด็ก ๆ ที่ถูกล่ามโซ่มือและเท้ากำลังเดินขึ้นรถสีดำโดยมีนาเดียร์กำลังยืนคุมเด็ก ๆ อยู่
ทั่วทั้งเมืองต่างตกอยู่บนความโกลาหล ทั้งศพที่รอเจ้าหน้าที่มาตรวจ ทั้งชาวเมืองที่ต้องการทราบข้อเท็จจริงในใบปลิวจนพากันกรูเข้าไปขอคำตอบจากนายอำเภอซึ่งเป็นคนสนิทของนาเดียร์
‘เรื่องจริงงั้นเหรอนายอำเภอ!’
‘นายอำเภอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า แล้วเด็ก ๆ พวกนั้นไปอยู่ไหนแล้ว!!’
‘หลานสาวของเพื่อนฉันที่คุณนาเดียร์อุปการะไปล่ะ ยังมีชีวิตอยู่ไหม ฉันอยากได้หลานคืน!’
เอสโทเพลที่ปลอมเป็นชาวเมืองค่อย ๆ ถอยห่างออกมาเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เขาคือคนที่ตะโกนเรื่องใบปลิวขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากชาวเมืองและตอนนี้ก็หมดหน้าที่เขาแล้ว
“คิดถึงพี่เจนัสจังเลย ป่านนี้จะทำอะไรอยู่นะ....”
»»»»»«««««
“ฮัดชิ้่ว!”
เจนัสดึงกระดาษทิชชู่มาซับน้ำมูกทันทีก่อนที่มันจะหยดลงบนตัวยาที่กำลังทำวิจัยอยู่
“เหมือนจะป่วยเลย....”
ร่างบางเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้าแล้วหลับตาลง เธอไม่ได้นอนมาสองวันแล้วเพราะมัวแต่ยุ่ง ๆ และไม่ได้เจอเอสโทเพลมาสองวันแล้วเช่นกัน
“เจ้าเด็กนั่น....หายไปเลยนะ....หาว~”
เพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทำให้ไม่นานเธอก็หลับไปบนเก้าอี้ทำงานตัวโปรดและฝันถึงเรื่องตอนที่ยังเด็ก ช่วงเวลาก่อนจะถูกทดลองเป็นช่วงเวลาที่แสนมีค่าสำหรับเธอ
‘เป็นเด็กดีแล้วรอแม่ที่นี่นะ แม่จะรีบกลับมารับ’
‘หนูไปด้วยไม่ได้เหรอคะ?’
‘แม่ต้องไปทำงานนะ อยู่กับลุงคานิกซ์ อย่าดื้อ อย่าซนและต้องเป็นเด็กดีเข้าใจไหม?’
‘ค่ะ คุณแม่....’
เด็กน้อยวัยสามขวบยืนมองท้ายรถของผู้เป็นแม่แล่นออกไปไกลจนลับตาก่อนจะถูกพาตัวเข้าไปยังบ้านพักหลังหนึ่ง เธอได้ห้องนอนที่ตกแต่งอย่างสวยงามและมีของเล่นมากมาย เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่ต้องการเลยก็ว่าได้
ถึงอย่างนั้นเจนัสก็มักจะเหม่อมองไปยังถนนอยู่ทุกวันด้วยความคิดที่ว่าสักวันแม่จะต้องมารับแน่ ๆ จนกระทั่งผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่าเธอก็ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งเงาของผู้เป็นแม่เลยสักครั้ง
จนเธออายุได้ 5 ขวบและเริ่มถอดใจเรื่องที่แม่จะมารับ เจนัสก็ได้พบกับเด็กชายอีกคนที่ทำให้โลกของเธอสดใสขึ้นมา ในตอนนั้นเขามีโค้ดเนมว่า ‘DTPX0013’
เจนัสได้รับคำสั่งจากคานิกซ์ให้ดูแลเด็กคนนี้ที่อายุอ่อนกว่าเธอสองปี ความสนิทสนมของทั้งคู่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การจับตามองของผู้ใหญ่จนกระทั่งพวกเขาแอบตั้งชื่อให้กันและกัน
เจนัสตั้งชื่อให้เขาว่าเอสโทเพล
และเอสโทเพลก็ตั้งชื่อให้เธอว่าเจนัส
ทั้งคู่มักมานั่งมองท้องฟ้าด้วยกันเสมอในยามราตรี ต่างคนต่างโอบกอดกันและกันไว้ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด ความเศร้าในใจของเจนัสได้เอสโทเพลมาช่วยเยียวยาและความเสียใจที่ถูกครอบครัวทอดทิ้งของเอสโทเพลก็ได้เจนัสช่วยเยียวยาเช่นกัน
จนกระทั่งวันนั้นมาถึง วันที่โลกทั้งใบแตกสลายลงเพราะได้รู้ความจริงทั้งหมด เจนัสในวัย 5 ขวบได้รู้เรื่องราวในอีกแง่มุมหนึ่งของดิสโทเปียเข้า
สถานที่พักพิงที่คนทั่วโลกต่างสรรเสริญว่าดีเลิศยิ่งกว่าที่ใด เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและความเลวทราม
และใช่....เธอเองก็เป็นแค่ตัวทดลองที่ถูกกำหนดไว้แล้ว....
“ลุงคานิกซ์ ปล่อยหนูเถอะค่ะ หนูขอร้อง!”
“หืมม ไม่ได้หรอก หนูคงไม่รู้แต่ลุงรอวันนี้มานานมากเลยล่ะ วันที่เธอจะผูกพันกับใครสักคนและอยากมีชีวิตเพื่อคนคนนั้นยังไงล่ะ”
“ฮึก ทะ ทำไมลุงทำกับหนูแบบนี้”
“เพราะเธอเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศที่เหมาะกับการทดลองพลังรักษาน่ะสิ! เธอเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่สามารถรักษาตัวเองได้! แถมยังทนทานต่อยาชนิดต่าง ๆ บนโลกด้วย ดีจริง ๆ ที่แม่ของเธอขายเธอให้กับฉัน ฮ่า ๆ ๆ”
“ฮึก ฮืออ หนูกลัว”
เธอไม่รู้แล้วว่าต้องตกใจกับอะไรก่อนดี ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนตั้งตัวไม่ติดและหนักหนาเกินกว่าเด็ก 5 ขวบอย่างเธอจะรับไหว
“ฉันสรรหายาพิษที่ร้ายแรงขนาดล้มช้างได้ด้วยหยดเดียวมาให้เธอกิน ผสมลงในอาหารทุกวันโดยเพิ่มปริมาณไปทีล่ะนิด แล้วดูผลลัพธ์สิ! เหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ เธอไม่มีอาการอะไรเลย! ใช่แล้ว! ร่างกายเธอพิเศษและน่าทึ่งเหลือเกิน!”
คนตรงหน้าเธอตอนนี้ไม่เหลือเค้าคนที่แสนใจดีและอ่อนโยนเลยแม้แต่นิดเดียว เขาดูบ้าคลั่งและหลงใหลในพรสวรรค์ของเธอจนน่ากลัว
ในห้องทดลองหลังจากนั้นเต็มไปด้วยเสียงร้องจากความเจ็บปวดของเธอและเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของคานิกซ์ตลอดสองวัน วันที่สามเจนัสแทบไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลยคานิกซ์จึงออกคำสั่งให้ไปนำตัวเอสโทเพลเข้ามา
แน่นอนว่าคำพูดนั้นทำให้เจนัสได้สติกลับมา เธอทนรับการทดลองที่โหดร้ายต่อไปเรื่อย ๆ รับยาที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อเธอเข้าสู่ร่างกายเข็มแล้วเข็มเล่าจนในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วหมดสติไป สิ่งสุดท้ายที่อยู่ในความทรงจำคือเอสโทเพลที่กำลังร้องขอให้คานิกซ์หยุดทดลองเธอแล้วเขาจะยอมทุกอย่าง
แม้ไม่อยากให้เด็กชายต้องมาเจอแบบเธอเลยแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ กว่าที่เจนัสจะฟื้นมาอีกครั้งทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว
“ดีจริง ๆ เลยล่ะ ฉันได้ทั้งผู้รักษาและมนุษย์หมาป่าสายพันธุ์พิเศษมาแบบนี้ คุ้มค่ายิ่งกว่าผลงานทั้งหมดที่เคยทำมาเลย จัดเตรียมการทดลองต่อไปให้เรียบร้อยและดูแลเด็กสองคนนี้ให้ดี เพราะฉันยังมีอีกหลายอย่างที่อยากจะทดลองกับพวกมัน.....”
เฮือก!!
เจนัสสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเพราะโทรศัพท์ที่กำลังแผดเสียงอย่างบ้าคลั่ง มือบางยกนวดขมับเบา ๆ พลางตั้งสติก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหลว่าไงแคลร์”
(ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น ฝันร้ายใช่ไหม?)
“ก็....เหมือนเดิมนั่นล่ะ ไม่รู้ทำไมถึงได้ฝันอีกแล้ว ทั้งที่ไม่เป็นมาหลายปีแล้วแท้ ๆ”
(ให้ตายเถอะ อดนอนอีกแล้วสินะ)
เจนัสเลือกไม่ตอบเพราะรู้ว่าคงถูกบ่นแน่ ๆ ปลายสายเลยได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มพูดต่อด้วยเสียงจริงจัง
(ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอรู้สึกยังไง แต่เรื่องที่ฉันโทรมามันสำคัญจริง ๆ)
น้ำเสียงของแคลร์ทำให้เจนัสชะงักไป ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินคำพูดแบบนี้จากแคลร์
“ว่ามาสิ ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า”
(ตั้งสติแล้วฟังให้ดี ๆ นะ ตอนนี้ฉันมาทำงานที่อีสเทอร์วิลล์ ที่นี่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นและคนเสียชีวิตคือนายกเทศมนตรีที่ชื่อว่านาเดียร์ เคสเกอร์)
“โอเค....”
(คนคนนี้.....มีกรุ๊ปเลือดและใบหน้าที่เหมือนกับเธอมาก ๆ ฉันเลยเอาเลือดของเธอกับนาเดียร์มาเทียบกัน ผลของมันออกมาแล้ว)
“....”
(นาเดียร์เป็นแม่แท้ ๆ ของเธอ เจนัส แม่ที่เธอเคยอยากตามหาตอนนี้ถูกฆ่าตายแล้ว....)