ฉันจำไม่ได้ว่าแคลร์พูดอะไรก่อนวางสายไป ในหัวมันยังงุนงงและสับสนอยู่จนคิดอะไรไม่ทัน
“แม่....งั้นเหรอ....”
ถึงจะบอกว่าเป็นแม่แต่เอาตรง ๆ เลยนะ ทั้งหน้าทั้งชื่อฉันลืมมันไปหมดตั้งนานแล้ว ที่เคยบอกแคลร์ว่าอยากตามหาแค่อยากเจอสักครั้งเท่านั้นแต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าข่าวแรกที่เกี่ยวกับแม่จะเป็นข่าวการตายซะงั้น
ฉัน....ต้องเสียใจไหมนะ....
“เฮ้ออ สับสนจัง....”
ถ้าบอกว่าไม่ผูกพันมันจะผิดหรือเปล่า? ฉันไม่ได้เจอแม่ตั้งแต่วันนั้นที่แม่พาไปหาคานิกซ์และไม่เคยโผล่หน้ากลับมาแม้แต่ครั้งเดียว พอวันเวลาผ่านไปก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นแล้วด้วย
ถึงจะตกใจอยู่บ้างเรื่องที่แม่ตายแต่ลึก ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้เสียอกเสียใจมากขนาดนั้นสักเท่าไหร่ กลับกันดันรู้สึกโล่งใจมากกว่าซะอีก
ติ๊ง!
ฉันหยิบมือถือมาเปิดอ่านรายงานผลชันสูตรที่แคลร์ส่งมาให้ ศพของแม่แย่กว่าที่คิดไว้เยอะเลย ใบหน้าเสียหายจนแทบระบุอัตลักษณ์ไม่ได้ เอ็นข้อมือและข้อเท้าเสียหายอย่างหนักชนิดที่ว่าต่อให้รอดก็คงต้องพิการอย่างแน่นอน
ภาพอักษรในรูปสุดท้ายกลับดึงดูดฉันได้มากที่สุดถึงจะสยดสยองไปบ้างก็เถอะ คนที่ทำคงแค้นน่าดูเลยล่ะ
“DTPX”
โค้ดนี่ฉันรู้จักมันดีเพราะมันเคยอยู่บนร่างกายของฉันเมื่อหลายปีก่อน โค้ดของตัวทดลองจากดิสโทเปีย มันมีไว้เพื่อระบุศพในกรณีที่ตัวทดลองเสียหายหนักเกินไป
“มันไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไงกัน....”
คำถามคือทำไมตัวอักษรนี้ถึงอยู่หน้าศพของแม่ได้? คนที่ทำต้องการอะไรจากเรื่องนี้กันแน่ ทำไมนายกเทศมนตรีจากเมืองที่ห่างไกลอย่างอีสเทอร์วิลล์ถึงตกเป็นเป้าของฆาตกร?
มันมีแต่คำถามเต็มไปหมดจะฉันเริ่มปวดหัว ในขณะที่กำลังจะกดปิดแชทแคลร์ก็ส่งรูปใบปลิวมาให้พร้อมกับข้อความ
‘เธอควรอ่านมันนะ’
ฉันขยายรูปขึ้นก่อนจะไล่อ่านทีล่ะบรรทัดช้า ๆ รอบแรกอ่านผ่าน ๆ และอ่านทวนอีกรอบเพื่อหาจุดสังเกต สิ่งแรกที่สะดุดตานอกจากตัวหนังสือสีแดงที่พาดหัวคือลายมือ มันคุ้นมาก ๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นจากที่ไหน
“อืมม คุ้นตาจริง ๆ ด้วย”
ยิ่งมองเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากเท่านั้นแต่สุดท้ายฉันก็ต้องยอมถอดใจไปซะอย่างนั้น เนื้อหาที่เขียนในใบปลิวไม่ได้ทำให้ฉันตกใจหรือเสียใจแต่อย่างใดเพราะเรื่องที่แม่ขายฉันคานิกซ์ก็เคยบอกเอาไว้แล้ว
“ถูกขายมาจริง ๆ ด้วยสินะ....”
ตอนนั้นฉันเองก็ไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของคานิกซ์เท่าไหร่แต่ตอนนี้เชื่อแล้วล่ะว่าตัวเองถูกขายจริง ๆ แน่ล่ะตัวประหลาดที่รักษาตัวเองได้แบบฉันใครจะอยากเลี้ยงดูกันล่ะ....
คนที่น่าสงสารคือเด็ก ๆ ที่ถูกขายให้กับดิสโทเปียมากกว่า พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ควรต้องมาเจอแบบนี้ พวกเขาควรได้เติบโตและมีชีวิตที่ดีกว่าการเป็นแค่หนูทดลอง
“หวังว่าแคลร์จะจัดการเรื่องนี้ได้นะ”
ฉันคงเข้าไปยุ่งอะไรมากไม่ได้เพราะมันคืองานของแคลร์ เรื่องที่นาเวียร์เป็นแม่แท้ ๆ ของฉันก็ไม่มีใครรู้ด้วยเพราะงั้น.....
ก็ฝังกลบมันไปพร้อมร่างของแม่เลยแล้วกัน
ตอนนี้ฉันต้องมีสมาธิกับงานตรงหน้า ตัวยาที่จะใช้เพื่อช่วยคุณคาลเตอร์เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ถ้ามันสำเร็จฉันจะได้พุ่งเป้าไปในเรื่องของการสืบสวนได้
ฉันจะต้องจับตัวคนร้ายที่ทำแบบนี้และสืบเรื่องของ ดิสโทเปียเพิ่มให้ได้ถึงมันจะไม่ง่ายเลยก็เถอะ!
»»»»»«««««
“อืมมม กี่โมงแล้วเนี่ย....”
ฉันกวาดมือสะเปะสะปะเพื่อหานาฬิกาที่ข้างเตียงแต่กลับเจอขนอะไรนุ่ม ๆ ลื่นมือแทนซะอย่างนั้น ด้วยความสงสัยฉันเลยลูบไล้มันเล่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา
“เอ๊ะ!”
นอกจากขนนุ่ม ๆ แล้วยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นแปลก ๆ อีกด้วย ฉันรีบลืมตามองไปรอบ ๆ และพบต้นตอของเจ้าสิ่งที่ฉันเพิ่งจะลูบมันไป
“เอสโทเพล! มาได้ไงเนี่ย!!”
“อื้ออ พี่ครับขอนอนอีกนิดนะ”
ไม่พูดเปล่าเขายังรวบฉันเข้าไปกอดไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก ไอ้เด็กนี่แรงเยอะชะมัดเลย!
“เอส! ปล่อยก่อนพี่หายใจไม่ออกนะ”
“งั้นก็อย่าดิ้นสิครับ ผมขอกอดอีกหน่อยนะ เหมือนตอนเราเด็ก ๆ ไงครับ”
มันเหมือนกันที่ไหนล่ะตอนนั้นเขาแค่สามขวบเองนะ! ฉันพยายามดิ้นรนอีกพักใหญ่ก่อนจะยอมถอดใจแล้วนอนนิ่ง ๆ เป็นตุ๊กตาให้กอด เขาหลับสนิทไปอีกรอบโดยที่ยอมคลายวงแขนลงเล็กน้อย ใบหน้าเขาซุกอยู่ใกล้หน้าอกจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ
“ทำตัวเป็นเด็กจริง ๆ นะ”
ฉันอดบ่นออกมาไม่ได้แต่ก็ยอมนอนให้เขากอดพร้อมกับลูบหัวไปด้วย พอได้เห็นเขาใกล้ ๆ แบบนี้ก็อดดีใจไม่ได้
“เอส พี่ดีใจจริง ๆ ที่นายยังไม่ตาย....”
เขามีความหมายต่อฉันมากกว่าใคร ๆ ในโลกนี้ซะอีก บุคคลเพียงคนเดียวที่แชร์ความเจ็บปวดในอดีตด้วยกัน
“ผมก็ดีใจที่พี่จำผมได้นะ”
“ตื่นแล้วก็ปล่อยสิ เอส”
“ไม่เอา ผมไม่อยากปล่อยนี่”
เขาพูดพร้อมกับกอดแน่นขึ้นเล็กน้อย ตอนเด็ก ๆ ก็เชื่อฟังดีอยู่หรอก ทำไมโตมาถึงได้ดื้อแบบนี้
“เอส นายไม่เป็นเด็กดีแล้วเหรอ?”
คำพูดของฉันทำให้เขาชะงักไปก่อนจะรีบปล่อยอ้อมแขนออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ใบหูที่ขยับดุ๊กดิ๊ก ๆ ดูน่ารักชะมัดเลย
“เด็กดี ๆ”
ฉันลูบหัวเขาเหมือนเมื่อตอนเด็ก ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองได้วางภาระทั้งหมดลงเลย พอได้อยู่ใกล้เขามันทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ผมก็เป็นเด็กดีตลอดนะ”
“กับผู้หญิงอื่นนายอ้อนแบบนี้บ้างหรือเปล่า เอส?”
ฉันอดถามไม่ได้เพราะเขาทำตัวอ้อนมาก ๆ แถมยังทำสายตาระยิบระยับอีกด้วย ช่วงที่ผ่านมาเขาต้องมีผู้หญิงเข้าหาเยอะแน่ ๆ เลย
“ไม่ครับ ผมไม่ใกล้ผู้หญิงคนไหนนอกจากพี่”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่บอกครับ”
นอกจากจะขี้อ้อนแล้วดูเหมือนว่าสกิลการกวนประสาทจะดีขึ้นด้วยสินะถึงได้พูดจาน่าหยิกแบบนี้
“พี่หิวหรือยัง ผมทำอะไรให้กินไหม”
“นายทำเป็นด้วยเหรอ”
“ครับ”
“น้องชายของฉันโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ”
ฉันเลยแกล้งพูดแซวไปแต่เหมือนจะไปจี้จุดบางอย่างของหมอนี่เข้าให้เพราะอยู่ ๆ เขาก็กดฉันลงบนที่นอนพร้อมกับขึ้นคร่อมไว้
“อ๊ะ!”
“ผมโตมากพอจะทำแบบนี้ได้นะครับพี่เจนัส”
“เอส!”
ฉันเห็นอะไรบางอย่างในสายตาคู่นั้นที่จ้องมองมา มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน
“อาาา ขอโทษครับ ผมลืมตัว”
เขารีบลูกออกไปจากตัวฉันพร้อมกับเบือนหน้าหนีราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างอยู่แถมหูก็ขยับไม่หยุดอีกด้วย
“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก....”
“งั้นพี่รอที่นี่นะ ผมไปทำอะไรมาให้กิน”
เขารีบเดินออกไปจากห้องแทบจะทันทีโดยไม่รอให้ฉันพูดอะไรอีก สักพักก็ได้กลิ่นหอม ๆ โชยมาจนสุดท้ายฉันต้องลุกตามเขาไป
“ทำอะไรกินน่ะเอส”
“ให้ทายครับ”
ท่าทางเขาตอนทำอาหารดูคล่องแคล่วมากและดูน่าอร่อยมากด้วย คงทำกินเองเป็นประจำแน่ ๆ
“นายดูทำคล่องดีนะ ชอบทำเหรอ”
“เปล่าครับแต่บางทีก็ต้องทำเองเพราะออกไปไหนไม่ได้”
“งั้นเองเหรอ....”
“เสร็จแล้วครับ ผมไม่รู้ว่าจะถูกปากพี่ไหมลองกินดูนะ”
ฉันลองตักชิมดูแล้วก็แอบตกใจเล็กน้อย รสชาติมันนุ่มละมุนและละลายในปากแทบจะทันทีเลยล่ะ
“อร่อยมาก! นายไปเรียนทำมาจากไหนเนี่ย”
“ไว้ถ้ามีเวลาเดี๋ยวผมบอกนะครับ”
ฉันเลยไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อไป เขาทำได้อร่อยจริง ๆ จนอยากกินทุกวันเลย
“แล้วนี้ทำภารกิจเสร็จแล้วเหรอ”
“ก็....ครับ ใกล้เสร็จแล้วล่ะ”
เขาดูลำบากใจเล็กน้อยกับคำถามของฉันซึ่งก็พอเข้าใจได้ล่ะนะ ถ้าไม่นับเรื่องที่เราสนิทสนมกันก็เรียกได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของกันและกันเลยล่ะ
“นี่เอส นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ฉันทำงานให้ใคร....”
ร่างสูงที่กำลังขัดกระทะชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มขยับต่อพร้อมกับพูดไปด้วยโดยไม่ยอมหันมามองหน้าฉัน
“ผมควรรู้เหรอครับ”
“....”
“เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกครับ สำหรับผมแล้วยังไงพี่ก็สำคัญที่สุดเสมอ”
“นายจะผูกตัวเองไว้กับฉันตลอดไม่ได้หรอกนะเอส สักวันเราต่างก็ต้องเติบโต”
ฉันเข้าใจความคิดของเอสโทเพลแต่เราทั้งคู่ไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จูงมือกันไปไหนมาไหนอีกแล้ว ต่างคนต่างมีหน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบจะให้มาทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อนก็คงไม่ได้แล้ว
“แล้วไงครับ?”
“เอส นายจะ- “
“พี่เจนัส อนาคตคือเรื่องที่ยังมาไม่ถึง วันนี้พี่อาจจะคิดแบบที่พูดแต่พี่เอาอะไรมามั่นใจว่าในอนาคตมันจะไม่เปลี่ยนไป พี่มั่นใจว่าตัวเองจะไม่มีความลังเลในสิ่งที่เลือกงั้นเหรอ?”
“.....”
“มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาการกระทำง่ายที่สุดรวมทั้งเป็นสิ่งมีชีวิตที่โลเลมากที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าวันที่พี่คิดไว้มันมาถึงและผมเกิดเปลี่ยนใจตอนนั้นผมจะไปจากพี่เอง”
“เอส....”
“ผมรู้ว่าพี่คิดอะไรอยู่ รู้ด้วยว่ากำลังทำอะไร ผมจะไม่ขวางทางพี่ขอแค่อย่างเดียวได้ไหม”
“อะไรล่ะ”
ร่างสูงวางทุกอย่างในเมื่อลงก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน ดวงตาสีแดงของเขาสะท้อนบางอย่างที่น่าขนลุกออกมาและคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันหวาดกลัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลับมาเจอกัน
“ใช้ประโยชน์จากผมสิ ผมให้พี่ได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต เพราะงั้นใช้ผมให้เหมือนกับสิ่งของที่พร้อมทิ้งเมื่อหมดประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเห็นใจ ไม่ต้องสงสารผมด้วย ชีวิตผมเป็นของพี่ตั้งแต่แรกที่เราเจอกันแล้ว”