XII JANUS | หมาขี้อ้อน

1907 คำ
ฉันจำไม่ได้ว่าแคลร์พูดอะไรก่อนวางสายไป ในหัวมันยังงุนงงและสับสนอยู่จนคิดอะไรไม่ทัน “แม่....งั้นเหรอ....” ถึงจะบอกว่าเป็นแม่แต่เอาตรง ๆ เลยนะ ทั้งหน้าทั้งชื่อฉันลืมมันไปหมดตั้งนานแล้ว ที่เคยบอกแคลร์ว่าอยากตามหาแค่อยากเจอสักครั้งเท่านั้นแต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าข่าวแรกที่เกี่ยวกับแม่จะเป็นข่าวการตายซะงั้น ฉัน....ต้องเสียใจไหมนะ.... “เฮ้ออ สับสนจัง....” ถ้าบอกว่าไม่ผูกพันมันจะผิดหรือเปล่า? ฉันไม่ได้เจอแม่ตั้งแต่วันนั้นที่แม่พาไปหาคานิกซ์และไม่เคยโผล่หน้ากลับมาแม้แต่ครั้งเดียว พอวันเวลาผ่านไปก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นแล้วด้วย ถึงจะตกใจอยู่บ้างเรื่องที่แม่ตายแต่ลึก ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้เสียอกเสียใจมากขนาดนั้นสักเท่าไหร่ กลับกันดันรู้สึกโล่งใจมากกว่าซะอีก ติ๊ง! ฉันหยิบมือถือมาเปิดอ่านรายงานผลชันสูตรที่แคลร์ส่งมาให้ ศพของแม่แย่กว่าที่คิดไว้เยอะเลย ใบหน้าเสียหายจนแทบระบุอัตลักษณ์ไม่ได้ เอ็นข้อมือและข้อเท้าเสียหายอย่างหนักชนิดที่ว่าต่อให้รอดก็คงต้องพิการอย่างแน่นอน ภาพอักษรในรูปสุดท้ายกลับดึงดูดฉันได้มากที่สุดถึงจะสยดสยองไปบ้างก็เถอะ คนที่ทำคงแค้นน่าดูเลยล่ะ “DTPX” โค้ดนี่ฉันรู้จักมันดีเพราะมันเคยอยู่บนร่างกายของฉันเมื่อหลายปีก่อน โค้ดของตัวทดลองจากดิสโทเปีย มันมีไว้เพื่อระบุศพในกรณีที่ตัวทดลองเสียหายหนักเกินไป “มันไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไงกัน....” คำถามคือทำไมตัวอักษรนี้ถึงอยู่หน้าศพของแม่ได้? คนที่ทำต้องการอะไรจากเรื่องนี้กันแน่ ทำไมนายกเทศมนตรีจากเมืองที่ห่างไกลอย่างอีสเทอร์วิลล์ถึงตกเป็นเป้าของฆาตกร? มันมีแต่คำถามเต็มไปหมดจะฉันเริ่มปวดหัว ในขณะที่กำลังจะกดปิดแชทแคลร์ก็ส่งรูปใบปลิวมาให้พร้อมกับข้อความ ‘เธอควรอ่านมันนะ’ ฉันขยายรูปขึ้นก่อนจะไล่อ่านทีล่ะบรรทัดช้า ๆ รอบแรกอ่านผ่าน ๆ และอ่านทวนอีกรอบเพื่อหาจุดสังเกต สิ่งแรกที่สะดุดตานอกจากตัวหนังสือสีแดงที่พาดหัวคือลายมือ มันคุ้นมาก ๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นจากที่ไหน “อืมม คุ้นตาจริง ๆ ด้วย” ยิ่งมองเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากเท่านั้นแต่สุดท้ายฉันก็ต้องยอมถอดใจไปซะอย่างนั้น เนื้อหาที่เขียนในใบปลิวไม่ได้ทำให้ฉันตกใจหรือเสียใจแต่อย่างใดเพราะเรื่องที่แม่ขายฉันคานิกซ์ก็เคยบอกเอาไว้แล้ว “ถูกขายมาจริง ๆ ด้วยสินะ....” ตอนนั้นฉันเองก็ไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของคานิกซ์เท่าไหร่แต่ตอนนี้เชื่อแล้วล่ะว่าตัวเองถูกขายจริง ๆ แน่ล่ะตัวประหลาดที่รักษาตัวเองได้แบบฉันใครจะอยากเลี้ยงดูกันล่ะ.... คนที่น่าสงสารคือเด็ก ๆ ที่ถูกขายให้กับดิสโทเปียมากกว่า พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ควรต้องมาเจอแบบนี้ พวกเขาควรได้เติบโตและมีชีวิตที่ดีกว่าการเป็นแค่หนูทดลอง “หวังว่าแคลร์จะจัดการเรื่องนี้ได้นะ” ฉันคงเข้าไปยุ่งอะไรมากไม่ได้เพราะมันคืองานของแคลร์ เรื่องที่นาเวียร์เป็นแม่แท้ ๆ ของฉันก็ไม่มีใครรู้ด้วยเพราะงั้น..... ก็ฝังกลบมันไปพร้อมร่างของแม่เลยแล้วกัน ตอนนี้ฉันต้องมีสมาธิกับงานตรงหน้า ตัวยาที่จะใช้เพื่อช่วยคุณคาลเตอร์เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ถ้ามันสำเร็จฉันจะได้พุ่งเป้าไปในเรื่องของการสืบสวนได้ ฉันจะต้องจับตัวคนร้ายที่ทำแบบนี้และสืบเรื่องของ ดิสโทเปียเพิ่มให้ได้ถึงมันจะไม่ง่ายเลยก็เถอะ! »»»»»««««« “อืมมม กี่โมงแล้วเนี่ย....” ฉันกวาดมือสะเปะสะปะเพื่อหานาฬิกาที่ข้างเตียงแต่กลับเจอขนอะไรนุ่ม ๆ ลื่นมือแทนซะอย่างนั้น ด้วยความสงสัยฉันเลยลูบไล้มันเล่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา “เอ๊ะ!” นอกจากขนนุ่ม ๆ แล้วยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นแปลก ๆ อีกด้วย ฉันรีบลืมตามองไปรอบ ๆ และพบต้นตอของเจ้าสิ่งที่ฉันเพิ่งจะลูบมันไป “เอสโทเพล! มาได้ไงเนี่ย!!” “อื้ออ พี่ครับขอนอนอีกนิดนะ” ไม่พูดเปล่าเขายังรวบฉันเข้าไปกอดไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก ไอ้เด็กนี่แรงเยอะชะมัดเลย! “เอส! ปล่อยก่อนพี่หายใจไม่ออกนะ” “งั้นก็อย่าดิ้นสิครับ ผมขอกอดอีกหน่อยนะ เหมือนตอนเราเด็ก ๆ ไงครับ” มันเหมือนกันที่ไหนล่ะตอนนั้นเขาแค่สามขวบเองนะ! ฉันพยายามดิ้นรนอีกพักใหญ่ก่อนจะยอมถอดใจแล้วนอนนิ่ง ๆ เป็นตุ๊กตาให้กอด เขาหลับสนิทไปอีกรอบโดยที่ยอมคลายวงแขนลงเล็กน้อย ใบหน้าเขาซุกอยู่ใกล้หน้าอกจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ “ทำตัวเป็นเด็กจริง ๆ นะ” ฉันอดบ่นออกมาไม่ได้แต่ก็ยอมนอนให้เขากอดพร้อมกับลูบหัวไปด้วย พอได้เห็นเขาใกล้ ๆ แบบนี้ก็อดดีใจไม่ได้ “เอส พี่ดีใจจริง ๆ ที่นายยังไม่ตาย....” เขามีความหมายต่อฉันมากกว่าใคร ๆ ในโลกนี้ซะอีก บุคคลเพียงคนเดียวที่แชร์ความเจ็บปวดในอดีตด้วยกัน “ผมก็ดีใจที่พี่จำผมได้นะ” “ตื่นแล้วก็ปล่อยสิ เอส” “ไม่เอา ผมไม่อยากปล่อยนี่” เขาพูดพร้อมกับกอดแน่นขึ้นเล็กน้อย ตอนเด็ก ๆ ก็เชื่อฟังดีอยู่หรอก ทำไมโตมาถึงได้ดื้อแบบนี้ “เอส นายไม่เป็นเด็กดีแล้วเหรอ?” คำพูดของฉันทำให้เขาชะงักไปก่อนจะรีบปล่อยอ้อมแขนออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ใบหูที่ขยับดุ๊กดิ๊ก ๆ ดูน่ารักชะมัดเลย “เด็กดี ๆ” ฉันลูบหัวเขาเหมือนเมื่อตอนเด็ก ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองได้วางภาระทั้งหมดลงเลย พอได้อยู่ใกล้เขามันทำให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก “ผมก็เป็นเด็กดีตลอดนะ” “กับผู้หญิงอื่นนายอ้อนแบบนี้บ้างหรือเปล่า เอส?” ฉันอดถามไม่ได้เพราะเขาทำตัวอ้อนมาก ๆ แถมยังทำสายตาระยิบระยับอีกด้วย ช่วงที่ผ่านมาเขาต้องมีผู้หญิงเข้าหาเยอะแน่ ๆ เลย “ไม่ครับ ผมไม่ใกล้ผู้หญิงคนไหนนอกจากพี่” “ทำไมล่ะ” “ไม่บอกครับ” นอกจากจะขี้อ้อนแล้วดูเหมือนว่าสกิลการกวนประสาทจะดีขึ้นด้วยสินะถึงได้พูดจาน่าหยิกแบบนี้ “พี่หิวหรือยัง ผมทำอะไรให้กินไหม” “นายทำเป็นด้วยเหรอ” “ครับ” “น้องชายของฉันโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ” ฉันเลยแกล้งพูดแซวไปแต่เหมือนจะไปจี้จุดบางอย่างของหมอนี่เข้าให้เพราะอยู่ ๆ เขาก็กดฉันลงบนที่นอนพร้อมกับขึ้นคร่อมไว้ “อ๊ะ!” “ผมโตมากพอจะทำแบบนี้ได้นะครับพี่เจนัส” “เอส!” ฉันเห็นอะไรบางอย่างในสายตาคู่นั้นที่จ้องมองมา มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน “อาาา ขอโทษครับ ผมลืมตัว” เขารีบลูกออกไปจากตัวฉันพร้อมกับเบือนหน้าหนีราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างอยู่แถมหูก็ขยับไม่หยุดอีกด้วย “อื้อ ไม่เป็นไรหรอก....” “งั้นพี่รอที่นี่นะ ผมไปทำอะไรมาให้กิน” เขารีบเดินออกไปจากห้องแทบจะทันทีโดยไม่รอให้ฉันพูดอะไรอีก สักพักก็ได้กลิ่นหอม ๆ โชยมาจนสุดท้ายฉันต้องลุกตามเขาไป “ทำอะไรกินน่ะเอส” “ให้ทายครับ” ท่าทางเขาตอนทำอาหารดูคล่องแคล่วมากและดูน่าอร่อยมากด้วย คงทำกินเองเป็นประจำแน่ ๆ “นายดูทำคล่องดีนะ ชอบทำเหรอ” “เปล่าครับแต่บางทีก็ต้องทำเองเพราะออกไปไหนไม่ได้” “งั้นเองเหรอ....” “เสร็จแล้วครับ ผมไม่รู้ว่าจะถูกปากพี่ไหมลองกินดูนะ” ฉันลองตักชิมดูแล้วก็แอบตกใจเล็กน้อย รสชาติมันนุ่มละมุนและละลายในปากแทบจะทันทีเลยล่ะ “อร่อยมาก! นายไปเรียนทำมาจากไหนเนี่ย” “ไว้ถ้ามีเวลาเดี๋ยวผมบอกนะครับ” ฉันเลยไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อไป เขาทำได้อร่อยจริง ๆ จนอยากกินทุกวันเลย “แล้วนี้ทำภารกิจเสร็จแล้วเหรอ” “ก็....ครับ ใกล้เสร็จแล้วล่ะ” เขาดูลำบากใจเล็กน้อยกับคำถามของฉันซึ่งก็พอเข้าใจได้ล่ะนะ ถ้าไม่นับเรื่องที่เราสนิทสนมกันก็เรียกได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของกันและกันเลยล่ะ “นี่เอส นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ฉันทำงานให้ใคร....” ร่างสูงที่กำลังขัดกระทะชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มขยับต่อพร้อมกับพูดไปด้วยโดยไม่ยอมหันมามองหน้าฉัน “ผมควรรู้เหรอครับ” “....” “เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกครับ สำหรับผมแล้วยังไงพี่ก็สำคัญที่สุดเสมอ” “นายจะผูกตัวเองไว้กับฉันตลอดไม่ได้หรอกนะเอส สักวันเราต่างก็ต้องเติบโต” ฉันเข้าใจความคิดของเอสโทเพลแต่เราทั้งคู่ไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จูงมือกันไปไหนมาไหนอีกแล้ว ต่างคนต่างมีหน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบจะให้มาทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อนก็คงไม่ได้แล้ว “แล้วไงครับ?” “เอส นายจะ- “ “พี่เจนัส อนาคตคือเรื่องที่ยังมาไม่ถึง วันนี้พี่อาจจะคิดแบบที่พูดแต่พี่เอาอะไรมามั่นใจว่าในอนาคตมันจะไม่เปลี่ยนไป พี่มั่นใจว่าตัวเองจะไม่มีความลังเลในสิ่งที่เลือกงั้นเหรอ?” “.....” “มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาการกระทำง่ายที่สุดรวมทั้งเป็นสิ่งมีชีวิตที่โลเลมากที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าวันที่พี่คิดไว้มันมาถึงและผมเกิดเปลี่ยนใจตอนนั้นผมจะไปจากพี่เอง” “เอส....” “ผมรู้ว่าพี่คิดอะไรอยู่ รู้ด้วยว่ากำลังทำอะไร ผมจะไม่ขวางทางพี่ขอแค่อย่างเดียวได้ไหม” “อะไรล่ะ” ร่างสูงวางทุกอย่างในเมื่อลงก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน ดวงตาสีแดงของเขาสะท้อนบางอย่างที่น่าขนลุกออกมาและคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันหวาดกลัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลับมาเจอกัน “ใช้ประโยชน์จากผมสิ ผมให้พี่ได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต เพราะงั้นใช้ผมให้เหมือนกับสิ่งของที่พร้อมทิ้งเมื่อหมดประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเห็นใจ ไม่ต้องสงสารผมด้วย ชีวิตผมเป็นของพี่ตั้งแต่แรกที่เราเจอกันแล้ว”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม