คำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้เจนัสตกใจไม่น้อย เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก การที่เขาพูดว่าให้ใช้ตัวเขาเองเหมือนสิ่งของมันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรดีเพราะมันหมายถึงเขาไม่ได้มองตัวเองเป็นมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว
“พูดอะไรบ้า ๆ ออกมา! พี่ไม่เคยมองนายเป็นสิ่งของเครื่องใช้เลยนะ!”
“.....”
“เอส ถ้าจะมาเพื่อพูดอะไรบ้า ๆ แบบนี้ก็ออกไปแล้วไม่ต้องมาให้พี่เห็นหน้าอีก”
“พี่เจนัส!”
“พี่ไม่ได้ช่วยนายไว้เพื่อให้มาทำเรื่องแบบนี้นะ! ไอ้คานิกซ์มันสอนอะไรให้นายกันแน่ถึงได้เป็นขนาดนี้!”
เจนัสพูดออกมาด้วยความโกรธ สายตาของเอสโทเพลตอนที่บอกให้ใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือมันช่างดูบ้าและไร้สติสิ้นดี เขาไม่เหมือนกับเด็กชายที่เธอเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว
แม้ภายนอกอาจจะใช่แต่จิตใจของเขาเหมือนจะพังทลายจนไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว มันทำให้เจนัสอดสงสัยไม่ได้ว่าที่ผ่านมาเขาเจอกับอะไรมาบ้าง?
คานิกซ์ทำอะไรกับเอสโทเพลกันแน่?
“พี่เจนัส พี่อย่าทิ้งผมนะ!”
ร่างสูงทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาเจนัสเอาไว้แน่น เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราวกับจะขาดใจตาย ทั้งอ้อนวอนและร้องขอเธออย่างน่าสงสาร เขากลับไปเหมือนน้องชายที่น่ารักของเธออีกครั้งพร้อมกับอ้อนวอนทั้งน้ำตา มันทำให้เจนัสในอ่อนยวบลง เธอแพ้น้ำตามาก ยิ่งเป็นน้ำตาจากคนที่เธอรักยิ่งทำให้เธอใจอ่อนได้โดยง่าย
“เอส นายจะบอกพี่ได้ไหมว่าคานิกซ์ทำอะไรกับนายกันแน่”
“.....”
“พี่อยากได้เอสโทเพลคนเดิมของพี่คืน คนที่อ่อนโยนยิ่งกว่าใคร ๆ คนที่ทำให้พี่ยิ้มได้ในวันที่เจ็บปวด นายเล่าให้พี่ฟังได้ไหม?”
เธอลูบผมดกดำของเขาเบา ๆ ราวกับกำลังปลอบเด็กตัวเล็ก ๆ เอสโทเพลนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะยอมพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ครับแต่พี่ต้องรับปากผมนะ ว่าพี่จะไม่รังเกียจผม....”
“พี่ไม่เคยรังเกียจนายเลยนะ ไม่ว่านายจะผ่านอะไรมานายก็ยังเป็นคนสำคัญของพี่เสมอ”
ใบหูเล็ก ๆ ที่ลู่ลงราวกับเด็กกำลังทำผิด ทำให้เจนัสอดยิ้มออกมาไม่ได้ เธอพาเขากลับเข้าไปคุยในห้องนอนโดยที่ เอสโทเพลขอนอนหนุนตักเธอพร้อมกับเริ่มเล่าทุกอย่างออกมา
“มันเริ่มตั้งแต่วันนั้น วันที่ผมกับพี่ถูกจับเข้าไปทดลองพร้อมกัน....”
»»»»««««
20 ปีก่อนหน้า
“เอาตัวเด็กผู้หญิงไปขังไว้แล้วเอาของที่ฉันสั่งเข้ามาด้วย”
“ครับ คุณคานิกซ์”
“สั่งคนเฝ้าเธอตลอดเวลาด้วย อย่าให้หนีเด็ดขาด”
“ครับ!”
หลังจากอ้อนวอนมานานสองนานคานิกซ์ก็ยอมปล่อยให้เจนัสออกไป เอสโทเพลมองหญิงสาวที่หมดสติไปแล้วทั้งน้ำตา เธอถูกเข็นออกไปจากห้องโดยถูกล่ามทั้งมือและขาเอาไว้กับเตียงเพื่อป้องกันการหนีหรือขัดขืน
เอสโทเพลเองก็มีสภาพไม่ต่างกันเขาถูกเข็นมาอยู่ใต้หลอดไฟดวงใหญ่ที่ทำให้สายตาพร่าเลือน แม้จะหวาดกลัวแต่เขาก็อดดีใจไม่ได้ที่สามารถปกป้องคนสำคัญเอาไว้ได้
“โปรเจกต์มนุษย์หมาป่าสายพันธุ์พิเศษครั้งที่ 13 ตัวทดลองเพศชาย อายุ 3 ขวบ ตาสีฟ้าอ่อน ผมสีดำ โค้ดเนมDTPX0013 ทำการปลูกถ่ายยีนส์หมาป่าเข้าสู่ร่างกายวันที่ 13/XX/XXXX”
คานิกซ์ที่สวมเครื่องป้องกันพูดขึ้นเพื่อให้ผู้ช่วยทำการบันทึกข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ นี่เป็นการทดลองตัดต่อยีนส์หมาป่าเข้าสู่ร่างมนุษย์ครั้งที่ 13 แล้ว ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครรอดชีวิตไปได้ เด็ก ๆ ที่ถูกทดลองไปก่อนหน้านี้ต่างรับภาระไม่ไหวและสุดท้ายก็ตายลงโดยยังไม่ผ่านขั้นแรกไปด้วยซ้ำ
คานิกซ์จึงอดคาดหวังในตัวของเอสโทเพลไม่ได้เพราะผลจากการตรวจร่างกายที่ได้รับมาพบว่าเอสโทเพลอาจเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับยีนส์ของหมาป่า
“เริ่มกันได้แล้ว”
คานิกซ์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น การผ่าตัดครั้งนี้ไม่มีการใช้ยาชาหรือยานอนหลับ พวกเขาทำเพียงแค่ฉีดบางอย่างที่ทำให้เอสโทเพลเจ็บปวดเจียนตายเข้าไปทางเส้นเลือดเท่านั้น
“อ๊ากกก มะ ไม่เอา!”
“เริ่มเลย!”
คนที่อยู่ในห้องผ่าตัดไม่ได้แสดงท่าทีเห็นใจเขาแต่อย่างใด พวกนั้นฉีดสารปริศนาเข้าไปในร่างกายมากขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนหลอดเปล่าเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เอสโทเพลกรีดร้อง ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวดจนแทบขาดใจ
“พอก่อน”
คานิกซ์เดินเข้ามามองเอสโทเพลที่แทบสิ้นสติบนเตีนงผ่าตัดก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“มันเข้ากับยาได้เยี่ยมเลย หลังจากวันพรุ่งนี้ให้ฉีดยาเพิ่ม 5 โดส ทุก ๆ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นอีก 7 วันเพิ่มเป็น 10 โดสต่อชั่วโมง”
“ครับ คุณคานิกซ์”
“เอามันกลับไปไว้รวมกับเด็กนั่น เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง”
“ครับ!”
เอสโทเพลไม่ค่อยเข้าใจที่อีกฝ่ายพูดเท่าไหร่ ดวงตาเล็ก ๆ ปิดลงด้วยความอ่อนแรงและเมื่อลืมตาอีกครั้งเขาก็กลับมาอยู่ในห้องกับเจนัสแล้ว
“เอส! ฮือออ”
เด็กหญิงตัวเล็กโผกอดเขาไว้แน่นแล้วร้องไห้งอแงออกมา เอสโทเพลสลบไป 1 วันเต็ม ๆ แถมเขายังไข้ขึ้นและเอาแต่ละเมอไม่หยุด
“พี่เจนัส ผมกลัว ฮึก....ละ แล้วผมก็เจ็บด้วย”
เอสโทเพลเองก็ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ทุกครั้งที่ยาถูกฉีดเข้ามาเขาจะรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนมันถูกฉีกออกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบขาดใจ
“แกร๊ก....”
“DTPX0012 ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“อ๊ะ!”
“พี่เจนัส!”
“เฮ้ย!! ถอดไปสิไอ้เด็กเวรนี่!!!”
พลั่ก….
เอสโทเพลถูกเตะออกอย่างไม่ปราณีเพราะพยายามเข้าไปขัดขวางผู้คุมไม่ให้เอาตัวเจนัสไป ดวงตาเขาวาววับด้วยความโกรธและค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากฟ้าไปเป็นสีแดงเลือด
“ปล่อยพี่เจนัสนะ!!!!”
ร่างเล็กพุ่งเข้าไปด้วยแรงโกรธที่อัดแน่นในอก กำปั้นเล็ก ๆ เหวี่ยงใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มแรง เรี่ยวแรงมหาศาลที่เพิ่งตื่นขึ้นทำให้หน้ากากพวกนั้นแตกเป็นเสี่ยงพร้อมกับร่างที่ปลิวไปปะทะกำแพงอีกฟาก
“พลั่ก!!”
“อั่ก!!”
อีกฝ่ายหมดสติไปแทบจะทันที ผู้คุมอีกคนและเจนัสได้แต่ยืนอึ้งอยู่แบบนั้น เอสโทเพลหายใจหอบถี่ ดวงตาทั้งสองเริ่มพร่าเลือน ในหัวเขาเหมือนมีอะไรกำลังเต้นตุบ ๆ ทำเอาแทบหมดสติ
“พี่...เจนัส....”
ตุบ....
“เอส!!”
เธอสลัดแขนออกจากมือผู้คุมที่กำลังรายงานเรื่องนี้ให้กับเบื้องบนทราบแล้วรีบวิ่งไปกอดร่างของเอสโทเพลไว้แน่นและไม่นานหลังจากนั้นคานิกซ์ที่ทราบเรื่องก็จัดการขังแยกทั้งคู่ทันที
นับตั้งแต่นั้นมาเอสโทเพลและเจนัสก็ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย พวกเขาถูกจับแยกและทำการทดลองทั้งวันทั้งคืนแม้จะอยู่ห้องติดกันแต่กลับไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของกันและกัน
ทั้งเอสโทเพลและเจนัสต่างตกเป็นของเล่นของคานิกซ์ การทดลองที่แสนอันตรายและบ้าบิ่นถูกนำมาใช้กับพวกเขาทั้งสองคน ใบหน้าของเด็ก ๆ เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดวงตาคู่เล็กเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวา
น้ำเสียงสดใสที่ใคร ๆ ในบ้านพักเคยได้ยินเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องที่พบได้ทุกเวลา ทั้งคู่ทนทรมานเพราะคำพูดของคานิกซ์ที่มักจะบอกอยู่เสมอว่าหากยอมแพ้และตายไปเขาจะทำร้ายคนสำคัญของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ตัวเจนัสเองที่ห่วงเอสโทเพลก็ต้องยอมทนรับการทดลองทั้งทดสอบความไวการหายบาดเจ็บจากอาวุธ ทั้งการให้ดื่มกรดชนิดต่าง ๆ ที่จะทำลายอวัยวะภายในเพื่อดูว่าเธอจะรอดไหมหรือแม้กระทั่งจับเธอผ่าสด ๆ โดยไม่ใช้ยาสลบเธอก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น
แต่ล่ะวันที่ผ่านไปล้วนมีแต่คราบน้ำตาและความทรมาน
เจสเตอร์ที่แฝงตัวเข้ามาทำงานหลายปีทนสงสารเด็กทั้งสองไม่ไหวจึงได้รายงานเรื่องนี้กลับไปหาท่านผู้นำพร้อมกับขอถอนตัวออกจากภารกิจสายลับและจะขอทำการช่วยเหลือเด็กทั้งสองออกไปด้วย
‘เด็ก ๆ ลุงมาช่วยแล้วนะ’
‘ลุงเจส?’
‘ใช่ ลุงเอง อดทนนะลุงจะพาออกไปจากที่นี่’
เพราะเห็นเด็ก ๆ มาตั้งแต่วันแรกและรับรู้มาทุกอย่างทว่าด้วยหน้าที่ของสายลับทำให้เขาไม่สามารถลงมือได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาแแต่ตอนนี้เขาสามารถช่วยทั้งสองคนได้แล้ว
เจสเตอร์อาศัยวันที่คานิกซ์ไปประชุมที่เขตอื่นเป็นวันลงมือโดยมีเพื่อน ๆ จากองค์กรลับคอยให้การสนับสนุนอยู่อีกฟากของป่า ส่วนเจสเตอร์ก็ลักลอบพาเด็ก ๆ ออกมาได้ ทว่าเพียงออกมาได้แค่ครึ่งทางพวกเขาก็ถูกจับได้
เจสเตอร์จึงใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อและให้เด็ก ๆ หนีไปยังป่าที่พวกของเขารออยู่ เจนัสจับมือเอสโทเพลและวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิตก่อนจะหมดแรงลงหน้าหุบเหวลึก
ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ทำอะไรเอสโทเพลก็เลือกที่จะสละตัวเองไว้ข้างหลัง เขาเหวี่ยงเจนัสข้ามไปหาเจสเตอร์ที่อีกฟากพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นประกาย
‘รอดไปให้ได้นะครับพี่เจนัส....’
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เจนัสเห็นเขาและในทางกลับกันมันคือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายอันยาวนานของเอสโทเพลด้วย