“งั้นก็กลับไปพักก่อนนะหนูเอย” คุณคณินกล่าวอนุญาต
“เอยกลับก่อนนะคะคุณลุง คุณแม่” กุลพัทธ์กล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งคู่ ก่อนจะรีบร้อนเดินไปที่รถของเธอ เพราะตอนนี้หญิงสาวกำลังจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอไม่รู้ว่าเธอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับคิรากรได้ยังไง
กุลพัทธ์เข้าไปนั่งในรถก่อนที่จะร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันตอกย้ำอยู่ตลอดว่าเธอไม่เคยลืมชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวรีบบึ่งรถออกไปจากบ้านวาโยอัศวพลกุล ขณะที่ม่านน้ำตาก็ยังไหลเอ่ออยู่ ตอนนี้หญิงสาวเริ่มครุ่นคิดว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
หลังจากที่กลั่นกรองความคิดอยู่เนิ่นนาน กุลพัทธ์ก็ตัดสินใจที่จะหลบหน้าไปสักพัก เธอไม่ต้องการที่จะเจอหน้าคิรากร เพราะถ้าเธอยังอยู่ที่นี่ เมื่อเธอไปทำงานเธอก็ต้องเจอหน้าคิรากรอยู่แล้ว ซึ่งหญิงสาวไม่อาจเลี่ยงมันได้เลย กุลพัทธ์รีบติดต่อเพื่อนสมัยที่เรียนแพทย์เพื่อจะไปเป็นแพทย์อาสาที่ดอย โดยคราวนี้เธอไปแบบไม่มีกำหนดระยะเวลากลับ ส่วนมารดาของเธอหญิงสาวจะแจ้งให้ทราบภายหลัง เพราะถ้าหากเธอบอกท่านตอนนี้ ท่านต้องห้ามเธออย่างแน่นอน และที่สำคัญท่านต้องเค้นว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับคิรากร ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะหนีไปแบบนี้
หลังจากที่ได้ข้อมูลกับเพื่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็นัดหมายเพื่อที่จะกำหนดเรื่องวันเดินทางให้เร็วที่สุด ซึ่งเธอต้องเดินทางไปพักกับเพื่อนเธอที่เชียงใหม่ ก่อนที่เธอจะเดินทางต่อไปที่ดอยฝ้ายคำ ดังนั้นหญิงสาวจึงตั้งใจจะบินไปเชียงใหม่พรุ่งนี้เช้า
เวลาเที่ยงคืน.....
คิรากรสะดุ้งตื่นขึ้นมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะควานหาร่างบางที่กกกอดอยู่ก่อนที่เขาจะหลับไป แต่ทว่าชายหนุ่มกลับคว้าเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น เขาลืมตาโพรงขึ้นมาในความมืด แล้วจึงรีบเปิดไฟที่หัวเตียง แต่เมื่อมองออกไปรอบๆ กลับไม่พบหญิงสาวแต่อย่างใด ตอนนี้เขามั่นใจว่ากุลพัทธ์ออกจากที่นี่ไปแล้ว ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่เขาสร้างขึ้นมาแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างกลุ้มใจ
เขาไม่น่าทำแบบนั้นกับเธอเลย เพราะความโมโหบิดาของเขาเท่านั้น ทำให้ชายหนุ่มทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง พรุ่งนี้เขาคงต้องไปสารภาพผิดกับบิดาและคุณกุลธดา แล้วยอมแต่งงานกับกุลพัทธ์ตามที่ท่านต้องการ ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนการถูกบังคับแต่ลึกๆ แล้วเขากลับแอบดีใจที่เจ้าสาวของเขาคือกุลพัทธ์