#ย้อนกลับเมื่อปีก่อน
ย้อนกลับไปตอนหวังอายุ 18 ปี อยู่ในวัยกำลังคึกคะนองและเพิ่งเรียนจบมอปลายเตรียมที่จะบวชในอีกไม่ช้านี้
"ไอ้หวังก้นบาตรมันเปื้อนขัดเเรงๆ หน่อย" หลวงลุงในวัยกลางคนนั่งจ้องเด็กวัดที่โดนทิ้งและรับเลี้ยงจนเติบใหญ่
"ขัดจนสีจะถลอกแล้วซื้อใหม่เถอะ"
"เงินทองมันหายาก กว่าชาวบ้านจะนำมาถวายทานทำบุญเขาต้องทำงานเหนื่อยแค่ไหน เรามีอะไรก็ใช้ไปก่อน"
"อีกนิดเดียวหลวงลุง"
"ใกล้จะขัดออกแล้ว"
"เปล่า ใกล้จะต่อยมวยได้แล้วกล้ามแขนขึ้นหลายมัดเลยเนี่ย!"
หวัง มักจะกวนใจหลวงลุงเสมอเพราะไม่อยากให้เหงาและเพราะท่านเป็นทุกอย่างในชีวิต ทั้งผู้มีบุญคุณและมนุษย์คนเดียวที่รักเขาจริง
แง้นนน
"ไอ้หวังไปกับกูหน่อย" สิน เพื่อนสนิทที่ตะโกนเรียกหวังหน้ากุฏิ
"ไปไหนอีก..ยังล้างหม้อไม่เสร็จหลวงลุงสั่งเอาไว้ท่านไปกิจนิมนต์"
"ไปส่งกูซื้อปลาดุกให้แม่"
"มึงทำไมไม่ไปเองวะ"
"กูมีมวนสูบนะแอบจิ๊กพ่อมา"
"ตกลง"
คำยั่วยุทำให้หวังทิ้งหน้าที่ตรงหน้า วิ่งไปซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนสนิท มวนที่พูดถึงก็คือบุหรี่ที่เด็กอย่างพวกเขาไม่กล้าไปซื้อตามร้านค้า
เถียงนา
ฟู่ ฟู่
"กว่าจะได้มาต้องรอพ่อออกไปเล่นบ่อน" สินพ่นควันพลางบ่น
"กูเองก็สูบไม่ได้ในวัดหลวงลุงด่า"
"ไอ้คนบาปวัดคือสถานที่ไร้อบายมุข"
"แต่กูเป็นวัยมันส์ก็ต้องมีกันบ้าง"
"เออ แต่วันนี้กูเห็นพวกไอ้ต้อมมันนัดรวมตัวที่ตึกร้างไม่รู้จะก่อเรื่องอะไรอีก"
"อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย หลวงลุงเคยบอกเอาไว้ว่าไม่ให้คบคนพาล''
ต้อม เป็นเด็กในโรงเรียนเดียวกับหวังซึ่งมีลูกนักเลงคุ้มหัว ชอบทำตัวกร่างแต่มาตีสนิทกันด้วยเพราะชอบในความใจถึง
ตอนค่ำ 20.00น.
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"ใครวะ!" หวังสะลึมสะลือตื่นขึ้นหลังจากนอนหลับไปเพียงชั่วครู่ "กูถามว่าใคร"
"กูเองไอ้ต้อมเว้ย"
"......"
แกร๊ก
พอเปิดประตูออกหวังก็รีบเปิดไฟปรากฏเป็นต้อมยื่นเหงื่อโชกเหมือนไปทำอะไรมาก่อนจะคว้าแขนหวังเขย่าแรง
"มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ"
"กูจะนอนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเดินบิณฑบาตกับหลวงลุงไปไม่ได้"
"ครั้งนี้ไม่ได้ไปเปล่ามีค่าจ้างด้วย"
"งานอะไร...ถ้าส่งยากูไม่ไปนะ"
"แค่ไปยืนดูต้นทางพอดีว่ามีเรื่องใหญ่ต้องสะสางเคลียร์กันใต้ตึก"
"กี่บาท.."
หวังยืนเท้าเอวมองต้อมแล้วครุ่นคิดเนื่องจากตอนนี้หลวงลุงป่วยและไม่ชอบไปหาหมออาการจึงทรุด ฉะนั้นเวลาว่างเขาจึงรับจ้างทุกอย่างเพื่อที่จะได้เก็บเงินเอาไว้ใช้เองไม่อยากรบกวนใคร
ตึกร้าง
"มึงอยู่ตรงนี้แหละถ้าใครมามึงต้องรีบบีบแตรทันทีเลยแบบดังๆ" ต้อมสั่งหวังด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"พวกมึงเคลียร์อะไรกันกับใคร.."
"ไม่ต้องรู้ดีที่สุดไม่กี่ชั่วโมงคงจะเสร็จแต่อย่าลืมนะว่าถ้าใครมาให้บีบแตรค้างไว้"
"เออ! !มืดก็มืดยุงจะหามกูแล้วรีบหน่อย"
พูดจบต้อมก็วิ่งหน้าตั้งเข้าป่าลัดไปทางตึกร้าง ซึ่งท่าทางดูเเปลกมากแต่เพราะรับเงินมาแล้วหวังจึงจำเป็นต้องอยู่เฝ้า
ชั่วโมงต่อมา
บรื้นนน วี๊ว๊อออ
"หยุดอย่าขยับนี่เจ้าหน้าที่ตำรวจยกมือขึ้นเหนือศีรษะ หากขยับเราจำเป็นต้องใช้ความรุนแรง"
"!!!!!"
เมื่อรถตำรวจหลายคันพุ่งมาล้อมหวังแล้วใช้โทรโข่งประกาศสั่งทำให้เขานิ่งปนช็อกกับสถานการณ์นี้
"เชี่ยอะไรกันวะเนี่ย...!"
หนึ่งเดือนต่อจากนั้น
ตัวหวังถูกฝากขังโดยห้ามเยี่ยมหรือพบปะกับใครแม้กระทั่งหลวงลุงที่ติดต่อเข้ามา สภาพจิตใจเขาเริ่มย่ำแย่เมื่อตำรวจคาดคั้นจะให้ยอมรับผิด
"ถ้ารับสารภาพโทษหนักจะกลายเป็นเบานะอีกอย่างเราตั้งทนายให้ฟรี"
"ผมไม่ผิดจะยอมรับทำไม"
"คำให้การไร้พยานหลักฐานแถมยังกำเงินจากพวกนั้นไว้เเน่นอีก"
"ใครแม่งจะรู้ว่าพวกมันทำเหี้ยอะไรกัน!!!"
สติเริ่มแตกทันทีพร้อมดิ้นแรงด้วยความเจ็บใจ ตำรวจสืบสวนคดีส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมและที่ทำให้เขาเริ่มกลายเป็นบ้าเพราะสำนวนที่ให้เซ็นรับสารภาพมันคือ 'คดีข่มขืนรุมโทรม' จากเดนนรกที่พาสาววัยเดียวกันมามอมเหล้าแล้วลากไปทารุณกรรมในตึกร้างที่หวังยืนเฝ้าปากทางเข้าอยู่
หลายวันต่อมา
"ทำใจดีๆ ไว้หลวงลุงกำลังหาคนมาช่วย" เสียงของความห่วงใยพูดผ่านกรงขัง
"ผมไม่ได้ทำนะครับหลวงลุง อึก ผมไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเลย"
"หลวงลุงเชื่อเอ็ง"
"____"
"ก็ข้าเลี้ยงเอ็งมากับมือทำไมจะไม่รู้สันดาน จริงไหม..ถึงจะเกเรไปบ้างนักเลงไปหน่อยแต่คนอย่างเอ็งคงไม่ชั่วขนาดนั้นเพราะเห็นแก่เงินไม่กี่บาทหรอก ฮ่าๆ"
"หลวงลุง ฮือ ฮึก"
น้ำตาลูกผู้ชายไหลหลั่งเพราะคืนนรกนั่นทำให้ชีวิตเขาต้องถูกจองจำและที่ทำให้เสียใจมากที่สุดคือจะไม่สามารถดูแลผู้มีบุญคุณท่วมหัวอย่างหลวงลุงได้อีกต่อไป
'ดั่งคำโบราณที่กล่าวไว้ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล'
[การเลือกคบคนต้องพิจารณาให้ดีถ้าคบคนไม่ดีมาเป็นเพื่อน คนไม่ดีก็จะชักนำ พาเราไปในทางที่ไม่ดี ถ้าคบคนดีมีความรู้ คนดีก็จะชักนำ พาเราไปในทางที่ดี]