“ไม่มีใครบอกหรอกเจ้าค่ะ ชิงหลินคิดเอง คงเป็นเพราะชิงหลินทุกข์ใจที่ชีวิตต้องมาเจอกับทุกข์แสนสาหัสเช่นนี้ พลัดบ้าน แล้วชีวิตคู่ยังล้มเหลวเพราะเจอคนไม่ดีเลยทำให้พูดอะไรเหลวไหลออกไป ท่านอาจารย์อย่าใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
ประโยคหลังหลินหลินรำพึงแทนจางชิงหลินที่ถูกสามีหักหลัง คิดครั้งใดก็แค้นขึ้นมาทุกครั้ง ผัวชั่วร่วมมือกับเมียน้อยทำร้ายเมียหลวง ไม่ว่ายุคสมัยใดฟังแล้วหัวใจลูกผู้หญิงก็เจ็บปวดกันทุกคน
“วาสนาชะตาของประสกมีบุรุษเข้ามาเกี่ยวพันสามคน ทั้งหมดเป็นไปตามโชคชะตา ประสกต้องเจอพวกเขา หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประสกจะมีทั้งทุกข์และสุข นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลกแต่สุดท้ายแล้วประสกก็จะได้เจอคู่แท้เอง”
“คู่แท้” หลินหลินร้องออกมาด้วยความตกใจ นางสนใจก็ประโยคนี่แหละ แต่พลันหน้าแดงแล้วก็เขียวคล้ำ
คู่แท้มาอยู่ที่ภพนี้ แล้วถ้านางกลับไปบ้านได้ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันน่ะสิ หรือถ้าอยู่ด้วยกันก็หมายความนางไม่ได้กลับบ้านแต่ต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป หลินหลินยกมือนวดขมับ ไม่อยากคิดให้วุ่นวายต่อเพราะเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น
“บางทีชิงหลินก็ไม่อยากเจอคู่แท้ อยากแค่มีชีวิตที่สุขสบายมากขึ้นกว่านี้” นางหลงยุคมาทั้งทีก็ไม่ได้อยากบวชเป็นชี แต่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเอง ส่วนเรื่องการแก้แค้นให้จางชิงหลินนางก็ไม่ลืม นางคิดเสมอว่านี่ก็คือหน้าที่หลัก หรือดีไม่ดีนี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นางย้อนยุคกลับมาก็เป็นได้
“ไม่มีใครสมปรารถนาทุกเรื่อง ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่การกระทำและบุญที่สะสมมา อย่างไรประสกก็หลีกเลี่ยงการมีคู่แท้ไม่ได้” ป๋ายเทียนยังย้ำด้วยสีหน้าเมตตา
“แล้วคู่แท้ชิงหลินอยู่ที่ไหนเจ้าคะ”
ป๋ายเทียนยิ้ม “อาตมาบอกประสกไม่ได้ แต่ประสกจะรู้เอง”
“ท่านอาจารย์ชอบพูดอะไรเป็นปริศนาธรรม ชิงหลินไม่เข้าใจเลย ฟังธรรมะทีไรใจมันบางทุกที”
ป๋ายเทียนมองนางแล้วหายใจยาวพรืด สีหน้าของสตรีตรงหน้าฟังคำเขาพูดเหมือนนางจะง่วง แต่เขาจำเป็นต้องพูด เขาอยากอบรมสั่งสอนนาง ทำหน้าที่ ที่ควรต้องทำ
“ถ้าถึงเวลาของมัน ประสกก็จะเข้าใจทุกอย่าง ตอนนี้ได้เวลาสวดมนต์แล้ว อาตมาขอตัวก่อน ประสกไปพักผ่อนเถอะ”
หลินหลินลุกขึ้นประสานมือค้อมตัวส่งป๋ายเทียน ส่วนตัวนางก็หมุนตัวกลับเข้าห้อง เพราะรู้สึกยิ่งคุยกับป๋ายเทียนนางก็ยิ่งทั้งสับสนและอยากรู้แต่บางครั้งก็รู้สึกง่วงนอน แต่ประเด็นที่ทำให้ตื่นหน่อยนางอยากรู้เรื่องคู่แท้
จะเป็นใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ผัวชั่วฉินซือเฉิง เลิกแล้วเลิกเลย ไม่มีทางกลับไปร่วมชีวิตกันได้อีกแน่ มีแต่จะต้องตายตกกันไปข้างหนึ่ง นั่นแหละที่นางต้องการ
ขณะที่หลินหลินเดินห่างออกไป ป๋ายเทียนก็หันกลับมามองแผ่นหลังบอบบางนั้นด้วยสายตาสงบนิ่ง ทว่ามีรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากและใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่เอิบอาบไปด้วยความเมตตาปราณี
“โจวซิ่นเจ้าไปอยู่ที่ใดข้ามองไม่เห็นเจ้ามานานเท่าไหร่แล้ว แต่ข้ารับรู้ได้ เจ้าเป็นคนผลักนางกลับมา เราสามคนได้มีวาสนาพบกันอีกครั้งแต่น่าเสียดาย วาสนานั้นช่างตื้นเขิน เจ้ากับข้าและนาง...”
ป๋ายเทียนหลับตานิ่ง ไม่อยากคิดถึงภาพใบหน้าของสตรีนางหนึ่งในอดีตที่ผ่านมานานแสนนาน
เมืองกวางโจว
จิวฮุ่ยนั่งรถม้ามาถึงในวันที่สองนับแต่ที่ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย จางชิงหลินให้เงินนางมามากพอที่จะจ้างรถม้าให้ขับอย่างรวดเร็วจนพามาถึงกวางโจวตามกำหนด และผู้เป็นนายยังบอกนางอีกว่าให้มอบเงินให้กับขุนนางที่มีผลประโยชน์ต่องานนี้ให้มากพอ ผู้เป็นนายย้ำว่างานนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น
“งานนี้ข้าน้อยต้องทำให้สำเร็จเพื่อคุณหนู”
จิวฮุ่ยเป็นคนฉลาดจึงรีบตรงไปที่จวนผู้ว่าการเมืองกวางโจว เมื่อไปถึงก็ติดต่อกับนายท่าที่ดูแลการค้าขายระหว่างแผ่นดินใหญ่กับต่างชาติ
จิวฮุ่ยรีบบอกจุดประสงค์กับยามหน้าประตูแล้วก็ไม่ลืมแนบเงินให้ปึกหนึ่ง ยามคนนั้นตาโตทันทีที่เห็นเงิน จึงรีบเชิญจิวฮุ่ยเข้าไปแล้วตัวเขาเองก็ไปบอกกับผู้เป็นนาย
นายท่าที่ดูแลท่าที่กวางโจวไม่อยากออกมาพบกับสตรีที่ไม่รู้จัก แต่เพราะได้รับคำสั่งลับฉบับหนึ่งจากผู้เป็นนายลับๆว่าให้ทำตามแขกที่จะมาขอพบภายในวันสองวันนี้ทุกอย่าง เขาจึงเดินออกมาพบ
เมื่อออกมาพบแล้วจึงเห็นว่าเป็นสตรีหน้าตาธรรมดา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่ของแพง ดูไปแล้วทั่วทั้งตัวไม่มีสง่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลไหนสักแห่ง แต่ทำไมนายเขาถึงให้ออกมาพบและทำตามที่นางบอก
เขาไม่เข้าใจแต่ก็ทำตาม เพราะได้เสี่ยงที่จะเลือกข้างไปแล้ว
“เจ้าเป็นใครมาพบข้าทำไม”
“ข้าชื่อจิวฮุ่ยมีอาชีพค้าขายไปทั่วแดน ต้องการมาค้าขายที่กวางโจว ข้ามีสินค้าผ้าไหมแพรพรรณมากมายอยากขายให้กับชาวต่างชาติ ข้าจึงนำจดหมายเชื้อเชิญพ่อค้าชาวต่างชาติให้ไปชมสินค้าของข้าด้วย จดหมายอยู่นี่แล้ว”
นายท่ารับจดหมายมาดู เมื่อเปิดออกอ่านก็ขมวดคิ้ว มองข้อความในจดหมายสลับกับมองหน้าคนที่ยื่นมันมาให้
“นี่มันภาษาอะไร เจ้าเขียนอะไรมา ข้าอ่านไม่ออก”
จิวฮุ่ยยิ้ม “คุณหนูของข้าเป็นคนเขียน มันเป็นภาษาอังกฤษ คุณหนูข้าบอกว่าอยากค้าขายกับเขาก็ต้องเรียนรู้ภาษาเขา คุณหนูแตกฉานหลายภาษาทั้งแมนจู ทั้งฮั่น ทั้งมองโกลและยังภาษาอังกฤษนี่ด้วย” จิวฮุ่ยคุยโวขึ้นไปอีก เมื่อเบิกโรงด้วยความอวดอ้างแล้วนางก็ต้องแสดงให้มากขึ้นด้วย เพื่อให้นายท่าเชื่อสนิทใจ
“คุณหนูของเจ้าคงจะเป็นคนที่เก่งมาก”
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไรกับจดหมายนี้”
จิวฮุ่ยยิ้มแล้วเดินไปกระซิบใกล้ๆ “ให้ท่านมอบจดหมายเชิญชวนเหล่านี้กับพวกพ่อค้าชาวต่างชาติ พวกเขาอ่านแล้วก็จะรู้เอง ในนี้ไม่มีอะไรมาก แค่ต้องการเชิญให้ไปชมสินค้าเท่านั้น”
เมื่ออ่านไม่ออก นายท่าจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากลังเล แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจทำตามที่แขกพิเศษคนนี้บอก
หลังจากที่นางกลับไปแล้ว นายท่าก็เดินเข้าไปบอกจิวฝูคนสนิทของฉินจิ้นเหอ
“ทำตามที่นางบอก ท่านอ๋องเก้าสั่งมาแบบนี้”
“ขอรับ ข้าจะรีบทำตาม” พวกเขาซุบซิบกันอยู่พักหนึ่ง
จากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกันไป จิวฝูค่อยๆเร้นกายหายไปจากเมืองกวางโจวโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ดึกคืนนั้นหลินหลินเข้านอนโดยมีลู่เจียวคอยดูแล นางล้มตัวลงนอนพร้อมกับความคิดถึงสาเหตุที่นางย้อนเวลากลับมาที่นี่
“มันต้องมีเหตุสิ การมาที่นี่ต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วยังยัยซุป’ตาร์ เรื่องเยอะ มาเดินวอบแวบให้เห็นมันเกี่ยวอะไรกันนะ”
สวรรค์คงไม่ได้ส่งมาอยู่ในดงคนหล่อ เพื่อให้นางรู้สึกชีวิตสดใสกระปรี้กระเปร่าขึ้นหรอก คนเราทุกคนมีหน้าที่ นางเองก็มีหน้าที่
“หรือจะเป็นหน้าที่เขย่าบัลลังก์ให้ทรราชหล่นลงมา ชักนำคนดีขึ้นนั่งบัลลังก์ต้าชิง แต่ว่าอีอ๋องเก้านั่นเหรอคนดี ทำไมชอบมองพี่สะใภ้ด้วยสายตาหื่นๆ แบบนั้นก็ไม่รู้” หลินหลินไม่ได้คิดไปเองแต่อ๋องเก้ามองเจ้าของร่างอย่างนั้นจริงๆ
“คิดเยอะ แต่ยังไม่ได้คำตอบ เปลืองสมองนอนดีกว่า”