“พี่ชายแกที่เป็นหมอใช่ไหม” นิชาดาเอ่ยถาม เธอพอจะจำได้ว่าชนัญญาเคยเล่าว่ามีพี่ชายหนึ่งคน แต่เขาไปเป็นหมออยู่ต่างประเทศ เพราะต้องทำความคุ้นเคยกับสาขาโรงพยาบาลที่ต่างประเทศให้ได้มากที่สุด
“จะว่างั้นก็ใช่ แต่เดี๋ยวพี่เชนก็คงได้ขึ้นแท่นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแทนคุณพ่อแล้วแหละ นั่นไง พี่ชายฉันมาพอดีเลย” ชนัญญาพูดด้วยความดีใจ เมื่อหันไปเห็นรถยนต์หรูที่คุ้นเคยจอดอยู่โดยมีชายหนุ่มที่เธอกำลังพูดถึงยืนรออยู่ก่อนแล้ว
นิชาดามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อาจละสายตาไปได้ ด้วยส่วนสูงราวร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ใบหน้าที่คมคาย ดวงตาคมมีเสน่ห์และเจ้าเล่ห์อยู่ในตัว ริมฝีปากบางรับกับจมูกโด่งเป็นสัน และผิวคมเข้มตามแบบฉบับหนุ่มผิวแทน แต่ด้วยการแต่งกายที่เรียกว่าเนี้ยบตามบุคลิกของแพทย์หนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าดูเป็นคนที่มีเสน่ห์ขึ้นไปอีก เธอจับจ้องเขาอยู่นานจนเผลอไปสบตาเข้ากับชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว เขามองเธอก่อนจะยิ้มที่มุมปากเบาๆ ทำเอาหญิงสาวรีบหลบตาทันทีด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก!
‘ราเชน ภักดีตระกูล’ หรือเชน อายุสามสิบห้าปี มองน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวตัวเล็กที่เดินคู่มากับชนัญญา เธอดูตัวเล็กน่าเอ็นดู ด้วยส่วนสูงประมาณร้อยหกสิบเซนติเมตร ใบหน้าหวาน ผิวพรรณขาวอมชมพู ผมยาวสลวยปล่อยกลางหลัง และไหนจะดวงตากลมโตที่มองเขาด้วยสายตาสั่นระริกนั่น ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถูกชะตากับเธออย่างบอกไม่ถูก
“มาตรงเวลาจังเลยนะคะพี่เชน” ชนัญญาวิ่งเข้าไปคล้องแขนผู้เป็นพี่ด้วยความดีใจ
“ใช่สิ มาช้าเธอก็คงบ่นพี่แย่” ราเชนพูดด้วยน้ำเสียงขำขัน ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่เพื่อนของน้องสาว
“แฮ่มๆ ชญาลืมแนะนำเลยค่ะ นี่นีลเพื่อนรักของชญาเอง นีล นี่พี่เชน พี่ชายสุดที่รักกกกของฉัน” ชนัญญาแนะนำอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะลอบมองพี่ชายที่เอาแต่จ้องเพื่อนของเธอราวกับจะกลืนกิน
“สวัสดีค่ะ” นิชาดาสวัสดีพี่ชายของเพื่อนด้วยความนอบน้อม ก่อนจะหลบตาเขาอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมหัวใจมันเต้นแรง ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าจังหวะตกหลุมรักหรือเปล่า แต่มันเขินๆ
“พี่เชนคะ ช่วยพูดหน่อยสิ ชญาอยากชวนนีลไปฉลองสอบเสร็จด้วยกัน แต่นีลเขาไม่ยอมไป” ชนัญญาได้ทีอ้อนพี่ชายใหญ่
“ทำไมล่ะ ไปด้วยกันสิ นานๆ ทีพี่จะได้เจอกับเพื่อนรักของชญา” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ท่าทางสุภาพ นี่ละมั้งพ่อไมโครเวฟของจริง ผู้ชายอบอุ่น ซึ่งเป็นสเป็กที่เธอชอบ
“เอ่อ คือว่า…”
“ไปเถอะ มื้อนี้พี่เชนเลี้ยงเอง!” ชนัญญาพูดขึ้น
“อื้ม ได้สิ ไปเถอะนะ อย่าเสียน้ำใจพี่เลยนะครับ วันนี้พี่อยากเลี้ยงจริงๆ” ราเชนส่งยิ้มให้หญิงสาวอย่างจริงใจ
“กะก็ได้ค่ะ” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มพูดขนาดนี้ ในที่สุดนิชาดาก็ตอบตกลงออกไป โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล…
และแล้วก็มาถึงวันที่นิชาดาจะต้องให้คำตอบกับชนัญญา หลังจากที่เธอใช้เวลาในการตัดสินใจไปร่วมสามวัน สุดท้ายเธอก็ตกผลึกได้ว่าไม่ควรเอาตัวเองและลูกไปเสี่ยงกับการพบเจอเขาคนนั้นอีก เพราะครั้งสุดท้ายที่เจอกันเธอก็ทำให้เขา ‘เกลียด’ เธอเสียยิ่งกว่าอะไร ดังนั้น การต้องกลับไปพัวพันกับผู้ชายคนนั้นจึงเป็นเรื่องต้องห้ามที่นิชาดาพยายามหนีมาตลอด
ดวงตาคู่กลมใสบริสุทธิ์มองคนเป็นแม่ “แม่นีลครับ วันนี้แม่จะไปรับน้องนนท์ไหม” เด็กชายมองผู้เป็นแม่ที่กำลังพับผ้าอยู่ด้วยท่าทีออดอ้อน
“ไปสิจ๊ะ แม่ก็ไปรับน้องนนท์ทุกวันอยู่แล้วนี่” นิชาดาส่งยิ้มให้กับลูก แม้ว่าเธอจะทำงานประจำก็จริง แต่ความที่ทำงานกับโรงพยาบาลแห่งนี้มานานหลายปี ทำให้เธอสามารถไหว้วานขอแลกเวรกับเพื่อนๆ ในโรงพยาบาลได้ ไม่เช่นนั้นเธอคงลำบากใจแย่ เพราะไม่มีใครคอยรับ-ส่งน้องนนท์แทน
“เย่!” ร่างขาวๆ อวบๆ แสดงท่าทางดีใจออกมาเสียจนคนเป็นแม่อดประหลาดใจไม่ได้
“ดีใจอะไรขนาดนั้น ปกติแม่ก็ไปรับน้องนนท์อยู่แล้ว หรือว่าน้องนนท์มีอะไรหรือเปล่าครับ” นิชาดาเอ่ยถามน้องนนท์ พร้อมกับหยุดพับผ้าและอุ้มเด็กน้อยมาไว้บนตักของตนเอง
“คือว่า…น้องนนท์อยากไปสนามเด็กเล่นครับ” เด็กชายอมยิ้มกรุ้มกริ่มพูดด้วยสายตาเป็นประกาย
“หืม…แล้วสนามเด็กเล่นที่โรงเรียนไม่สนุกเหรอครับ” นิชาดาขมวดคิ้วเอ่ยถามในทันที ปกติแล้วบ้านของเธอจะมีสนามเด็กเล่นหน้าบ้านเล็กๆ ให้น้องนนท์ได้วิ่งเล่นหลังเลิกเรียน แต่พอมาเกิดเหตุไฟไหม้เมื่อเธอต้องเช่าห้องพักแบบนี้ น้องนนท์ก็ไม่มีสถานที่วิ่งเล่นอย่างที่เห็น
“สนุกครับ แต่ว่าน้องนนท์อยากไปเล่นที่สนามหน้าบ้านเรามากกว่า” เด็กชายพูดด้วยแววตาหม่นลงจนปิดไม่อยู่ นิชาดาเดาอาการได้ว่าเด็กน้อยคงคิดถึงสนามเด็กเล่นหน้าบ้านเก่าที่ถูกไฟไหม้ แกคงไม่ชอบห้องเช่าที่อุดอู้
“น้องนนท์คิดถึงบ้านเราใช่ไหมลูก” นิชาดาเอ่ยถามด้วยความเศร้าไม่ต่างกัน พลางลูบผมนุ่มๆ ของลูกชายอย่างเอ็นดูระคนสงสาร เพราะเธอเองก็คิดถึงบ้านเก่า แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อชีวิตลิขิตให้เธอต้องมาพบเจอกับเรื่องแย่ๆ เช่นนี้ก็ต้องยอมรับให้ได้
“น้องนนท์คิดถึงบ้านครับ อยากให้แม่นีลไปวิ่งเล่น น้องนนท์ไม่อยากอยู่ในห้อง คุณยาย...ชอบมาชวนนับนิ้วครับ” เด็กชายร่างป้อมมองไปรอบๆ ห้องสี่เหลี่ยมคับแคบราวกับว่ามันเป็นกรงขังเด็กเล็กๆ นอกจากแกกับแม่ ยังมีผู้หญิงสาวบ้าง แก่บ้าง อาศัยอยู่ในห้องด้วยเป็นบางครั้ง แล้วชอบส่งยิ้มให้แกอีก ยิ่งคุณยายคนนั้นชอบชูสองนิ้วให้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็ยกสามนิ้วให้แล้วยังมากระซิบว่างวดนี้ให้บอกแม่ด้วย