“สวัสดีค่ะ” ฝนแก้วประนมมือไหว้ สายตามองฟ้ามองดินไม่อยากสบใคร รู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ครอบครัวของเธอทำกับพวกเขา
“หนูฝนป้าเสียใจด้วยนะ” จารีย์จะแตะมือหญิงสาวแต่ฝนแก้วชักหนี
“ฝนขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะคะ ฝนขอโทษแทนคุณแม่ด้วย ฝนรู้ว่าท่านก็เสียใจ” ฝนแก้วอยู่ในช่วงที่ความเข้มแข็งหลบอยู่หลังความอ่อนแอ ยามประหวัดถึงผู้ตายทีไรน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างง่ายดาย
“ทำไมหนูต้องหลบหน้าป้า ทำไมไม่บอกป้าเรื่องงานศพ ไปตามหาหนูที่บ้านก็ไม่เคยเจอ”
“ฝนละอายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกแย่รู้สึกผิด” หญิงสาวสะอื้น พยายามกลืนก้อนน้ำตาลงคอ สูดหายใจเข้าลึกแล้วเริ่มพูดใหม่อย่างมั่นคง “และฝนไม่ลืมว่าฝนเป็นคนฆ่าพ่อแม่ตัวเอง”
“ทำไมหนูพูดแบบนี้” ปพนเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ สงสารหญิงสาวที่ตาบวมช้ำจับใจ ปพนเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก รักใคร่เอ็นดูดุจลูกสาว
“เพราะฝนต่อว่าเรื่องที่แม่มีชู้ โดยไม่รู้ว่าพ่อก็อยู่ตรงนั้นด้วย เพราะฝน...ฝนทำให้พ่อบันดาลโทสะ” ฝนแก้วปิดหน้าสะอื้นไห้ กันต์ดนัยจึงดึงหญิงสาวมากอดแนบอกอีกครั้ง
ปรวีร์ย่นคิ้วมองตาขวาง เลิกกันไปแล้วไม่ใช่เหรอมีสิทธิ์อะไรมาใกล้ชิดเธอแบบนี้ ปรวีร์นึกอยากกระชากดาราหนุ่มออกมา แต่ทนระงับใจเพราะรู้ว่าไม่ใช่สถานการณ์ที่เหมาะสม
ปรวีร์เสียใจ รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นห่วงฝนแก้วจนงุ่นง่าน ทว่าตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกำลังเจือจางเมื่อคิดว่าเขาไม่ใช่คนสำคัญของเธอ ฝนแก้วเลือกบอกกันต์ดนัยว่าจัดงานศพที่ไหน ในขณะที่เอาแต่หลบหน้าเขามาตลอดหลายวัน ขนาดโทรศัพท์ของเธอทิ้งไว้ที่เขาก็ยังหาทางติดต่อกันจนได้สินะ
“ไม่เอาลูกอย่าคิดแบบนั้น” ปพนมากกว่าที่ต้องโทษตัวเองกับความผิดเหล่านี้ หลงมัวเมากับความมักมาก ไม่เคยรู้จักหยุดจักพอ จนในที่สุดก็เป็นต้นเหตุของหายนะ
“ฝนไม่มีวันลืมว่าตัวเองทำให้พ่อแม่ตาย” ฝนแก้วถอนใบหน้าจากฝ่ามือพร้อมเช็ดน้ำตาลวกๆ
เธออยากถามปรวีร์ว่าเวรกรรมนี้พอจะชดเชยความผิดของแม่ได้บ้างไหม ฝนแก้วไม่โกรธไม่โทษเขา เพียงแค่อยากรู้ว่าเขาพอใจกับการทำงานของเวรกรรมหรือยัง
“หนูฝนป้าขอร้องนะอย่าคิดแบบนี้เลย พ่อของหนูเขาไม่ได้พลั้งมือเพราะเรื่องที่เพิ่งรู้ ป้าว่าคุณวัชเขาก็คงเครียดสะสมจากคดีความ ขอเถอะนะลูกอย่าคิดว่าเราเป็นต้นเหตุเลย หนูต้องเข้มแข็งนะ ป้าจะอยู่ข้างๆ หนู จะช่วยเหลือหนูทุกอย่าง ถึงหนูไม่ต้องการป้าก็จะยัดเยียดให้”
“ฝนไม่...”
“เอาล่ะจ้ะ พักเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนค่อยคุยกันทีหลังนะ ป้าขอไปกราบศพพ่อแม่หนูหน่อยนะ” จารีย์เอ่ยปิดทางเมื่อรับรู้ว่าฝนแก้วกำลังปฏิเสธความช่วยเหลือ
ความรู้สึกของเด็กสาวกำลังรุนแรง ทั้งอ่อนไหวและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ด้วยภาวะจิตใจที่กำลังสับสนเธอจึงไม่จำเป็นต้องตัดสินใจทุกอย่างในเวลานี้ จารีย์เดินเข้าไปในศาลาพร้อมปพน ส่วนปรวีร์เขม็งมองมือดาราหนุ่มที่วางบนบ่าหญิงสาวไม่ผละออกเสียที
กันต์ดนัยใช่จะสัมผัสไม่ได้ถึงรังสีบางอย่างที่ส่งผ่านสายตาดุกล้า ดาราหนุ่มกลัวเสียที่ไหนประสานสายตามองกลับไม่ลดละ กระทั่งปรวีร์เดินเข้าไปในศาลาอย่างขัดใจโดยไม่รู้ตัวว่าสองมือกำลังกำหมัดแน่น
“พวกเขาเป็นใครเหรอครับ”
“คนรู้จักที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนญาติกันน่ะค่ะ”
“แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะครับเขาเป็นใคร เป็นอะไรกับฝนเหรอ ทำไมเขามองพี่เหมือนอยากต่อยให้คว่ำ”
“พี่กันต์คิดมากไปเองแหละค่ะ เขาก็หน้านิ่งตาดุแบบนั้นแหละ อย่าถือสาเลย เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะตรงนี้แดดเริ่มแรงแล้ว”
กันต์ดนัยตามร่างเล็กไม่ห่างกาย และไม่วายเหลียวไปทางสามคนพ่อแม่ลูกที่คุกเข่าจุดธูปหน้าโลงศพ เป็นไปตามคาดชายหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นก็มองเขาอยู่ก่อนแล้ว บางอย่างบอกกันต์ดนัยว่ารังสีอำมหิตนั้นมันแฝงมาพร้อมความหวง หากไม่ติดว่าผิดกาลเทศะกันต์ดนัยอยากถามฝนแก้วให้ชัดๆ ว่าเธอเป็นอะไรกับเขากันแน่ ผู้ชายคนนั้นถึงได้ทำท่าหึงหวงนัก
ดาราหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ข้างฝนแก้ว ป้าออนยังคะยั้นคะยอให้เธอทานข้าว ในขณะที่คุณหนูก็เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธอ้างว่าทานไม่ลง กันต์ดนัยเห็นสายตาอ่อนอกอ่อนใจของแม่บ้านที่ปรายขอความช่วยเหลือจากเขา จึงรับจานข้าวผัดนั้นมา ตักพอดีคำแล้วยื่นไปตรงหน้าคนเจ้าน้ำตา
“อะไรคะพี่กันต์”
“ทานสักหน่อยนะครับ ให้กระเพาะได้มีสารอาหารบ้างเนอะ”
“แต่ฝนกินไม่ลงจริงๆ” หญิงสาวยังส่ายหน้ากับอาหารที่กันต์ดนัยยื่นจ่อปาก
“พี่เข้าใจอารมณ์ของเรานะ แต่ก้าวแรกของความเข้มแข็งคือร่างกายต้องไม่อ่อนแอ พี่ขอแค่ห้าคำเท่านั้น โอเคไหมคะ?” สายตาแกมบังคับเจือปนไปกับความเป็นห่วงพลอยทำฝนแก้วใจอ่อน ยินดีรับข้าวผัดที่กันต์ดนัยป้อนถึงปาก
ดาราหนุ่มยิ้มเอ็นดู อย่างน้อยเธอก็ไม่ดื้อมาก เขาส่งข้าวป้อนถึงปากเธอพร้อมเหลือบไปทางปรวีร์ที่มองมาทางนี้ตามคาด ปลายลิ้นที่ดันกระพุงแก้ม สายตาเย็นแต่ไม่นิ่งแถมยังอำมหิต ลักษณะอาการมองอย่างไรก็หึงหวง ฝนแก้วทานอาหารที่กันต์ดนัยป้อนอย่างฝืดฝืน พอเหลือบเห็นปรวีร์ที่มองอยู่ก่อนแล้วก็เปลี่ยนสายตาไปทางอื่นทันที