เหยื่อแค้น

3414 คำ
ฝนแก้วมาถึงสถานที่นัดหมายแต่ยังไม่ก้าวเข้าไปทันที ดวงตาชื่นชมลากขึ้นลากลงขณะมองซุ้มโลหะโค้งสีทองที่ตกแต่งอยู่รอบบาร์ ก่อนไล่มองบรรยากาศคลาสสิคหรูหราท่ามกลางเสียงดนตรีสไตล์ Funky Jazz ให้ความรู้สึกวินเทจแฟนซีเหมือนดูหนังพีเรียดฝรั่งยุค 20 ซึ่งบาร์แห่งนี้เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานตั้งอยู่บนโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา กันต์ดนัยเลือกที่นี่เป็นสถานที่นัดพบโดยให้เหตุผลว่าเป็นบาร์ที่มีความเป็นส่วนตัว ไม่เสียงดังอึกทึก “น้องฝนมัวแต่มองอะไรครับ” กันต์ดนัยลุกมาตาม หลังโบกมือเรียกอยู่ตรงเก้าอี้ที่นั่งคอย แต่เหมือนสัญญาณมือไม่อยู่ในการรับรู้ของเธอสักนิด “พี่กันต์มาถึงนานแล้วเหรอคะ” หญิงสาวหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่บดบังใบหน้าฟ้าประทานด้วยกรอบแว่นกันแดดสีชา แม้เป็นเวลากว่าสองทุ่ม แถมอยู่ในที่แสงสลัวแต่เขาก็ยังกลัวเป็นเป้าสายตาสินะ “พี่เพิ่งนั่งได้ไม่ถึงห้านาทีเองครับ ดื่มอะไรไหมเดี๋ยวพี่ไปสั่งให้” “ขอค็อกเทลที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เยอะที่สุด เอาแบบแรงๆ เลยค่ะ” “งั้นเดี๋ยวพี่พาไปเซเว่น จะเหมาโซจูให้เลยสองลัง” กันต์ดนัยว่าประชด โคลงศีรษะเล็กอย่างเอ็นดูก่อนชี้มือให้เธอไปนั่งรอยังไปโต๊ะที่จองไว้ “พี่ไม่สั่งแรงๆ ให้หรอกนะ เห็นว่าขับรถมาเอง” รอเพียงไม่นานกันต์ดนัยก็กลับมาที่โต๊ะ พร้อมเลื่อนเครื่องดื่มไปตรงหน้าหญิงสาว “แก้วนี้ชื่อว่า Hand of God มีเตกีล่า โกโก้ ไวน์ และอะไรก็ไม่รู้อีกสองสามอย่างจำไม่ได้ล่ะ” เครื่องดื่มสีแดงจรดชิดริมฝีปากก่อนตามมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง รอยยิ้มสดใสขยายจนสุดปาก หัวใจกันต์ดนัยสูบฉีดเต้นแรงก่อนห่อเหี่ยวในชั่วพริบตาราวกับต้นไมยราบที่โดนสะกิด นานนับปีกว่าจะได้ครองหัวใจคนตรงหน้า แต่กลับไม่มีปัญญารักษาไว้ “เหมือนกินดอกเอลเดอฟลาวเวอร์ ผสมกับราสเบอร์รี่เลยค่ะ รสชาติดีมาก” “สมกับเป็นเมนูแนะนำของร้านสินะ ว่าแต่ไม่เจอกันแค่สองอาทิตย์ น้องฝนดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ผมทรงนี้ก็เข้ากับเราดี ดูเด็กลงเหมือนสาวม.ปลายเลย” ไม่รู้เรียกความหลงได้หรือเปล่า แต่หากเรียกว่ารักกันต์ดนัยไม่ค้านเลย ความรู้สึกในวันแรกที่เจอฝนแก้วเป็นอย่างไรวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม สิ่งที่เพิ่มมาคงเป็นความเสียใจที่จำต้องปล่อยความสัมพันธ์นี้ไป กันต์ดนัยมองคนตรงหน้าที่ยิ้มกว้างกับคำชม ฝนแก้วมาในลุคใหม่ฉีกสไตล์จากสาวหวานผูกโบว์ ก่อนหน้านี้เรือนผมของเธอสีดำขลับยาวสยายถึงกลางหลัง ทว่าวันนี้กลับหั่นเคลียบ่า ตัดหน้าม้าซีทรูและย้อมสีน้ำตาลอ่อน รับกับโครงหน้าจนดูอ่อนกว่าวัยไปหลายปี ในขณะที่การแต่งกายโชว์ความผ่องของผิวและเรือนกายสะโอดสะอง แต่ถึงแม้จะฉีกลุคอย่างไร ในสายตากันต์ดนัยเธอก็ยังดูนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมอยู่ดี “ขอบคุณค่ะ จริงๆ ฝนอยากตัดผมสั้นมานานแล้วแต่ไม่กล้า กลัวไม่เข้ากับหน้า” ซึ่งพอออกจากร้านทำผมก็มีแต่เสียงชื่นชมล้มหลาม ฝนแก้วจิบค็อกเทลอีกเล็กน้อยก่อนยืดตัวเข้าสู่ประเด็นจริงจัง “ทำไมพี่กันต์ถึงนัดมาที่นี่คะ เราไม่ควรเจอกันที่ที่คนเยอะแบบนี้นะ” “ก็ในที่ส่วนตัวฝนก็ไม่ยอมมาเจอพี่อีก พี่แค่อยากคุยกับเราในที่ที่บรรยากาศดีๆ บ้างน่ะครับ” “แต่ระหว่างเรามันจบแล้วนะคะพี่กันต์ มาเจอกันแบบนี้ถ้านักข่าวเห็นเข้าเดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีกหรอก” เดี๋ยวเธอก็โดนโจมตีทั้งที่ความผิดสักกระทงเดียวก็หามีไม่ สารพันความเกลียดชังจากคนไม่เคยรู้จักสาดใส่ฝนแก้วทางโลกโซเชียล เพียงเพราะเธอคบหากับกันต์ดนัยนักแสดงหนุ่มวัยยี่สิบสองปีที่เพิ่งเข้าวงการ แต่สามารถแจ้งเกิดด้วยผลงานเรื่องแรกจากซีรีส์วายในบทบาทดราม่าเข้มข้น กันต์ดนัยจึงกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืนพร้อมด้วยแฟนคลับล้อมหน้าล้อมหลัง ความสัมพันธ์ของเขาและเธอเพิ่งเริ่มต้นได้เพียงสองเดือน ทั้งกันต์ดนัยและฝนแก้วไม่มีเจตนาปกปิดหรือเปิดเผยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว กันต์ดนัยกลายเป็นคนดังที่ยังไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับความรักได้ แฟนคลับของเขาแสดงความชิงชังฝนแก้วทั้งที่เธอไม่เคยโพสต์รูปคู่พระเอก เธอโดนโจมตีหนักโดยไม่มีความผิดสักกระทง ฝนแก้วมองออกได้อย่างเดียวว่าที่แฟนคลับเหล่านั้นไม่ชอบเธอก็เพราะไม่อินที่ในชีวิตจริงกันต์ดนัยมีแฟนเป็นผู้หญิง อยากจับจิ้นกับตัวละครที่เล่นซีรีส์ด้วยกันมากกว่า แรงกดดันส่งไปถึงทางต้นสังกัด และทุกฝ่ายพิจารณาเห็นพ้องต้องกันว่าหากกันต์ดนัยอยากไปได้ไกลกว่านี้ต้องยอมสละบางอย่าง เลยขอให้เขาเบรกเรื่องรักและโฟกัสที่งานซึ่งกำลังรุ่งระดับพลุระเบิด “ครับๆ ทราบแล้วครับว่าไม่ค่อยปลอดภัย” กันต์ดนัยยิ้มก่อนกรีดแว่นกันแดดออกจากกรอบหน้า มันดูตลกไม่น้อยที่ในที่แสงสว่างไม่เพียงพอแต่เขาดันใส่แว่นกันแดด จากที่ต้องการอำพรางกลับกลายเป็นเป้าสายตาเสียมากกว่า “พี่อยากให้ของขวัญวันเกิดล่วงหน้าด้วยตัวเอง และอยากพามาเลี้ยงเครื่องดื่มก็เท่านั้น พรุ่งนี้วันเกิดฝนแต่พี่ไม่อยู่ไทย นี่เดี๋ยวต้องขึ้นเครื่องไปจีนแล้ว มีคิวถ่ายละครที่นั่นหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ” มือหนาหยิบถุงกระดาษที่วางไว้บนเก้าอี้อยู่ก่อนแล้ว เลื่อนส่งให้คนตรงหน้า ฝนแก้วรับถุงช้อปปิ้งสีชาเหลือบทองพิมพ์ชื่อแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์อย่าง BVLGARI เธอเพียงยิ้มขอบคุณแต่ไม่เปิดดูในทันที “ไม่เห็นต้องลำบากหาของขวัญมาให้เลย ฝนไม่ซีเรียส แค่ส่งข้อความมาอวยพรแค่นี้ก็ดีใจแล้ว แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ฝนขอไม่แกะตอนนี้นะ ไว้ลุ้นพรุ่งนี้ที่เป็นวันเกิดจริงดีกว่า แล้วนี่พี่กันต์ขึ้นเครื่องกี่ทุ่มคะ” “บอร์ดดิ้งสี่ทุ่มสี่สิบ เดี๋ยวก็คงไปแล้วครับ พี่จี้แชทมาตามยิกๆ แล้ว” กันต์ดนัยว่าแกมขำพลางเหลือบมองจอมือถือที่สว่างวาบด้วยข้อความจากผู้จัดการส่วนตัว “ชักช้าระวังโดนบ่นนะ ดูแลสุขภาพหาเวลาพักผ่อนด้วยนะคะ อย่ามัวแต่โหมงานหนัก” อยากร้องไห้โว้ย! อยากร้องมันเสียตรงนี้เลย กันต์ดนัยชาหนึบแต่ยังฝืนยิ้มให้หญิงสาว ร่างสูงโน้มตัวไปตรงหน้าจ้องสบดวงตาลึกซึ้ง อยากเก็บภาพคนคนนี้ไว้ในทุกห้วงของความทรงจำ “เลิกเป็นแฟน แต่อย่าเลิกเป็นเพื่อนกันนะครับ” “ไม่เลิกแน่นอนค่ะ สำหรับฝนพี่กันต์เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายเลยค่ะ และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป” กันต์ดนัยฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนบอกเลิกซ้ำสอง เหมือนประตูอนาคตปิดตายสนิทไม่มีหวังได้เลื่อนขั้น “ขอโทษนะครับที่ทำให้จบแบบนี้ อย่าเกลียดพี่เลยนะ” “ฝนจะเกลียดได้ยังไงล่ะคะ พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด สองปีที่รู้จัก สองเดือนที่คบกันไม่มีช่วงเวลาไหนเลยนะที่พี่กันต์ทำไม่ดีกับฝน ฝนไม่เคยเสียใจเพราะพี่ พี่กันต์เป็นผู้ชายที่สุภาพมาก เป็นสุภาพบุรุษตัวจริง เรื่องของเราที่ต้องจบมันก็จบลงด้วยดี ถือว่าเพื่ออนาคตของพี่นะคะ” “ในวันหนึ่งที่เราโตพอ มีทุกอย่างที่มั่นคงไม่ต้องกังวลเหมือนตอนนี้ ถ้าวันนั้นมาถึงเราอาจจะได้รักกันอีกนะครับ” กันต์ดนัยยังอายุน้อย พร้อมด้วยภาระคนข้างหลังที่ต้องรับผิดชอบ เขาจำต้องเสียสละความสุขส่วนตัวและโฟกัสกับการหาเงิน โอกาสในวงการบันเทิงไม่ใช่ทุกคนที่ไขว่คว้าได้ เขากำลังเป็นกระแสและค่าตัวก็พุ่งขึ้นเรื่อยๆ กันต์ดนัยต้องเสียสละ เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว “ก็คงงั้นมั้งคะ แต่ขออนุญาตไม่รอนะ” “ดีแล้วครับ เพราะไม่รู้ระหว่างทางจะเป็นยังไง รอไปแล้วปลายทางจะเป็นยังไง ใช้ชีวิตให้ดีกันเถอะครับ พรุ่งนี้อายุ 21 แล้วโตขึ้นอีกปีแล้วนะเรา ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ นะ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจอย่าลืมพี่ชายคนนี้ล่ะ” ฝ่ามืออบอุ่นเอื้อมลูบเรือนผมอีกฝ่าย กันต์ดนัยคุยต่อกับเธออีกไม่กี่คำก่อนสั่งเครื่องดื่มให้หญิงสาวเพิ่มอีกแก้วตามที่เธอเรียกร้อง พอนำมาเสิร์ฟให้ถึงที่ก็ร่ำลากันต่อเล็กน้อยแล้วออกไปจากบาร์ ฝนแก้วระบายลมหายใจยาวยืด เธอตอบตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร ก็คงเสียดายที่ความสัมพันธ์กับคนดีๆ ต้องจบลง แต่ไม่ถึงกับร้องไห้ฟูมฟาย ฝนแก้วไม่ได้โกหกที่บอกกันต์ดนัยว่าเขาเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชาย ที่ยอมเลื่อนสถานะสู่คนรักก็เพราะเหตุผลหลายข้อประกอบกัน ฝนแก้วรู้จักกันต์ดนัยจากที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน ด้วยความที่เธอเป็นหลานรหัสของเขาเลยสนิทสนมกันเป็นพิเศษ กันต์ดนัยดูแลเธอดีเสมอมาเป็นที่ปรึกษาให้ได้ทุกเรื่อง ฝนแก้วรู้ดีว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ อดทนจีบมานานแรมปีแต่ไม่เคยล่วงเกินหรือทำให้รู้สึกอึดอัด โดนเธอบอกปัดแต่ก็ยังอยู่ข้างๆ หวังว่าสักวันจะได้หัวใจ คนที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและนิสัยอย่างกันต์ดนัยคงได้ใจฝนแก้วไปนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะเธอเองก็มีใครบางคนในใจ แต่เป็นคนที่ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา ฝนแก้วไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนที่ใจเปลี่ยนจากรักแบบพี่น้องเป็นรักแบบชายหญิง อาจตั้งแต่ที่รู้ว่าคู่หมั้นของตนคือปรวีร์ กอปรกับจารีย์มักเอ่ยถึงความเหมาะสมเป็นคู่ตุนาหงัน เฝ้าเพ้อถึงอนาคตของฝนแก้วและปรวีร์ว่าจะได้คู่กันตามที่หมอดูคนดังแห่งเมืองล้านนาทัก ฝนแก้วไม่ได้ฝังใจคำทำนายอะไรนั่นเลย เธอเคารพความรู้สึกของตัวเองมากกว่า ปรวีร์อยู่ในใจเธอเสมอมา แม้ความทรงจำวัยเด็กคือรอยน้ำตาจากฝีมือกลั่นแกล้งของปรวีร์ แต่พอชายหนุ่มไปศึกษาต่อเมืองนอกความคิดถึงถวิลกลับพอกพูนมากจนน่าประหลาด ฝนแก้วหมั่นติดต่อหาเขา ทั้งวิดีโอคอล อีเมล และส่งของจากเมืองไทยไปให้ แต่เธอไม่เคยได้อะไรกลับมาจากนิวยอร์ก กระทั่งวันหนึ่งที่โตพอจะรู้ว่าความเย็นชาของปรวีร์คือความรำคาญ ฝนแก้วจึงหยุดไม่วุ่นวายอีก สามปีแล้วที่ปรวีร์กลับมาอยู่ไทย ยืนอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน เมืองเดียวกัน ทว่ารู้สึกห่างไกลราวคนละจักรวาล ก็มีแต่ความสัมพันธ์ของรสรินและจารีย์ที่มักทำให้ทั้งสองได้เจอกันบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งเขาแทบไม่ยิ้มให้เธอเลย ปรวีร์คล้ายว่าเกลียดเธอทั้งที่ฝนแก้วนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าทำอะไรให้เขาเคือง กระทั่งเมื่อสองเดือนก่อนเป็นวันเกิดของจารีย์ เธอและแม่ได้รับเชิญไปร่วมมื้อเย็นอย่างเป็นกันเอง ซึ่งมีเพียงสองครอบครัวเท่านั้น ครั้นพอสบโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง ฝนแก้วที่ชักทนปรวีร์ไม่ไหวจึงเอ่ยถามความอัดอั้น “ท่าทีที่เย็นชาของพี่มันเป็นสไตล์อย่างนี้อยู่แล้ว หรือเป็นเฉพาะตอนเห็นหน้าฝน พี่ไม่พอใจอะไรหรือเปล่าคะ พูดมาได้นะ ถ้าฝนทำให้พี่อึดอัดก็จะไม่มาให้เห็นอีก ขอแค่พูดอะไม่ใช่มาทำแบบนี้” ฝนแก้วหายใจฮึดฮัดมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาที่แหงนชมดาวเพียงดวงเดียวท่ามกลางท้องฟ้ามืดทะมืน สองหนุ่มสาวอยู่กันที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ซึ่งฝนแก้วตามเขามาหลังจากมื้อเย็นจบลง ในขณะที่ผู้ใหญ่นั่งคุยกันตามประสา “หน้าพี่ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว จะให้ทำยังไงล่ะ ถ้ามีเรื่องให้ยิ้มก็จะยิ้ม แต่นี่เห็นหน้าคนบางคนแล้วความเจริญหูเจริญตามันลดลง” เขาไม่ได้หมายถึงฝนแก้วแต่พาดพิงถึงบุพการีของเธอ นับตั้งแต่สั่งให้บิดาและยัยป้ารสรินหยุดปีนต้นงิ้ว ปรวีร์ก็ไม่ได้สนใจรับรู้อีกว่าพวกเขาทำตามที่ขอจริงหรือไม่ แต่จากวันนี้ที่เห็นหัวร่อต่อกระซิกกันมันชวนปรวีร์ตงิดใจว่าพวกเขายังแอบมีสัมพันธ์กัน ในขณะที่มารดาของเขาไม่รับรู้เลยว่าการพูดคุย หรือสายตาที่พวกเขามองกันมันมีเยื่อใยไม่ธรรมดา ฝนแก้วสะอึกกับคำตอบ เขาเหม็นหน้าเธอขนาดนี้เลยเหรอ “พี่โตกว่าฝนตั้งแปดปี เพราะฉะนั้นฝนจำไม่ได้หรอกนะแต่ถึงจำได้ก็จำไม่หมดว่าตอนเด็กๆ ทำอะไรให้พี่เจ็บช้ำน้ำใจหรือเปล่า พี่ถึงเกลียดฝนฝังใจจนถึงวันนี้” “ก็ไม่ได้เกลียด แต่แค่ไม่ชอบในสิ่งที่ครอบครัวเธอทำ” “ทำอะไรคะ” “พี่เบื่อกับการที่แม่เอาแต่กรอกหูอยู่ทุกวันว่าให้จัดงานหมั้นกับเราซะ พอเราเรียนจบก็แต่งเลย พี่ไม่ชอบให้ใครมากะเกณฑ์ ไม่ชอบให้ใครมาแสดงความเป็นเจ้าของ และพี่ไม่เคยคิดจะแต่งงาน เพราะฉะนั้นหยุดคิดและหยุดยุแม่พี่เรื่องงานหมั้นบ้าบอ” “ฝนไม่ได้ยุอะไรเลยนะ และฝนไม่เคยคิดจริงจังกับคำว่าคู่หมั้นนั้นด้วย” โกหก ใจเธอกำลังตะโกนว่าโกหก ตลอดเวลาเธอยิ้มมีความสุขกับคำว่าคู่หมั้น แต่ที่กล่าวหาว่ายุยงเรื่องงานมงคล ฝนแก้วไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นกับจารีย์เลย “แค่นี้เองใช่ไหมคะ แค่ประเด็นนี้ใช่ไหมพี่ถึงตึงใส่ฝนตลอด” “ไม่ใช่แค่นี้หรอก” ใบหน้าหล่อแต่ถมึงทึงเบือนกลับมามองเธออย่างแข็งกร้าว เธอจะไปรู้อะไร เธอไม่เคยรู้ความชั่วของแม่เธอนี่ เป็นชู้กับพ่อของเขาไม่พอ นี่คิดจะรวมครอบครัวกับเขาด้วยการให้ตบแต่งกับฝนแก้ว ปรวีร์รังเกียจผู้หญิงคนนั้นแม้แต่หน้าก็ไม่อยากเห็น สมบัติแม้เพียงชิ้นเดียวก็ไม่อยากแบ่งให้ “แล้วมันแค่ไหนคะ” “เลิกยุ่งกับครอบครัวฉันซะที แล้วเรื่องหมั้นเรื่องแต่งลบออกจากความคิดได้เลย มันไม่มีวันเกิดขึ้น!” ประโยคที่เอ่ยออกมาจากใจ สายตาที่แสดงถึงความเคืองขุ่น ใบหน้าที่ทั้งโกรธและเย็นชาของปรวีร์ในค่ำคืนนั้นยังตราตรึงในความทรงจำของฝนแก้ว คล้อยหลังจากร่างสูงเดินออกไปเขาไม่รู้หรอกว่ากายเธอสั่นสะท้านอย่างไร กลับบ้านไปก็นอนร้องไห้จนหมอนชื้นน้ำตา และความชัดเจนจากปรวีร์นั่นเองที่ทำให้ฝนแก้วตัดสินใจคบหากับกันต์ดนัยในเช้าวันรุ่งขึ้น ฝนแก้วถอนหายใจทิ้งเป็นว่าเล่น ซัดเครื่องดื่มแก้วที่สองจนหมดก่อนสั่งต่ออีกแก้ว ไหนๆ ก็แต่งตัวสวยออกจากบ้านแล้ว จะรีบกลับก็เสียดายเมคอัพ ถ้าขับรถไม่ไหวค่อยให้พ่อมารับก็ได้ “ดื่มเก่งเหมือนกันนะเรา” “พี่วีร์!” ฝนแก้วยืดหลังนั่งตรง หันไปยิ้มขอบคุณบริกรที่วางเครื่องดื่มแก้วใหม่ให้ ก่อนเบนสายตาไปตรงที่ที่กันต์ดนัยเคยนั่ง ทว่าบัดนี้กลับเป็นปรวีร์ เธออยากถามต่อว่ามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อตรงนี้ทำไม แต่เลือกเก็บความสงสัยไว้แล้วกระดกค็อกเทลแก้วใหม่จนหมดในคราวเดียว จากนั้นก็คว้ากระเป๋าพร้อมด้วยของขวัญที่กันต์ดนัยให้มา เธอลุกออกไปโดยไม่แลมองหน้าคนคุ้นเคย ฝนแก้วตรงไปชำระเงินที่เหลือ ซึ่งสองแก้วก่อนหน้านี้กันต์ดนัยจ่ายให้แล้ว ร่างระหงตรงออกจากบาร์ด้วยปลายเท้าที่ซวนเซเล็กน้อย อาศัยผนังช่วยประคองความมั่นคง เธอดื่มไม่เก่งและคออ่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ทั้งที่รู้ตัวก็ยังฝืนกลืนมันลงไปหลายแก้ว ด้วยหวังว่าความหน่วงในใจจะบางเบาลงได้บ้าง และแม้ว่าตอนนี้เดินโซเซ แต่ฝนแก้วคิดว่าสัมปชัญญะยังพอไหว บ้านเธอไม่ได้ไกลจากโรงแรมแห่งนี้มาก เดิมทีคิดจะให้บิดามารับแต่เพราะปรวีร์ทำให้เธอเปลี่ยนใจไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกแล้ว ฝนแก้วปลดล็อครถยนต์สีขาวสัญชาติเยอรมัน ครั้นพอเปิดประตูฝั่งคนขับกลับมีมือปริศนารั้งไว้พร้อมดึงร่างบางมาอีกฝั่ง ฝนแก้วถูกจับยัดตรงข้างคนขับพร้อมประตูที่ปิดลงอย่างแรงจนเธอร้องตกใจ ปรวีร์เข้ามานั่งหลังพวงมาลัยสตาร์ตรถแล้วขับออกไปทันที “อะไรกัน มายุ่งทำไม ออกไปจากรถฝนเดี๋ยวนี้” “คาดเบลท์ด้วย” เสียงห้วนสั่งการโดยไม่หันมอง เดินเซไปเซมา ตาหยาดเยิ้มจะปิดไม่ปิดแหล่อยู่แล้วยังจะห้าวขับรถเองอีก “จอดรถ! จอดเดี๋ยวนี้ อย่ามายุ่งได้ไหม” ยามนี้เธอไม่สนความปลอดภัย อารมณ์อยากหยุมหัวมีมากกว่า มือบางฟาดตีเขาไม่ยั้งจนปรวีร์ต้องยกแขนซ้ายปัดป้อง “หยุดโวยวายนะฝนแก้ว อยากตายหรือไง ไม่เห็นเหรอว่าขับรถอยู่ ถ้าเจ็บตัวขึ้นมาแล้วไอ้แฟนเก่าเธอมาเอาเรื่องล่ะก็ ฉันจะต่อยมันให้หน้าแหกเลย” ฝนแก้วหยุดมือไม้ที่อาละวาด มองเขาอย่างประมวลผลไม่ถูก “รู้เรื่องนี้ได้ไง ฝนไม่เคยบอกพี่” “เพิ่งรู้เมื่อกี้” มันคือความบังเอิญที่ปรวีร์เจอฝนแก้วที่บาร์ประจำของเขา ซ้ำเธอยังนั่งหลังชนกับเขา ปรวีร์เห็นตั้งแต่ตอนที่ฝนแก้วยืนอยู่หน้าบาร์ แต่เธอเซ่อซ่ามองไม่เห็นเขาเอง และแน่นอนว่าระยะที่นั่งชิดติดกันขนาดนั้นปรวีร์ได้ยินชัดเจนทุกอย่าง อาจแค่ต้องเอียงตัวเงี่ยหูฟังสักหน่อยเท่านั้น “เธอกล้ามีแฟนได้ไง ทั้งที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว” “คู่หมั้น? ใครเหรอคะ” ฝนแก้วแค่นเสียงหยันขึ้นจมูก ลืมไปแล้วใช่ไหมว่าเคยพูดอะไรไว้กับเธอ “ทำเย็นชาเหมือนฝนไม่มีตัวตน คำว่าคู่หมั้นมันก็แค่ลมปากของผู้ใหญ่ และอีกอย่างพี่ก็พูดเองทั้งนั้นว่าอะไรระหว่างเราจะไม่มีทางเกิดขึ้น” ปรวีร์เงียบไม่สานต่ออารมณ์คุกรุ่นในตอนนี้ ปล่อยให้หญิงสาวหายใจฟึดฟัดมองหน้าเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้ ปลายเท้ากดน้ำหนักบนคันเร่งด้วยอัตราความเร็วที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด ปาดคันนี้แซงคนนู้นจนเธอต้องดึงเข็มขัดมาคาดในที่สุด “จะอ้วก ขับให้ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ ถ้าทำไม่ได้ก็ลงไปเลย เอ๊ะ! ไปไหนอะ บ้านฝนอยู่ทางนู้นนะ มันเลยมาแล้ว” “แล้วใครบอกว่าจะพาไปส่งบ้าน” ยิ้มร้ายของนายปรวีร์กระตุกหัวใจคนมองจนแทบสร่างเมา “อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้ค่อยกลับบ้าน” “หมายความว่าไง…พี่วีร์ตอบสิ!” คำตอบของเขาคือเสียงเครื่องยนต์ที่กระหึ่มต่อเนื่องพร้อมอัตราความเร็วที่ไม่ผ่อนลง เสี้ยวหน้าของปรวีร์ที่สะท้อนแสงไฟริมทางเป็นลักษณะของคนไม่หวังดี แม้รู้จักกันตั้งแต่สมองจำความได้ ทว่าผู้ชายตรงหน้าในยามนี้ราวกับคนแปลกหน้าที่ฝนแก้วไม่เคยเห็นมาก่อน เขากำลังคิดทำบ้าอะไร
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม