“ผมจะทำลายคนที่คุณรัก ไม่ใช่พ่อผมหรอกนะ แต่เป็นลูกสาวคุณต่างหาก”
“ป้าขอร้องล่ะอย่ายุ่งกับฝนแก้ว น้องไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่รู้อะไรด้วย”
“ก็ดีสิครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะรู้สึกยังไงหากลูกสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมารับกรรมแทนแม่ นี่แหละครับการหักห้ามใจไม่ได้มันมีราคาที่ต้องจ่าย” ความกร้าวกระด้างในแววตา น้ำเสียงสะกดต่ำเรียบเย็นจนคนฟังขนลุกซู่ ปรวีร์ขู่เสร็จก็ทำท่าจะผละออกไป แต่รสรินรั้งแขนเสื้อสูทไว้
“อย่าดึงฝนแก้วมาเกี่ยว อย่างน้อยน้องก็เป็นคู่หมั้นเรานะ”
ปรวีร์ไม่ทิ้งคำพูดใดๆ มีเพียงสายตาว่างเปล่าและรอยยิ้มแสยะ แขนแกร่งสะบัดออกจากมือที่เว้าวอนก่อนเปิดประตูออกไป รสรินหมดเรี่ยวแรงพิงแผ่นหลังกับผนังสีขาวนวล ฝ่ามือยกปิดใบหน้าขณะปล่อยเสียงสะอื้นอย่างไม่อาจกลั้น
ทุกอย่างที่พังโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
เธอเป็นผู้หญิงหน้าไม่อาย เป็นคนชั่วช้าไร้ความสัตย์ รสรินหาคำตอบไม่ได้ว่าความรักที่มีต่อสามีมาเนิ่นนานจืดจางลงเมื่อไร หัวใจเธอสะดุดรักปพนตั้งแต่ตอนไหน ไยรักที่มีต่อผัวเพื่อนถึงได้รุนแรงจนพังกำแพงชั่วดีในพริบตา
ตลอดชีวิตเธอมีอวัชเป็นรักแรก เป็นสามีเพียงคนเดียว มองย้อนกลับไปในตอนนั้นชีวิตเธอก็เลี้ยวหลุดโค้งเพราะความรัก ไม่ต่างอะไรจากตอนนี้ สามสิบเอ็ดปีก่อนรสรินหนีตามชายคนรัก แตกหักกับพี่ชายซึ่งเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
เธอตกหลุมรักกับคู่อริของพี่ชายและสุดท้ายเมื่อไม่อาจหาทางลงรอยได้จึงพากันหนีมาตั้งตัวที่เมืองกรุง ผู้ชายที่รสรินเลือกไม่ทำให้เธอผิดหวัง เขาขยันเอาการเอางานและทำให้เธอกับลูกมีชีวิตสุขสบาย ได้เข้าสังคมไฮโซ สามีของเธอฉลาดมากความสามารถจนมีรายนามอยู่ในบอร์ดผู้บริหารของบริษัทอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
ชีวิตในตอนนั้นของครอบครัวรสรินอบอุ่นและเพียบพร้อม เธอเองก็พยายามทำชีวิตให้คู่ควรกับสังคมของสามี ทั้งสมัครเรียนต่อปริญญาตรี ตลอดจนฝึกหัดหลักสูตรมารยาททางสังคม ทุกอย่างเป็นไปอย่างสวยงามกระทั่งความหนักแน่นที่มีต่อสามีเริ่มเบาบาง และก้าวขาลงเรือบาปกับปพน
นานนับสิบปีที่เธอมีสัมพันธ์ลับกับสามีเพื่อน ไม่มีใครระแคะระคายเพราะต่างระวังตัวอย่างดี เว้นก็แต่ปรวีร์ที่เคยขอร้องแกมบังคับให้ทั้งคู่เลิกยุ่งเกี่ยวกัน รสรินและปพนพยายามหยุดยั้งเรือบาปอย่างสุดความสามารถ ทว่าเพียงปีเดียวผ่านไปก็กลับมาปีนต้นงิ้วกันอีกครั้ง
รสรินทำตามใจไร้สำนึกชั่วดีเพราะความรักผสานรวมกับความใคร่ก่อเกิดเป็นพลังเหนียวแน่น เธอไม่ได้เกลียดชังหรืออยากแย่งอะไรจากจารีย์ แม้ร่วมแบ่งปันความสุขจากสามีเพื่อนแต่รสรินยังรักและหวังดีต่อจารีย์ ผิดก็เพียงเรื่องเดียวคือแอบกินกับสามีเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาใช่รสรินตาบอดจนไม่รู้ว่าสิ่งที่ปพนมีก็แค่ความใคร่ เขาชอบเซ็กซ์ ส่วนเธอชอบสัมผัสลึกซึ้งทางกายเพราะให้ความรู้สึกราวกับได้รับรักตอบ
รสรินสัมผัสได้ว่าความรักผิดที่ผิดทางครั้งนี้กำลังจะเปลี่ยนชะตาชีวิตเธออีกหน
รสรินปล่อยความคิดล่องลอยไปกับอดีตนับตั้งแต่ช่วงวัยสาวที่หนีตามผู้ชายมาเมืองกรุง ทั้งที่เกิดมาในครอบครัวฐานะดี แต่ดันไม่รักดีคิดว่าความรักคือทั้งหมดของชีวิต เธอรักอวัชผู้ชายคนแรกที่ตกหลุมรักและพากันหนีมาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อตอนอายุยี่สิบปี
อยู่กินด้วยกัน สู้ชีวิตพากันผลักดันจนสามารถมีหน้ามีตาในสังคมไฮโซ แม้ไม่ร่ำรวยเท่าจารีย์แต่ก็อยู่ดีกินดีไม่ลำบาก ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณศักยภาพของอวัชผู้เป็นสามี เขาเก่ง ขยัน และเป็นคนดี พิสูจน์ให้รสรินเห็นมาทั้งชีวิตว่าเลี้ยงเธอกับลูกได้อย่างดี ทว่าคนดีพร้อมอย่างเขากลับถูกทรยศหัวใจจนได้
ร่างสมส่วนและใบหน้าที่ยังคงความสวยแม้วัยล่วงเลยสู่เลขห้าเปิดประตูลงจากแท็กซี่ หากคนขับรถไม่สะกิดเรียก คนเหม่อลอยน้ำตาคลอเบ้าคงนั่งแช่อยู่อีกนาน รสรินคลี่ยิ้มฝืนพลางลนลานเช็ดน้ำตาเมื่อเห็นบุตรสาวเดินลงมาจากบันได แต่ก็ใช่จะพ้นสายตาฉับไวของฝนแก้ว
“คุณแม่ร้องไห้เหรอคะ มีอะไรหรือเปล่า” เสียงใสถามอย่างห่วงใย ร้อยวันพันปีเธอเคยเห็นน้ำตาแม่เสียที่ไหน
“เปล่าลูก ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีแล้วจะร้องไห้ได้ยังไงคะ หนูเป็นห่วงนะเนี่ย” ใบหน้าสวยทำงอนก่อนสวมกอดตามอารมณ์คนขี้อ้อน รสรินยิ้มได้พลางลูบเรือนผมอย่างแสนรัก
“คือแม่คิดถึงความหลังน่ะลูก อยู่ๆ ก็คิดถึงพี่ชาย”
“หือ? พี่ชายเหรอคะ” ฝนแก้วผละจากมารดามองสบดวงตาแดงช้ำอย่างครามครัน “หมายถึงคนที่ตายไปแล้วเหรอคะ”
“เปล่าจ้ะ พี่ชายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่”
“ไหนคุณแม่บอกว่าเราไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนแล้วไงคะ”
สีหน้ารสรินดูอึดอัด ทั้งเบือนหลบไม่สบตา ความละอายเกาะกุมกินใจอีกหน ที่บอกว่าคิดถึงพี่ชายก็ไม่ได้โกหกเสียทีเดียวในเมื่อบุคคลนี้เหมารวมอยู่ในความคิดของรสรินตั้งแต่ตอนออกจากโรงพยาบาล รสรินยิ้มอย่างคนมีบาปก่อนกระแอมเสียงอธิบาย
“แม่โกหกน่ะ ขอโทษนะลูก มีหลายเรื่องเลยที่แม่เก็บไว้คนเดียวมาตลอด ตอนนี้ก็แก่ขึ้นทุกวัน ทิฐิมานะความหลังเก่าๆ ก็ไม่อยากถือไว้อีกแล้ว แม่อยากเจอพี่อีกครั้ง ตอนนั้นเราจากกันไม่ดีเลย แม่ไม่รู้ว่าพี่จะให้อภัยไหม หรือยังโกรธยังเกลียดกันอยู่ เราเป็นฝาแฝดกันแต่ดันทะเลาะกันจนแตกหัก ตั้งสามสิบปีแล้วที่ไม่ได้ติดต่อกันเลย แต่แม่ไม่เคยลืม ไม่เคยไม่คิดถึงเขาเลย”
ฝนแก้วไม่เข้าใจอะไรนัก ความรู้สึกหลากหลายยังระคนกันในความคิด ต้องตกใจข้อไหนก่อนระหว่างเรื่องที่เธอยังมีญาติพี่น้อง หรือการที่แม่มีฝาแฝด กระนั้นก็เลือกพูดในสิ่งที่คิดว่าแม่อาจสบายใจ
“หนูก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะ ไม่รู้ที่มาที่ไปอะไร แต่ถ้าแม่คิดถึงก็กลับไปหาสิคะ ทนทรมานมาได้ยังไงตั้งสามสิบปี หนูไม่รู้ว่าแม่กับลุงทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน แต่ในเมื่อแม่เองก็อยากขอโทษ เพราะฉะนั้นหนูมองว่าควรหยุดเสียเวลาได้แล้ว กลับไปคุยกับพี่ชายของคุณแม่เถอะนะคะ”
รสรินพยักหน้าเล็กน้อย ฝนแก้วพูดถูกทุกอย่าง กำแพงทิฐิระหว่างพี่น้องถึงเวลาต้องหาทางปีนขึ้นไป “เอาเป็นว่าไว้เราหาวันหยุดไปด้วยกันนะลูก”
“ได้สิคะ” ใบหน้าสวยยิ้มรับอย่างยินดี
“ว่าแต่แต่งตัวสวยแบบนี้จะออกไปไหนเหรอ ปกติเวลานี้หนูไม่เคยออกนอกบ้านเลยนะ” รสรินไล่สายตามองบุตรสาวที่ถอดคราบนักศึกษาแต่งเติมความสวยจนดูโตเหมือนคนวัยทำงาน ฝนแก้วอยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำแนบลำตัวอวดเอวคอดกิ่ว ดวงหน้าหวานเพิ่มความมีมิติตรงเปลือกตาและลิปสติกสีกุหลาบ
“พอดีหนูมีนัดน่ะค่ะ ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ไม่ให้ห่วงก็คงยาก เอาเป็นว่าอย่าเถลไถลนะ มีอะไรไม่ชอบมาพากลให้รีบโทร.หาแม่ทันที”
“ตกลงค่ะ”
ฝนแก้วมีอะไรก็มักคุยกับมารดาตรงๆ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับความไว้วางใจ แม้ความห่วงใยมีบ้างตามประสาคนเป็นแม่แต่ฝนแก้วไม่เคยถูกบังคับหรือจำกัดอิสระในชีวิต เธอเติบโตมาอย่างมีคุณภาพรายล้อมด้วยความรักและคำสั่งสอนที่คู่ควร ฝนแก้วกำลังจะเดินออกไปแต่เสียงมารดาเรียกให้หันกลับมา
“เอ่อ ฝน...”
“คะ?” เรียวคิ้วที่ตกแต่งอย่างธรรมชาติเลิกสูงเป็นการทวงคำถามเมื่อเห็นมารดาอ้ำอึ้งอย่างผิดปกติ
“คือแม่อยากรู้ว่าหนูมีนัดกับใครเหรอ ใช่พี่วีร์หรือเปล่า”
ฝนแก้วยิ้มมุมปากในเชิงหยัน พร้อมดวงตาที่เปลี่ยนไปฉับพลันก่อนตามมาด้วยคำตอบ “ทำไมคุณแม่ถึงคิดว่าเป็นเขาล่ะคะ ร้อยวันพันปีเขาอยากเจอหนูซะที่ไหน แค่หน้ายังไม่มองกันเลย ไม่ใช่พี่วีร์หรอกค่ะ ฝนมีนัดกับพี่กันต์ เห็นบอกว่าขอเจอแค่ครึ่งชั่วโมง”
“อ๋อ งั้นก็ตามสบายจ้ะ” รสรินพยักหน้าอย่างเบาใจ ทอดสายตาอ่อนล้าตามร่างบุตรสาวกระทั่งขึ้นรถยนต์ส่วนตัวแล้วขับหายจนพ้นเขตบ้านไปแล้ว
คำขู่และสายตาของปรวีร์วนกลับมาให้รสรินเป็นกังวล ได้แต่หวังว่าเขาคงพูดไปตามอารมณ์ชั่ววูบ อย่างน้อยปรวีร์ก็โตพอจะแยกแยะได้ อย่างน้อยรสรินก็ภาวนาให้เขาเห็นแก่ฝนแก้วที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก