1
เช้าวันต่อมา
“ซี้ด!!!!”
ร่างบางตื่นมาพร้อมความเจ็บปวดที่กลางกาย เธอลืมตาช้าๆก่อนเห็นบรรยากาศที่แปลกตา เธอรีบยันกายลุกพร้อมดึงผ้าห่มขึ้นกระชับเหนืออก
“นี่มันอะไรกัน ”
เธอบ่นพึมพำพร้อมเอามือทึงศรีษะเบาๆ พยายามนึกเหตุการณ์ที่คับคล้ายคับคลา แต่ด้วยความหนักอึ้งในหัวทำให้เธอนึกแทบไม่ออก
“ช่างมันเถอะ ”
เธอพูดขึ้นอย่างปลงๆ ก่อนผุดใบหน้าน้ารวิขึ้นในหัว
“ทำแบบนี้กับฉันได้ไง ยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า”
เธอรู้ว่ารวิไม่ใช่คนดี แต่ไม่คิดว่าจะเลวทรามต่ำช้าได้ขนาดนี้
“อาส์!!เสื้อผ้าฉันไปไหน ”
เธอมองดูใต้ผ้าห่มเห็นแต่ความเปลือยเปล่า
รอบห้องไร้ซึ่งชุดเดรสของเธอ แต่พอมองไปยัง
โต๊ะข้างเตียงกลับเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ พร้อมเงินจำนวนหนึ่งวางอยู่ ความรู้สึกมันไม่ต่างจากขายร่างกายเลยซักนิด แต่ดีหน่อยที่เขาไม่แก่ เธอจำได้คับคล้ายคับคาว่าเขาหล่อ แต่ช่างเถอะ เธอไม่เสียเวลานาน รีบออกไปจากที่นี่จะดีที่สุด
หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าขนาดพอดีตัว ที่เหมือนวัดไซด์เธอมา เธอก็ไม่ลืมหยิบเงินที่วางบนโต๊ะติดมือมาด้วย แม้มันไม่คุ้มค่ากับความบริสุทธิ์ของเธอ แต่พ่อของเธอต้องใช้เงินไปหาหมอ
บ้านนับดาวเวลาต่อมา
“แกหายหัวไปไหนมา รู้ไหมว่าเสี่ยปรีชาแทบแหกอกฉัน ”
เพียงแค่ก้าวพ้นประตูบ้านมา รวิเมียใหม่พ่อก็แหวขึ้นทันที นับดาวหันขวับไปมองรวิตาเขมง
“นับไหมที่ควรเป็นคนถาม น้าวิตั้งใจจะทำอะไร
รู้ไหมว่าไอ้เสี่ยแก่นั่นเอายาอะไรให้นับกิน นับจะไปแจ้งความจับมัน”
รวิหน้าถอดสีทันที เธอรู้ดีว่ายาอะไร เธอเตรียมกับเสี่ยไว้หมดแล้ว
“เอ่อ!!นับดาวแกใจเย็นๆนะ น้าไม่รู้ว่าเสี่ยปรีชาจะกล้าทำถึงขนาดนั้น เดี๋ยวน้าจะโทรไปจัดการให้ แต่อย่าแจ้งความเลยนะ ยังไงก็สู้อิทธิพลเสี่ยไม่ได้หรอก ครอบครัวเราจะเดือดร้อนเปล่าๆนะ ”
นับดาวถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ก่อนวางเงินให้รวิบางส่วน
“นี่เงินพาพ่อไปหาหมอ แล้วก็ค่าเทอมนับตังค์ ”
“แล้วเมื่อคืนแกหายไปไหนมา แล้ว…”
“ไปนอนห้องออมสินมา เงินนี่ก็ยืมออมสิน นับไปนอนนะ ถ้าไม่มีอะไรก็ห้ามกวน ”
ไม่รอให้รวิได้ถามอะไรต่อ นับดาวรีบเดินหนีขึ้นห้องไป
อีกด้านเพ้นท์เฮาท์ฮันเตอร์ชั้น40
“นายครับ เธอออกจากผับไปแล้วครับ ”
ลูกน้องเดินเข้ามารายงาน
“เธอเอาเงินไปรึเปล่า”
เขาถามอย่างไม่ได้คาดหวัง ว่าเธอจะไม่แตะต้องและวางมันไว้ที่เดิมหรอก
“เอาไปด้วยครับนาย ”
ปากหยักกระตุกยิ้ม แต่ไม่ได้แปลกใจอะไร แบบนี้เขาเจอมานับครั้งไม่ถ้วน เข้าหาเขาเพราะเงินขึ้นเตียงจ่ายจบ
“บอกคนไปทำความสะอาดห้องด้วย ”
“ครับนาย”
ฮันเตอร์
มาเฟียหนุ่มหล่อแห่งตระกูลคาร์เนอร์ ลูกชายคนโตของโจฮันกับพิชชา ผู้บริหารสูงสุดโซนผับ เขาและเจคอปลูกพี่ลูกน้องอีกคน เนรมิตรอาณาจักรแห่งนี้ขึ้นมาด้วยกัน สถานที่อโคจรที่เต็มไปด้วยอบายมุข แต่สามารถกอบโกยเม็ดเงินเข้าสู่ตระกูลมากมายมหาศาล นอกจากนั้นยังมีอีกหลายต่อหลายบริษัทในเครือ ที่น้องๆของเขาและน้องเจคอปแบ่งกันดูแล ล่าสุดกำลังสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ใจกลางกรุง ให้หมอมาเฟียอย่างฮ่องเต้ดูแล มันคืออำนาจของตระกูลที่ไม่มีใครโค่นล้ม พี่น้องที่รักและสามัคคีกันเหนียวแน่น และเขาที่บริหารงานอย่างแข็งแกร่ง ไม่เคยมีคำว่าผิดพลาด
ฮันเตอร์มีน้องถึง3คนด้วยกัน
1 เฮเดน ผู้บริหารบริษัทรถหรูนำเข้า
2ฮ่องเต้ คุณหมอว่าที่ผู้บริหารโรงพยาล
3เฮเลน นักศึกษาปี1คณะบริหาร
-อีกด้านนับดาว-
ครืด!!ครืด!!!
หลังกลับมาจากผับ เธอยังนอนไม่เต็มอิ่มดี
มือถือจากออมสินเพื่อนรักก็ดังขึ้น
“อื้ม ว่าไงออม ”
{นับดาว แกเป็นอะไรรึเปล่า เมื่อคืนก็ไม่มาทำงาน วันนี้ก็ไม่มาเรียน }
“ฉันไม่ค่อยสบายหนะ แกแล็กเชอร์งานไว้ให้หน่อยนะ ”
{ไม่มีปัญหา ว่าแต่กินข้าวกินยารึยัง นึกว่าน้ารวิทำอะไรแกหนะ ฉันเป็นห่วงแกนะ }
“ขอบใจแกนะ แต่ฉันไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปเรียนได้แล้ว ”
{เอ้อ คือฉันมีเรื่องจะถามแกหน่อยอะ }
“ว่ามาสิ ”
{คือแกกับพี่วาโยเลิกกันแล้วเหรอ }
นับดาวเงียบไป
“พ่อกับแม่พี่วาโยจะเข้ามาเจรจาถอนหมั้นหนะ
แต่น่ารวิไม่ยอม บอกว่าฉันเป็นฝ่ายเสียหาย
คงจะเรียกค่าเสียหายนั่นแหละ ทางนั้นก็เงียบไป ยังไม่เห็นติดต่อมาอีกนะ”
{แกโอเคใช่ไหมอะ }
ออมสินถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ต้องโอเคอยู่แล้วสิ บ้านฉันเหมือนบุคคลล้มละลายก็ว่าได้ ต่างจากบ้านพี่วาโยที่มีแต่รวยเอาๆ ฉันไม่เป็นตัวถ่วงในชีวิตเขาหรอก ”
นับดาวพูดขึ้นอย่างใจเจ็บ ไม่ใช่ทำใจยอมรับอะไรได้หรอก สองตระกูลรู้จักกันมานาน จึงอยากให้ลูกสาวและลูกชายเกี่ยวดองกัน เธอกับพี่วาโยก็สนิทสนมกันพอสมควร พี่วาโยคือผู้ชายที่แสนดีคนนึงเลยหละ แต่พอครอบครัวของเธอล้มละลาย ฝั่งทางนั้นก็เปลี่ยนไป จนตอนนี้ไม่ได้นับญาติกันแล้ว ส่วนเรื่องถอนหมั้นจะมาหรือไม่มาเธอก็ไม่เดือดร้อนอะไรหรอก มันไม่ได้สำคัญกับชีวิตเธออยู่แล้ว
ก๊อกๆๆ
“เอ่อ ออม แค่นี้ก่อนนะ ”
พอได้ยินเสียงเคาะประตู นับดาวก็เร่งวางสายจากเพื่อน แล้วรีบลุกไปเปิด
แอ้ดด
“น้าวิมีอะไรคะ ”
พอเปิดประตูออกมา ก็เห็นรวิยืนอยู่หน้าประตู ดูจากชุดแล้วก็กำลังจะออกไปข้างนอกนั่นแหละ
“ก็จะไปจ่ายค่าเทอมนับตังค์นะสิ ทางโรงเรียนโทรเร่งยิกๆละ วันนี้วันสุดท้าย ไปดูพ่อแกด้วยละกัน ฉันทำข้าวต้มไว้ให้แล้ว ”
“ค่ะ น้าวิไปเถอะ ”
แต่รวิยังไม่เดินออกไป ยังอึกอักเหมือนอยากพูดอะไรอีก
“น้าวิมีอะไรอีกรึเปล่า ”
“แกมีอีกซัก2พันไหม พอดีฉันต้องซื้อของใช้เข้าบ้านด้วย ”
เป็นแบบนี้ประจำจนเธอชินแล้ว เงินให้ไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ
“นี่ค่ะ2พัน ”
รวิรีบรับเอาทันที
“เออ เดี๋ยววันศุกร์นี้บ้านนู้นจะมาคุยเรื่องถอนหมั้นนะ แกไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง
เรียกค่าเสียหายให้เข็ด ส่วนแหวนหมั้นก็ไม่ต้องคืน ถ้าแกไม่อยากเก็บไว้ก็เอาไปขาย แล้วเอาเงินมาใช้จ่ายในบ้านเข้าใจรึเปล่า”
“ค่ะ ”
เธอรับปากไปแบบนั้น ความจริงเธอตั้งใจจะคืนแหวนให้วาโยอยู่แล้ว แต่ต้องรับปากไปก่อน
เพราะตัดรำคาญรวิที่จะพูดไม่จบไม่สินซักที รวิเดินลงบันไดไป นับดาวก็เข้ามาดูแลพ่อ
“พ่อคะ กินข้าวรึยัง”
“กินข้าต้มที่วิเขาทำให้แล้วละ ทำไมไม่ไปเรียนละ ไม่สบายรึเปล่า ”
พ่อของเธอถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวหนูจัดยาให้พ่อนะคะ ”
เธอจัดยาไปเงียบๆ จนพ่อเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“น้าวิบอกว่าทางนั้นจะมาถอนหมั้น หนูโอเคใช่ไหมลูก”
มือเล็กที่กำลังจัดยาชะงักเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบาง
“สบายมากค่ะพ่อ ”
แล้วก้มลงจัดยาต่อ ถึงภายในมันจะจุกจนพูดไม่ออกก็เถอะ
“พ่อขอโทษนะ ทุกอย่างมันเป็นเพราะพ่อเอง
พ่อทำครอบครัวเราพัง ”
อำนาจพูดเสียงสั่น รู้ว่ารวิเป็นยังไงก็ตอนที่สาย
“ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้นะคะ พ่อเลิกโทษตัวเองได้แล้ว ”
หลังจากจัดยาให้พ่อเสร็จ เธอก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปร้านยา เลือกที่อยู่ไกลจากบ้านหน่อย
“ยาคุมฉุกเฉินแผงนึง ”
เธอไม่รู้ว่าเขาป้องกันรึเปล่า ตอนนั้นพร่าเลือนแทบจำอะไรไม่ได้ กันดีกว่าแก้นั่นแหละ
“นับดาว มานี่ก่อน ”
ในระหว่างทางกลับบ้าน ป้าแก้วเพื่อนบ้านก็เรียกเอาไว้
“อะไรคะป้า”
นับดาวเดินเข้าไปชิดรั้ว พร้อมป้าแก้วที่มองซ้ายทีขวาที เหมือนกลัวว่าใครจะเห็น
“ก็เมื่อวานนะสิ ป้าเห็นผู้ชายมาส่งรวิ อายุน่าจะอ่อนกว่าหลายปี หยอกกันกระหนุงกระหนิง แต่ไม่นานก็กลับไป ป้าเป็นห่วงหนะเลยเล่าให้ฟัง
อยากให้ระวังตัวไว้บ้าง ”
“ขอบคุณนะคะป้า หนูจะระวังตัวค่ะ
คุยกับป้าเสร็จนับดาวก็กลับเข้าบ้านไป