สามวันต่อมา
“พวกคุณทำแบบนี้ได้ยังไง ไม่ให้เกียรติพวกเราเลยสักนิด!”
เย็นวันศุกร์ เสียงโวยวายของน้ารวิดังลั่นตั้งแต่หน้าบ้าน นับดาวเพิ่งลงจากรถเมล์ที่ปากซอย พอเร่งฝีเท้าเข้ามาก็ได้ยินดังขึ้นเรื่อยๆ จนถึงประตูรั้ว
“ผมมาตามคำสั่งครับคุณรวิ ฝั่งคุณยศวินให้ได้ไม่เกินห้าแสน ถือเป็นค่าเสียเวลาและค่าเสียหาย”
ชายในชุดสูทสีเข้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่เด็ดขาด
“ห้าแสนเหรอ ห้าแสนมันจะไปพออะไร! ทางเราน่ะเสียหายหนักขนาดนี้ คุณคิดว่ามันยุติธรรมแล้วเหรอ”
รวิตะคอกเสียงแข็ง มือเท้าสะเอว สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
นับดาวก้าวเข้ามาในบ้าน สายตาปะทะเข้ากับภาพการเผชิญหน้าของน้าวิกับชายแปลกหน้าในชุดสูทดูดี เธอรีบถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“เกิดอะไรขึ้นคะน้าวิ”
“จะอะไรล่ะ ก็ฝั่งคู่หมั้นเฮงซวยแกนั่นแหละ ส่งทนายมาเจรจา จะจ่ายค่าเสียหายให้เราแค่ห้าแสน แบบนี้มันหยามกันชัดๆ!”
รวิตอบอย่างหัวเสีย ดวงตาลุกวาบด้วยความโกรธ
นับดาวเม้มปากแน่น ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงสั่นน้อยๆ
“น้าวิคะ จะเท่าไหร่ก็ช่างเขาเถอะค่ะ ถอนหมั้นไปให้มันจบๆ จะได้ไม่มีอะไรค้างคากันอีก”
คำพูดของเธอกลับกลายเป็นน้ำมันราดกองไฟ
“ทำไมแกโง่แบบนี้นับดาว! โอกาสอยู่ตรงหน้าแท้ๆไม่รู้จักคว้า โง่กันทั้งบ้านจริงๆ!”
รวิหันมาวาดเสียงใส่เธออย่างเหลืออด
นับดาวหน้าชาวาบกำมือแน่น
“แล้วจะทำให้มันยุ่งยากไปถึงไหนคะ”
“นังนับดาว! เดี๋ยวนี้แกกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเหรอ!”
รวิชี้หน้าเธอ ก่อนหันกลับไปตะคอกใส่ทนาย
“เอาห้าแสนมาสิ! แล้วกลับไปได้แล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้าอีก!”
หลังจากได้เงิน รวิก็สะบัดก้นเดินขึ้นไปบนห้อง ทิ้งบรรยากาศอึดอัดเอาไว้เต็มบ้าน
นับดาวถอนหายใจยาว หันกลับไปยกมือไหว้ชายในชุดสูทด้วยความนอบน้อม
“หนูต้องขอโทษแทนน้าวิด้วยนะคะ น้าวิเป็นคนอารมณ์ร้อน”
ชายคนนั้นเพียงยกยิ้มบางๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เชิญคุณนับดาวเซ็นรับเงินตรงนี้ ”
นับดาวรีบเซ็นอย่างไม่รีรอ เพราะรวิคว้าเงินไปแล้ว
“เสร็จแล้วค่ะ”
“เรียบร้อยนะครับ สองคนต่อจากนี้ไม่มีอะไรต่อกันอีก ทางเราได้ชดใช้ค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว
งั้นผมขอตัว”
นับดาวพยักหน้าเบาๆอย่างยอมรับ
เมื่อทนายออกจากบ้านไปแล้ว เธอเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เห็นรวิกำลังแต่งตัว ฉีดน้ำหอมฟุ้งไปทั่ว เธอก็ถามขึ้นเสียงเบา
“น้าวิจะออกไปไหนคะ”
“ฉันก็มีเพื่อนมีฝูงเหมือนกัน จะให้นั่งเลี้ยงคนพิการอยู่บ้านยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยหรือไง กลางคืนก็หัดช่วยฉันดูบ้างสิ!”
รวิเอ่ยอย่างหงุดหงิดพลางสวมเสื้อสูทหรู “นับตังค์ทำการบ้านอยู่ในห้อง แกไปทำกับข้าวให้มันกินด้วย”
“แต่นับต้องไปทำงานนะคะ น้าวิจะกลับกี่โมง”
เธอถามอย่างเป็นห่วง แต่กลับถูกมองด้วยสายตาเอือมระอา
“แกเข้างานสองทุ่มไม่ใช่เหรอ!!ยังมีเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง หาข้าวให้มันกินเสร็จก็ให้มันนอนกับพ่อ แล้วแกจะไปทำงานก็ค่อยไป”
นับดาวกัดริมฝีปาก ก่อนจะถามอย่างอดไม่ได้
“เงินห้าแสนนั่น น้าวิจะเก็บไว้คนเดียวหมดเลยเหรอคะ”
พอได้ยินคำถาม ดวงตารวิแข็งกร้าวขึ้นทันที เขาก้าวเข้ามาประชิดตัวของนับดาว
“ฉันดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้าน เก็บไว้ที่ฉันก็ถูกแล้ว อีกอย่าง แกไม่อยากได้เงินพวกนี้ไม่ใช่เหรอ ก็ไม่ต้องเอา!”
พูดจบก็เดินกระแทกเท้าลงบันไดไป ทิ้งกลิ่นน้ำหอมแรงๆไว้ให้ขมคอ
“เฮ้อ”
นับดาวถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องน้องชาย
เด็กชายตัวเล็กก้มหน้าระบายสีอยู่บนโต๊ะไม้อย่างตั้งใจ เธอฝืนยิ้มอ่อนเข้าไปถาม
“นับตังค์ หิวข้าวรึยัง”
น้องชายเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าไร้เดียงสาส่งยิ้มกว้าง
“หิวแล้วครับ! พี่นับดูสิว่าผมระบายสวยรึเปล่า”
นับดาวมองแล้วหัวใจก็อ่อนยวบลงทันที
“สวยสิ น้องชายพี่เก่งมากเลย งั้นรอพี่แป๊บนะ เดี๋ยวพี่ทำไข่เจียวให้กิน”
“ครับ!”
เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ ด้วยดวงตาสดใส
นับดาวเดินลงไปยังครัว มองวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างจำกัด เธอทำอาหารง่ายๆจนชิน
“กินข่าวอาบน้ำเสร็จ นับตังค์เข้าไปนอนกับพ่อนะ มีอะไรให้รีบโทรไปหาพี่ ”
ก่อนออกไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ เธอก็เข้ามาบอกน้องชายอีกครั้ง
“แล้วแม่ละครับพี่นับ ทำไมแม่ยังไม่กลับมา ”
น้องชายถามอย่างไร้เดียงสา
“ น้าวิออกไปหาเพื่อน เดี๋ยวดึกๆก็คงกลับ
นับตังค์ไปนอนรอในห้องพ่อนะ แล้วพี่ฝากดูแลพ่อด้วย ”
นับดาวพูดพลางลูบหัวน้องชายเบาๆ
“ ได้ครับ”
นับดาวไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้ออย่างสบายใจ
ไม่ใช่เรื่องดีที่ปล่อยพ่อพิการกับน้องชายที่ยังเล็กให้อยู่บ้านกันตามลำพัง ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาไม่รู้จะทำยังไง จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน พอเลิกงานก็รีบกลับบ้าน แอบแวะเข้ามาดูในห้องเห็นพ่อกับน้องชายนอนอยู่สองคน แน่นอนว่ารวิไม่ได้กลับมา
เช้าวันต่อมา
“ ตั้งไจเรียนนะครับคนเก่ง”
“ ครับพี่นับ”
จนกระทั่งตอนเช้า ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่ารวิจะกลับบ้าน หน้าที่ทำกับข้าวและแต่งตัวให้น้องชายไปเรียนจึงตกมาอยู่ที่เธอ ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงขึ้นรถไปมหาลัย
“ นับดาว ทำไมมาสายนักล่ะ”
พอมาถึงออมสินก็บ่นอุบอิบ พรางลุกขึ้นเก็บข้าวของ
เตรียมขึ้นเรียน เพราะตอนนี้เกือบสายแล้ว
“ โทษทีฉันทำกับข้าวไว้ให้พ่อ แล้วก็แต่งตัวให้น้อง ส่งขึ้นรถไปโรงเรียนน่ะ”
พอได้ยินคำตอบของนับดาว ออมสินถึงกับคิ้วขมวดมุ่น
“ หมายความว่ายังไงนับดาว แม่เลี้ยงของแกไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรอ อยู่บ้านก็อยู่เฉยๆ หน้าที่หาเงินก็เป็นของแก ไหนแกยังจะเรียนอีก ผู้หญิงอะไรใช้ไม่ได้จริงๆ”
เธอกับออมสินสนิทกันมาก ออมสินรู้ว่าบ้านของเธอเป็นยังไง รู้ว่าแม่เลี้ยงของเธอเป็นแบบไหน
ถึงไม่ค่อยชอบใจในการกระทำของรวิ
“ ช่างเขาเถอะ ไปเรียนได้แล้ว”
ออมสินส่ายหัวไปมา เอือมระอากับแม่เลี้ยงเพื่อนสุดๆ
อีกด้านคาสิโนตระกูลคาเนอร์
“ โธ่โว้ย!! เสียอีกแล้ว วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรวะเนี่ย”
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัยเพียง 25 ปี สบถขึ้นอย่างหัวเสีย มองดูไพ่ในมือที่ไม่ถึงสามแต้ม แล้วอยากทิ้งเป็นชิ้นๆ
“ ใจเย็นนะภาส เรายังมีเงินอีกตั้งเยอะ ”
รวิปลอบใจแฟนเด็กเบาๆ ตั้งแต่เมื่อคืนที่เข้ามาในบ่อนไพ่ในมือไม่ขึ้นเลย ย้ายไปย้ายมาหลายโต๊ะแต่ก็เหมือนเดิม เธอรู้จักกับภาสมาซักพักใหญ่ เสี่ยงโชคด้วยกันบ่อยๆ จนเข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี สู่คู่ขาบนเตียงที่แอบกินกันทั้งที่มีสามีอยู่แล้ว
“ผมขอโทษนะครับพี่วิ วันนี้เสียเยอะเลย ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ เอางี้ไหม เราไปนั่งดื่มฝั่งนู้นให้อารมณ์ดีก่อน แล้วเดี๋ยวพอใจเย็นค่อยกลับมาแก้มือ ”
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ ”
รวิยิ้มหวาน เกาะแขนแฟนเด็กเอาไว้แน่นราวกับกลัวใครมาฉก ทั้งคู่เดินเคียงกันออกจากโซนคาสิโน ทะลุไปอีกฝั่งที่เต็มไปด้วยแสงไฟและเสียงเพลงดังกระหึ่มของโซนผับ จิบเครื่องดื่มเรียกความคึกคักจนเริ่มมึนเมา พอได้ที่ก็กลับมาเสี่ยงดวงอีกครั้ง
“โธ่เว้ย! ทำไมมันซวยอย่างนี้!”
เสียงสบถของรวิดังขึ้นพร้อมกับมือที่ฟาดลงบนโต๊ะ
“นั่นสิพี่ เงินห้าแสนหายวับไปกับตาเลย…”
ภาสกรทำหน้าสลด ใจเต้นแรงไม่ต่างกัน
รวิหน้าชา ใจเต้นตุบๆ เหงื่อซึมตามขมับ ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดี เงินก้อนโตที่ได้มาก็หายเกลี้ยงต่อหน้า
“เอาไงดีครับพี่วิ… ผมอยากได้เงินคืน ผมผิดเองที่ไม่ยับยั้งใจ สัญญานะครับ ครั้งหน้าผมจะเล่นให้มีสติกว่านี้”
ภาสกรเอ่ยเสียงอ่อย แววตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
รวิหันไปมองตาคมคู่นั้น ใจหนึ่งก็เคือง แต่อีกใจก็อ่อนยวบเมื่อเห็นคนรักเด็กทำหน้าเศร้า
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ การพนันมันก็มีได้มีเสีย… เงินแค่ห้าแสน เดี๋ยวพี่หามาใหม่ ค่อยตีทุนคืนก็ได้”
เสียงเธออ่อนลงอย่างเอาใจ
ฟอดดด
ภาสกรก้มลงหอมแก้มอย่างออดอ้อน
“ขอบคุณนะค้าบ พี่วิของผมใจดีที่สุดเลย รักพี่วินะค้าบ”
ประโยคนั้นทำเอาหญิงวัยสามสิบต้นๆ ใจพองโต ยิ้มแก้มปริตามแรงอ้อน กระชุ่มกระชวยเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นสาววัยยี่สิบอีกครั้ง
“งั้นวันนี้เรากลับกันก่อนนะ เดี๋ยวพี่คิดวิธีหาตังค์มาถอนทุนคืนเอง”
รวิลูบแขนเขาเบาๆ
“วันนี้พี่วิไปนอนกับผมไหม… ผมอยากนอนกอด”
เสียงทุ้มๆของภาสกรแฝงความอ้อน
“วันหลังนะจ๊ะ วันนี้พี่ต้องกลับบ้านก่อน”
รวิเอ่ยพลางยิ้มหวาน
“ไหนพี่บอกว่าจะเลิกกับผัวแก่แล้วไงครับ”
ภาสกรมองตาอย่างคาดคั้น
“ใจเย็นสิ ภาส… พี่ก็แค่จะกลับไปหาตังค์ ไม่ได้เปลี่ยนใจสักหน่อย”
เสียงอ่อนหวานเอ่ยตอบ
“จริงนะครับ”
“โธ่เอ๊ย… ภาสของพี่…หึงพี่รึไงกัน ทำไมน่าเอ็นดูแบบนี้”
รวิหัวเราะน้อยๆ พลางเอื้อมลูบแก้มเขา
“ใครจะไม่หึงละครับ พี่วิสวยขนาดนี้ ได้เงินแล้วรีบโทรหาผมเลยนะ ผมจะรีบไปรับ”
ภาสกรพูดพลางยกมือรวิขึ้นหอมอีกครั้ง
หญิงสาววัยสามสิบต้นๆบิดตัวเขินอาย ใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนสาวน้อยตกหลุมรักใหม่ๆ หัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากตอนแรกที่ได้คบกับแฟนเด็ก