เพื่อพิสูจน์ว่าพี่หมอบูมมีกุมารแพทย์ที่ชื่อฉัตรรดามาวอแวจริงอย่างที่ปุลวัชรบอก ปภาวรินทร์ถึงกับยอมทำตัวเป็นคนไข้ท่านหนึ่งที่มาใช้บริการของโรงพยาบาลบีเฮลท์เมดิคอล หญิงสาวพรางตัวชนิดที่คนทั่วไปน่าจะจำเธอไม่ได้ ทั้งผ้าคลุมผม แว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ที่บดบังได้เกือบทั้งใบหน้า
“หมอเถื่อนบอกว่าพี่หมอบูมชอบมากินข้าวที่นี่ แต่ไม่เห็นพี่หมอบูมเลย ไอ้หมอเถื่อนหลอกเรารึเปล่า”
ปภาวรินทร์บ่นเสียงเบากับตัวเองอยู่ที่มุมในสุดของร้านอาหารร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลบีเฮลต์เมดิคอล เพราะเป็นโรงพยาบาลชั้นนำและมีผู้บริการมาใช้บริการค่อนข้างมากในโรงพยาบาลจึงมีร้านอาหารหลากหลายราวกับห้างสรรพสินค้าขนาดย่อม หญิงสาวถอนหายใจพลางชะเง้อมองทางประตูเข้าร้าน เกือบจะถอดใจอยู่แล้วเพราะอีกสองชั่วโมงเธอต้องถึงกองถ่ายละคร อุตส่าห์รีบออกจากคอนโดฯ เพื่อมาซุ่มรอดูว่าพี่หมอบูมควงกุมารแพทย์สาวที่เคยเกือบจะเป็นแฟนกันมากินข้าวจริงอย่างที่ปุลวัชรบอกหรือเปล่า ถ้าจริงเธอจะได้วางแผนขั้นต่อไปว่าต้องทำอย่างไรต่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้ไร้แผนในหัวสวยๆ ของเธอก็เถอะ
ในที่สุดพี่หมอบูมก็มา และเขาก็ไม่ได้มาคนเดียว สาวสวยในชุดกราวน์ที่เดินเคียงข้างกันมาเดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นใคร
“หมอฉัตรรดาสินะ”
ปภาวรินทร์เอ่ยเสียงเบาอย่างไม่พอใจ หญิงสาวส่งค้อนวงใหญ่ไปให้ปารวีย์แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รับรู้ ตากลมสวยยังคงจับจ้องอยู่ที่ทั้งคู่ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตอนที่พากันเข้ามาและนั่งลงที่โต๊ะ โดยปารวีย์นั่งหันหลังมาทางปภาวรินทร์ ส่วนฉัตรรดานั่งหันหน้ามาทางดาราสาว
“บูมกินอะไรดีคะ”
“ข้าวราดกะเพรากุ้งก็ได้ครับ”
“ไข่ดาวไม่สุกด้วยเนอะ”
“ครับ”
ปภาวรินทร์ได้ยินทุกบทสนทนา หญิงสาวย่นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ ดูท่าคุณหมอเด็กคนนั้นจะรู้ใจพี่หมอบูมไปเสียทุกอย่าง ความรู้สึกแรกที่เธอมีต่อฉัตรรดาก็คือความหมั่นไส้ และความรู้สึกต่อมาก็คืออิจฉา เธอไม่เคยมีโอกาสกินข้าวกับพี่หมอบูมสองต่อสองเลยสักครั้ง
ไม่เคยมี
“ขอข้าวราดกระเพรากุุ้งไข่ดาวไม่สุกหนึ่งจาน อีกจานขอเป็นสปาเก็ตตี้คาโบนาร่านะคะ แล้วก็ขอน้ำแร่สองขวดค่ะ”
“ได้ค่ะ รบกวนคุณลูกค้ารอสักครู่นะคะ”
ฉัตรรดายิ้มให้พนักงานอย่างสุภาพก่อนที่เธอจะหันมาหาปารวีย์ “บูมคะ อาทิตย์นี้ว่างไหมคะ ฉัตรอยากชวนบูมไปดูหนังเข้าใหม่ เป็นแนวทริลเลอร์ ฉัตรคิดว่าบูมน่าจะชอบ”
“ถ้าไม่มีงานด่วนทุกวันอาทิตย์ผมต้องไปกินข้าวกับครอบครัวครับ”
“แล้ววันเสาร์ล่ะคะ พอจะได้หรือเปล่า”
“จริงๆ วันเสาร์เป็นวันที่ผมพักผ่อน ไม่ค่อยออกไปไหนครับ”
“แย่จังค่ะ แต่ไม่เป็นไร ไว้บูมว่างเมื่อไหร่เราค่อยหาเวลาไปดูหนังด้วยกันสักเรื่องก็ได้ค่ะ”
ปภาวรินทร์ลอบยิ้มพอใจในคำตอบของปารวีย์ มือเรียวตักอาหารตรงหน้าเข้าปากด้วยท่าทางที่เอร็ดอร่อย อย่างน้อยพี่หมอบูมก็ไม่ไปดูหนังตามคำชวนของฉัตรรดา
ไม่ไปเท่ากับไม่ได้มีใจให้ แบบนี้เธอก็ยังพอมีหวัง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
จู่ๆ ฉัตรรดาก็ยกมือกดรอบๆ ดวงตาก่อนกะพริบตาถี่ๆ ราวกับมีบางสิ่งรบกวน เธอเงยหน้าขึ้นมองปารวีย์แล้วส่ายหน้า
“ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ เหมือนมีอะไรเข้าตา”
“ให้ผมช่วยดูไหม”
“ค่ะ”
ปารวีย์ลุกขึ้นเต็มความสูง เขาโน้มตัวไปหาฉัตรรดาตั้งใจจะช่วยดูสิ่งที่รบกวนดวงตาให้เธอ แต่มือไม่ทันได้แตะบริเวณใต้ดวงตาของฉัตรรดาเสียงของบางอย่างตกกระทบพื้นทำให้เขาหยุดชะงักแล้วหันไปมอง
“ขอโทษค่ะ”
ปภาวรินทร์ก้มลงเก็บช้อน พนักงานรีบเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“เดี๋ยวหยิบช้อนอันใหม่ให้นะคะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอิ่มแล้ว คิดเงินได้เลยค่ะ”
ปภาวรินทร์เอ่ยติดๆ ขัดๆ เพราะนอกจากคนในร้านหันมามองเธอเป็นตาเดียวกันแล้ว พี่หมอบูมกับฉัตรรดาก็หันมาด้วย เธอคิดว่าเธอควรรีบชิ่งก่อนที่พี่หมอบูมจะรู้ว่าเป็นเธอ หญิงสาวดึงปลายผ้าคลุมผมมาพรางใบหน้าเอาไว้เพราะเกรงว่าพี่หมอบูมจะจำได้
ปภาวรินทร์ลุกจากโต๊ะทันทีที่จ่ายเงินค่าอาหาร ปารวีย์ขมวดคิ้วมองตามเธอ สายตาเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจอย่างชัดเจน
“เดี๋ยวผมมานะครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะบูม บูมจะไปไหนคะ บูม”
ฉัตรรดาไม่พอใจที่รั้งปารวีย์เอาไว้ไม่ได้ แต่เธอก็ไม่คิดจะนั่งรออยู่เฉยๆ แน่ หญิงสาวตัดสินใจลุกตามปารวีย์ไปแทบจะทันที
ปภาวรินทร์เดินกึ่งวิ่งด้วยท่าทางหวาดระแวง มองทางเบื้องหน้าสลับกับมองเบื้องหลังตอนที่มุ่งหน้าไปลานจอดรถ รู้สึกหวั่นใจเกรงว่าพี่หมอบูมจะนึกเอะใจตามเธอมาแม้ว่าเธอจะพยายามซ่อนใบหน้าจากสายตาอีกฝ่ายแล้วก็ตาม
ปภาวรินทร์เกือบจะได้หายใจอย่างโล่งอก หญิงสาวพาตัวเองมานั่งในรถ กำลังจะปิดประตูรถอยู่แล้ว แต่ก็มีมือปริศนามาดันประตูรถเธอเอาไว้
พี่หมอบูม
ปภาวรินทร์ตกใจจนตาโต ใบหน้าหล่อเหลาที่ถมึงทึงบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของร่างสูงได้อย่างชัดเจน ปภาวรินทร์อึกอักพูดอะไรแทบไม่ออก
“เอ่อคือว่า…”
“ทำไมยังมาที่นี่อีก”
ปภาวรินทร์อยากจะแถว่ามาตรวจสุขภาพประจำปีอะไรแบบนั้น แต่ดูจากหน้าพร้อมกินคนของพี่หมอบูมในตอนนี้เขาต้องไม่เชื่อคำแก้ตัวที่ค่อนข้างไร้น้ำหนักของเธอแน่
“ปั้นชา…แค่แวะมากินข้าวค่ะ กำลังจะกลับแล้ว ปั้นชาต้องรีบไปเข้ากองละครแล้วค่ะ”
ปภาวรินทร์พยายามจะดึงประตูปิด แต่ปารวีย์ไม่ยอมให้เธอได้ทำแบบนั้น เขายังดันประตูรถไว้ใช้สายตาคมดุมองเธอแล้วเอ่ยอย่างคาดคั้น
“ขอความจริง”
“ปั้นชาแค่มากินข้าวจริงๆ ค่ะ นี่ก็กำลังจะกลับแล้วไงคะ แค่พี่หมอ…ปล่อยมือ”
ท้ายประโยคปภาวรินทร์เอ่ยเสียงแผ่วแต่ปารวีย์ก็ไม่ยอมปล่อย จู่ๆ เขาก็ยัดตัวเองเข้ามาอย่างปัจจุบันทันด่วน จนปภาวรินทร์ต้องปีนไปนั่งฝั่งข้างคนขับอย่างทุลักทุเล แถมยังดึงประตูปิดดังโครมใหญ่ทำปภาวรินทร์สะดุ้งโหยง
“พี่หมอจะทำอะไรคะ”
ปภาวรินทร์ย่นคอหนี จู่ๆ พี่หมอบูมก็เคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาของเขาเข้ามาใกล้กันมากกว่าที่เคยเป็น แต่แค่นั้นเขายังคงไม่พอใจ เพราะนอกจากใบหน้าหล่อเหลาที่เข้ามาใกล้ใบหน้าของเธอจนเกินควรนั่นแล้ว เขายังยันมือข้างหนึ่งกับประตูรถกักเธอไว้จนเธอไม่กล้าขยับหนี แม้แต่หายใจแรงปภาวรินทร์ก็ยังไม่กล้าทำ
“พี่หมอ กละใกล้เกินไปรึเปล่าคะ”
คงเป็นเพราะลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดลงมา ปภาวรินทร์ถึงได้รู้สึกประหม่าจนทำตัวแทบไม่ถูก หัวใจก็เต้นแรงราวจังหวะรัวกลองรบ พร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผะผ่าวราวกับถูกนาบด้วยเหล็กลนไฟ
“พูดความจริงมา เดี๋ยวนี้”