น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยอย่างคาดคั้น ไหนจะดวงตาคมดุฉายแววคุกรุ่นที่อีกฝ่ายใช้มองกันทำปภาวรินทร์หายใจไม่ทั่วท้อง จนบางครั้งเธอถึงกับต้องกลั้นหายใจ
“ความจริงก็คือปั้นชาต้องรีบไปกองละครแล้วค่ะ พี่หมอปล่อยปั้นชาไปเถอะนะคะ อ๊ะ”
เป็นอีกครั้งที่ปภาวรินทร์สะดุ้งโหยง เพราะจู่ๆ พี่หมอบูมก็ถือวิสาสะกำรอบข้อมือเล็กข้างหนึ่งของเธอ กำแน่นเสียจนหญิงสาวหน้าเหยเกเพราะเจ็บตรงข้อมือ
“ถ้าเธอไม่พูด พี่ก็จะไม่ปล่อยเธอ”
หากเป็นสถานการณ์ปกติเธอคงจะดีใจที่พี่หมอบูมอยู่ใกล้กันมากกว่าที่เคยเป็น แต่สถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้เธอดีใจไม่ได้จริงๆ
ปภาวรินทร์ไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร เธอไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าพี่หมอบูมจะเข้าถึงตัวเธอมากขนาดนี้ เธอตั้งใจแค่จะมาแอบดูว่าพี่หมอบูมมากินข้าวกับคุณหมอเด็กคนนั้นจริงอย่างที่ปุลวัชรบอก ตั้งใจมาดูให้เห็นกับตาเพื่อดูท่าทีระหว่างคนทั้งคู่ แล้วค่อยคิดต่อว่าเธอจะเข้าถึงตัวพี่หมอบูมให้มากกว่านี้ได้อย่างไร
แต่กลายเป็นว่าพี่หมอบูมเป็นฝ่ายเข้าถึงตัวเธอเสียอย่างนั้น
“พี่หมอปล่อยปั้นชาเถอะนะคะ ปั้นชาต้องรีบไปแล้วจริงๆ ค่ะ”
“ไม่”
ปารวีย์เอ่ยเสียงเข้มงวด แววตาคู่คมยังคงมองมาที่เธออย่างคาดคั้น หากวันนี้เขาไม่ได้รับคำตอบ ปภาวรินทร์จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น
“พี่หมอปล่อยปั้นชาเถอะนะคะ”
ปภาวรินทร์เว้าวอนอย่างขอความเห็นใจ พยายามดึงข้อมือเรียวออกจากพันธนาการมือใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะยึดแน่นมากกว่าเดิมของปารวีย์
“หรือที่เธอทำเป็นไม่ตอบเพราะอยากให้พี่ถึงเนื้อถึงตัวเธอแบบนี้ใช่หรือเปล่า”
“เปล่านะคะ ปั้นชาไม่เคยคิดแบบนั้น”
ดูเหมือนว่าพี่หมอบูมจะเข้าใจเธอผิดกันไปยกใหญ่แล้ว
“แล้วมันยังไง”
หากเธอไม่พูดพี่หมอบูมคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่ ปภาวรินทร์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะยอมปริปากเพราะสถานการณ์ที่เริ่มบานปลาย
“ปั้นชาก็แค่อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าพี่หมอมากินข้าวกลางวันกับคุณหมอเด็กคนนั้นบ่อยๆ จริงอย่างที่หมอเถื่อนบอกรึเปล่า อุ้ย!”
ปภาวรินทร์อุทานเพราะเผลอพูดพาดพิงถึงปุลวัชรด้วย หวังว่าหมอเถื่อนคงไม่มาบีบคอเธอหรอกนะ
“พี่จะมากินข้าวกับใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ”
หัวใจดวงน้อยปวดหนึบกับคำพูดที่ดูไร้เยื่อใยจากคนตรงหน้า แต่สุดท้ายปภาวรินทร์ก็เลือกที่จะฮึดสู้ โต้กลับอย่างดื้อรั้น
“ก็ปั้นชาจีบพี่หมออยู่นี่คะ” ปภาวรินทร์ขมวดคิ้วมุ่น “แค่อยากรู้ว่าต้องรับมือกับคู่แข่งยังไง”
“เธอคิดว่าหมอฉัตรเป็นคู่แข่งของเธองั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิคะ” ปภาวรินทร์เอ่ยเสียงไม่ชอบใจ “ก็คุณหมอเด็กคนนั้นเกือบจะได้เป็นแฟนของพี่หมออยู่แล้วหากเธอไม่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อน”
“ใครบอกเธอ”
“ก็หมอเถื่อนไงคะ”
คราวนี้ปภาวรินทร์ไม่กังวลใจที่ต้องเอ่ยพาดพิงถึงปุลวัชร พี่น้องกันคงไม่เป็นอะไร อย่างมากปุลวัชรอาจจะถูกพี่หมอบูมตำหนินิดหน่อยที่คาบข่าวมาบอกเธอ
“ฮึ”
ปารวีย์แค่นเสียงขึ้นจมูก เขาถอนหายใจก่อนจะปล่อยมือจากปภาวรินทร์
“หมอฉัตรไม่ใช่คู่แข่งของเธอหรอก”
“พี่หมอ ยังมีคนอื่นอีกงั้นเหรอคะ”
ปารวีย์ไม่ตอบ เขาทำท่าจะก้าวลงจากรถ ปภาวรินทร์รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยการถือวิสาสะดึงแขนเสื้อกาวน์ของเขา ปารวีย์ปรายตามองที่มือเรียว หญิงสาวจึงรีบปล่อยมือออก
“ปั้นชาขอโทษค่ะ”
ปภาวรินทร์เอ่ยขอโทษที่ถือวิสาสะไปถูกเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายแม้ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะถึงเนื้อถึงตัวโดยที่เธออย่างถือวิสาสะก็ตาม
“ปั้นชาแค่อยากรู้ว่าปั้นชามีคู่แข่งกี่คน”
ปภาวรินทร์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่หมอบูมจะหนุ่มฮอตมากขนาดนี้ ก็อย่างว่าโปรไฟล์ดีตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ทั้งฐานะ หน้าที่การงานและใบหน้าหล่อเหลาของเขาเป็นหมายปองของสาวๆ และหนึ่งในนั้นก็มีเธออยู่ด้วย
“แข่งกี่คนสุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม” ปารวีย์ตอบเสียงเรียบเรื่อย “กลับไปได้แล้ว อย่ามาวุ่นวายที่โรงพยาบาลอีกถ้าไม่จำเป็น”
ปภาวรินทร์ยู่หน้าอย่างขัดใจที่ถูกต่อว่าว่าเธอวุ่นวาย แต่ก็ยังดีที่พี่หมอบูมยังเหลือพื้นที่คำว่าถ้าไม่จำเป็นเอาไว้ให้เธอบ้าง เพราะที่เธอมาวุ่นวายล้วนแต่จำเป็นทั้งนั้นนั่นแหละ
โอกาสที่จะได้อยู่กับพี่หมอบูมไม่ได้มีบ่อยๆ พอคิดได้แบบนั้นหญิงสาวก็รีบรั้งปารวีย์เอาไว้อีกครั้งก่อนที่เธอจะเสียโอกาสที่หาได้ไม่ง่ายนักไป
“ปั้นชามีเรื่องอยากตกลงกับพี่หมอค่ะ”
“ไร้สาระ”
ปารวีย์ไม่คิดจะฟัง เขาส่ายหน้าเอือม ตั้งใจจะก้าวลงรถอีกครั้ง แต่ต้องชะงักเพราะปภาวรินทร์ยึดต้นแขนของเขาเอาไว้ไม่ใช่แค่การดึงเสื้อกาวน์เหมือนตอนแรก แต่เป็นการยึดต้นแขนของเขาเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ
“ปั้นชาจะเลิกวุ่นวายกับพี่หมอก็ได้ค่ะ แต่…”
คิ้วได้รูปข้างหนึ่งของปารวีย์ยกขึ้นสูง ตาคมมองปภาวรินทร์ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขากำลังสนใจในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด
“แต่อะไร”
นั่นประไร พี่หมอบูมกำลังติดกับเธอแล้ว ปภาวรินทร์กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ รีบบอกเงื่อนไขที่ผุดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยความกระตือรือร้น
“ปั้นชาอยากให้พี่หมอกินมื้อเช้ากับปั้นชาทุกวันเป็นเวลาสามสัปดาห์เต็มค่ะ”
“เธอคิดว่าพี่จะตกหลุมรักเธอเพราะเราต้องเจอหน้ากันทุกวันงั้นเหรอ พอเธอหายไปพี่ก็จะต้องคิดถึงเธอแบบนั้นใช่ไหม เธอคิดจะใช้ทฤษฎียี่สิบเอ็ดวันกับพี่” ปารวีย์เลิกคิ้วถาม
ปภาวรินทร์ตกใจจนตาโตที่พี่หมอบูมเดาความคิดของเธอได้ถูกเผง เธอเชื่อว่าหากเธอกับพี่หมอบูมได้มีโอกาสเจอหน้ากันทุกวันอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกของพี่หมอบูมที่มีต่อเธอต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีอย่างแน่นอน ก็นะ เธอลองทฤษฎีที่ส่งข้อความต่อเนื่องเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันหากอีกฝ่ายมีใจก็จะโหยหากันเมื่อเธอแกล้งหายไป เธอลองทำแบบนั้นและมันก็ไม่ได้ผล จนจะเข้าปีที่สิบแล้ว ความสัมพันธ์ของเธอกับพี่หมอบูมยังไม่ขยับไปทางไหนจริงอย่างที่ปุลวัชรบอก แถมตอนนี้ยังมีตัวแปรอย่างหมอฉัตรรดาและตัวแปรที่เธอยังไม่รู้อีก เพราะงั้นคราวนี้เธอยอมเทหมดหน้าตัก ถ้าครบสามสัปดาห์แล้วพี่หมอบูมยังเย็นชาใส่กันอีก เธอค่อยหาวิธีอื่นก็แล้วกัน
ส่วนเรื่องที่เธอบอกว่าจะเลิกวุ่นวายกับเขาน่ะ เธอแค่ขายผ้าเอาหน้ารอด แอบรักแอบชอบมาเกือบจะสิบปี จะให้ถอดใจง่ายๆ อย่างงั้นหรือ เมินเสียเถอะ
“ถ้าพี่หมอไม่รับปาก ก็แสดงว่าพี่หมอกลัวว่าจะตกหลุมรักปั้นชาใช่ไหมล่ะคะ”
ในเมื่อเลือกจะมาทางนี้แล้วปภาวรินทร์ก็ขอไปให้สุด แม้สีหน้าเอือมระอาของพี่หมอบูมจะทำเธอใจแป้วไปแว่บหนึ่งก็เถอะ
“เธอกำลังใช้คำพูดเชิงจิตวิทยากับคนที่เรียนมาโดยตรงรู้ตัวรึเปล่า”
สีหน้าของปารวีย์ไม่ได้เปลี่ยนเลยสักนิดตอนที่ถาม เขาไม่ได้มีความหวั่นเกรงใดๆ กับคำพูดเชิงท้าทายให้เขาต้องตกหลุมพรางของปภาวรินทร์
ปภาวรินทร์หน้าเหวอ นี่เธอเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มใส่พี่หมอบูมอีกแล้ว หญิงสาวก้มหน้างุดตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“งั้นพี่หมอก็ช่วยรับปากหน่อยสิคะ ปั้นชาจะได้เลิกตอแหยพี่หมออีก ไม่ชอบหรือไงคะ”
“พูดจริง?”
ปารวีย์เลิกคิ้วถาม สายตาที่มองมาอย่างไม่เชื่อกันทำปภาวรินทร์หัวอุ่นขึ้นมานิดๆ
“จริงค่ะ”
ตอบออกไปแบบนั้นแต่ปภาวรินทร์ก็แอบไขว้นิ้วที่ด้านหลัง ใครจะเลิกตอแหยกับพี่หมอก็เลิกไป ไม่ใช่เธอแล้วหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธออาจจะโดนพี่หมอบูมต่อว่าว่าพูดจาสับปลับก็เถอะ แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ…
“ไร้สาระ”
ปารวีย์ตอบอย่างไร้เยื่อใยก่อนที่เขาจะลงจากรถไป ทิ้งปภาวรินทร์ไว้กับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่ถ้าคิดว่าการปฏิเสธของเขาจะทำให้เธอถอดใจแล้วละก็
บอกเลยว่าไม่มีทาง