ฉัตรรดาจำทะเบียนและยี่ห้อรถที่เพิ่งจะขับออกไปเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นคันเดียวกันกับคันที่ปารวีย์เพิ่งจะก้าวลงมา เธอเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนที่ปารวีย์จะตามผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถจนกระทั่งเขาลงมาจากรถและรถก็ขับออกไปเพราะเธอตามเขามาตั้งแต่แรก แววตาของหญิงสาวคุกรุ่น มองตามรถของปภาวรินทร์อย่างมาดหมาย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากเสื้อกาวน์ ต่อสายหาใครบางคน
“ช่วยเช็คทะเบียนรถ ปว xxxx กทม. ให้หน่อยค่ะว่าเจ้าของรถเป็นใคร ได้ข้อมูลแล้วช่วยส่งให้ฉันด้วยนะคะ ขอด่วนที่สุดค่ะ”
“เฮอะ”
ปภาวรินทร์กระแทกกระเป๋าใบโปรดลงบนโต๊ะในห้องแต่งตัว มาริษาเลิกคิ้วมองการกระทำของหญิงสาวด้วยความสงสัย
“อารมณ์เสียอะไรมาเหรอ”
“ก็พี่หมอบูมน่ะสิ”
“หมอบูมเขาทำอะไรให้แกไม่พอใจล่ะ”
“จะมีอะไรนอกจากปฏิเสธฉันอย่างไร้เยื่อไยไงล่ะ ฉันถามจริงๆ เลยนะ ฉันไม่ดีตรงไหนอะริษา”
ปภาวรินทร์ยู่หน้า ดวงตากลมสวยมองกระจกเงา สำรวจใบหน้าและรูปร่างของตัวเองระหว่างรอคำตอบจากมาริษาและรอช่างแต่งหน้าของกองละคร
“เอาแบบถนอมน้ำใจหรือไม่ถนอมน้ำใจดีล่ะ”
“พูดมาเลย ฉันฟังได้”
“แกเพียบพร้อมทุกอย่างนั่นแหละปั้นชา แต่สำหรับหมอบูมคงติดอยู่อย่างเดียว”
“อะไรล่ะ”
“เขาคงไม่ได้มีใจให้แกหรอกปั้นชา อย่างที่ฉันเคยบอก ถ้าเขามีใจให้แกคงจะตอบรับความรู้สึกแกไปนานแล้วแหละ”
ปภาวรินทร์ไม่อยากจะยอมรับคำพูดของมาริษา แต่ก็เถียงไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่มาริษาพูดก็มีส่วนจริง ไม่ใช่สิ ไม่ใช่มีส่วนจริง แต่จริงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยต่างหาก
“เพราะนายสร้างเรื่องให้ฉัน ปั้นชาถึงได้มาที่โรงพยาบาลอีกแล้ว”
“ปลอมตัวมาเป็นคนไข้อีกเหรอครับ”
“เปล่า คราวนี้บอกแวะมากินข้าวกลางวัน ฉันควรเชื่อไหมล่ะ”
“เชื่อๆ ไปเถอะครับ เห็นใจหน่อย จะมีใครที่จะรักมั่นคงต่อพี่เท่าคุณหนูดาราอีก”
“ไม่ใช่เรื่อง”
ปารวีย์ตอบเสียงขุ่น จากที่กอดอกพิงสะโพกสอบกับขอบโต๊ะทำงานก็ยืดตัวเต็มความสูง ขยับเท้าไปนั่งที่เก้าอี้
“นายกลับไปได้ละ พี่จะทำงานต่อ”
“เฉลยเลย เรียกผมมาบ่น”
“แล้วนายจะทำไม”
“ไม่ทำไมหรอกครับ น้องชายอย่างผมจะไปทำอะไรพี่ชายได้ล่ะครับ” ปุลวัชรเอ่ยเสียงกึ่งหยอกล้อ
“บ่อยมาก โดยเฉพาะเรื่องของปั้นชา”
“ผมแค่สร้างโอกาสให้คุณหนูดาราต่างหากล่ะครับ”
ปารวีย์มองปุลวัชรสายตาขุ่นพลางส่ายหน้าเอือม คนถูกมองไหวไหล่เบาๆ แล้วหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินออกไปจากห้องตรวจก่อนที่จะถูกพี่ชายต่อว่าอะไรอีก
“ดารางั้นเหรอ เป็นนางเอกละครด้วย”
ฉัตรรดากวาดสายตาอ่านเนื้อหาจากมือถือที่มีคนส่งมาให้ เจ้าของรถคันที่ปารวีย์ก้าวลงมาคือปั้นชา ปภาวรินทร์ นางเอกละครชื่อดัง คิ้วได้รูปของกุมารแพทย์สาวขมวดมุ่น คิดไม่ตกถึงความสัมพันธ์ระหว่างปารวีย์กับปภาวรินทร์ ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ถึงได้กดสายหาใครบางคน
“ฉันอยากรู้ความสัมพันธ์ของหมอปารวีย์กับดาราที่ชื่อปั้นชา ปภาวรินทร์ ให้คนช่วยหาข้อมูลให้หน่อย ขอแบบละเอียดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลยนะคะ”
ปภาวรินทร์เลิกกองตอนเที่ยงคืนเศษ คืนนี้หญิงสาวไม่ได้แวะกินข้าวต้มร้านเฮียโต๋แม้ว่าพรัชต์กับมาริษาจะเอ่ยปากคะยั้นคะยอ เธอไม่มีกระจิตกระใจจะกินอะไรทั้งนั้น ตั้งแต่มาริษาตอกย้ำความจริงที่ว่าพี่หมอบูมไม่ได้มีใจให้กัน ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แต่พอได้ยินคนอื่นสะท้อนความจริงและย้ำชัดแบบนั้นเธอก็อดรู้สึกสะท้านในอกไม่ได้อยู่ดี
หรือว่าเธอควรจะตัดใจจากพี่หมอบูมแล้วจริงๆ
ปภาวรินทร์ถอนหายใจ หญิงสาวถอดชุดคลุมสีขาวสะอาดออกแล้วก้าวลงอ่างอาบน้ำ ปล่อยให้น้ำอุ่นๆ ยามค่ำคืนช่วยชะล้างความหนักอึ้งที่อยู่ในหัวให้เบาบางลง
“อาทิตย์นี้แวะมากินข้าวกับป้าไหมลูก พี่บูมก็มานะ”
“อาทิตย์นี้ปั้นชาไม่ว่างเลยค่ะคุณป้า มีงานโปรโมตละครค่ะ”
ปภาวรินทร์เอ่ยอย่างเสียดาย ใจหนึ่งเธอก็ไม่อยากไปให้พี่หมอบูมต้องรำคาญใจ แต่อีกใจก็อยากเห็นใบหน้าหล่อๆ ของเขาแม้อีกฝ่ายจะทำหน้ารำคาญกันยามที่เห็นหน้าเธอก็ตามที
“เสียดายจัง แต่ไม่เป็นไร ไว้ครั้งหน้าถ้าหนูว่างแวะมากินข้าวกับป้าบ้างนะลูก”
“ได้เลยค่ะคุณป้า”
“งั้นป้าไม่กวนแล้ว แค่นี้นะลูก”
“ค่ะคุณป้า ไว้ปั้นชาว่างจะแวะไปกินข้าวด้วยนะคะ”
“จ้ะ”
วางสายจากคุณหญิงอตินุชปภาวรินทร์ก็ถอนหายใจอีกระลอก การหักห้ามใจไม่ให้ไปวอแวให้ปารวีย์ต้องรำคาญใจมันยากจริงๆ สำหรับเธอ แต่ถ้าหากจะทำให้เขารู้สึกเห็นใจเธอขึ้นมาบ้าง เธอจะลองทำดูสักตั้งก็ได้
“แปลกแฮะ คุณหนูดาราไม่มากินข้าวกับเรา”
ปุลวัชรพูดขึ้นในมื้อเย็นวันอาทิตย์ของครอบครัวตนุนันท์สงวนรัชต์ ปารวีย์ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งไม่ได้พุูดอะไร มีเพียงคุณหญิงอตินุชเท่านั้นที่ตอบรับประโยคที่คล้ายบ่นกับตัวเองเสียมากกว่า
“แม่ชวนแล้วแต่หนูปั้นชาบอกว่าติดงานโปรโมตละครเลยมาไม่ได้”
“คราวก่อนยังมาทั้งชุดไทย แต่คราวนี้ไม่มา สงสัยจะตัดใจจากใครบางคนได้แล้วมั้งครับ”
“แม่ก็ว่างั้นแหละ”
คุณหญิงอตินุชอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดปารวีย์ที่ทำหน้านิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน เจ้าของร่างสูงเลิกคิ้วมองมารดาเป็นเชิงถามว่าเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย
“ไม่ต้องมามองแม่อย่างนั้นเลยนะพ่อตัวดี”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”
“จะสิบปีแล้วจะใจแข็งไปถึงไหน น้องก็อายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะ แถมเราน่ะก็ปาเข้าไปสามสิบเอ็ดแล้ว ถามจริงจะมีหลานให้แม่กี่โมงคะคุณหมอ”
ปุลวัชรกลั้นขำ ไม่คิดว่ามารดาของเขาจะเข้าใจศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้ด้วย ศัลยแพทย์หนุ่มอมยิ้มก่อนจะตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยและรอดูว่าพี่ชายของเขาจะมีปฏิกิริยาเรื่องนี้อย่างไร
“ถามเบย์สิครับ”
“อ้าว ไหงลงที่ผม คุณหนูดาราไม่ได้ชอบผมนี่ ถ้าชอบผม ผมคงตกปากรับคำไปแล้ว”
ปุลวัชรกลั้วหัวเราะ โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของปารวีย์แม้จะเป็นเพียงแว่บเดียวก่อนจะเลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ตาม
“ถามเรานั่นแหละ บูมเป็นพี่คนโตควรจะแต่งก่อนน้องสิ”
“เบย์ก่อนได้เลยครับ ผมไม่ติด”
ปวันหัวเราะในลำคอเบาๆ บทสนทนาที่แม้จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งของภรรยากับลูกชายคนโตแต่กลับเรียกรอยยิ้มให้เขาได้ เพราะนั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวยังดีอยู่
“อย่าโยนให้ผมสิ ผมโสดสุดๆ” ปุลวัชรหัวเราะ “แต่ถ้าพี่บูมยอมแต่งก่อน ไม่เกินหนึ่งปีผมก็จะแต่งตามก็ได้ ผมให้สัญญาเลย”
“ไหนบอกว่าไม่มีแฟนไง” ปารวีย์เลิกคิ้วถาม
“ก็ไม่มีไงครับ” ปุลวัชรยิ้ม “แต่ถ้าพี่แต่งผมก็จะรีบหาแฟนไง”
“หาง่ายมากมั้ง”
“หล่อขนาดผม ใครจะกล้าปฏิเสธล่ะครับ”
ปุลวัชรแกล้งพูดให้ปารวีย์หมั่นไส้ไปอย่างนั้นและมันก็ได้ผล ปารวีย์ส่ายหน้าคล้ายเอือมระอาเต็มทน ก่อนเจ้าตัวจะตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทางไม่แยแสปุลวัชรอีก
“ใจแข็งขนาดนี้ สงสัยผมคงต้องบอกให้คุณหนูดาราตัดใจจากพี่แล้วจริงๆ ละมั้งครับ”