บทที่4-1 ไม่อยากตัดใจ

1403 คำ
ฉัตรรดาจำทะเบียนและยี่ห้อรถที่เพิ่งจะขับออกไปเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นคันเดียวกันกับคันที่ปารวีย์เพิ่งจะก้าวลงมา เธอเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนที่ปารวีย์จะตามผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถจนกระทั่งเขาลงมาจากรถและรถก็ขับออกไปเพราะเธอตามเขามาตั้งแต่แรก แววตาของหญิงสาวคุกรุ่น มองตามรถของปภาวรินทร์อย่างมาดหมาย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากเสื้อกาวน์ ต่อสายหาใครบางคน “ช่วยเช็คทะเบียนรถ ปว xxxx กทม. ให้หน่อยค่ะว่าเจ้าของรถเป็นใคร ได้ข้อมูลแล้วช่วยส่งให้ฉันด้วยนะคะ ขอด่วนที่สุดค่ะ” “เฮอะ” ปภาวรินทร์กระแทกกระเป๋าใบโปรดลงบนโต๊ะในห้องแต่งตัว มาริษาเลิกคิ้วมองการกระทำของหญิงสาวด้วยความสงสัย “อารมณ์เสียอะไรมาเหรอ” “ก็พี่หมอบูมน่ะสิ” “หมอบูมเขาทำอะไรให้แกไม่พอใจล่ะ” “จะมีอะไรนอกจากปฏิเสธฉันอย่างไร้เยื่อไยไงล่ะ ฉันถามจริงๆ เลยนะ ฉันไม่ดีตรงไหนอะริษา” ปภาวรินทร์ยู่หน้า ดวงตากลมสวยมองกระจกเงา สำรวจใบหน้าและรูปร่างของตัวเองระหว่างรอคำตอบจากมาริษาและรอช่างแต่งหน้าของกองละคร “เอาแบบถนอมน้ำใจหรือไม่ถนอมน้ำใจดีล่ะ” “พูดมาเลย ฉันฟังได้” “แกเพียบพร้อมทุกอย่างนั่นแหละปั้นชา แต่สำหรับหมอบูมคงติดอยู่อย่างเดียว” “อะไรล่ะ” “เขาคงไม่ได้มีใจให้แกหรอกปั้นชา อย่างที่ฉันเคยบอก ถ้าเขามีใจให้แกคงจะตอบรับความรู้สึกแกไปนานแล้วแหละ” ปภาวรินทร์ไม่อยากจะยอมรับคำพูดของมาริษา แต่ก็เถียงไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่มาริษาพูดก็มีส่วนจริง ไม่ใช่สิ ไม่ใช่มีส่วนจริง แต่จริงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยต่างหาก “เพราะนายสร้างเรื่องให้ฉัน ปั้นชาถึงได้มาที่โรงพยาบาลอีกแล้ว” “ปลอมตัวมาเป็นคนไข้อีกเหรอครับ” “เปล่า คราวนี้บอกแวะมากินข้าวกลางวัน ฉันควรเชื่อไหมล่ะ” “เชื่อๆ ไปเถอะครับ เห็นใจหน่อย จะมีใครที่จะรักมั่นคงต่อพี่เท่าคุณหนูดาราอีก” “ไม่ใช่เรื่อง” ปารวีย์ตอบเสียงขุ่น จากที่กอดอกพิงสะโพกสอบกับขอบโต๊ะทำงานก็ยืดตัวเต็มความสูง ขยับเท้าไปนั่งที่เก้าอี้ “นายกลับไปได้ละ พี่จะทำงานต่อ” “เฉลยเลย เรียกผมมาบ่น” “แล้วนายจะทำไม” “ไม่ทำไมหรอกครับ น้องชายอย่างผมจะไปทำอะไรพี่ชายได้ล่ะครับ” ปุลวัชรเอ่ยเสียงกึ่งหยอกล้อ “บ่อยมาก โดยเฉพาะเรื่องของปั้นชา” “ผมแค่สร้างโอกาสให้คุณหนูดาราต่างหากล่ะครับ” ปารวีย์มองปุลวัชรสายตาขุ่นพลางส่ายหน้าเอือม คนถูกมองไหวไหล่เบาๆ แล้วหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินออกไปจากห้องตรวจก่อนที่จะถูกพี่ชายต่อว่าอะไรอีก “ดารางั้นเหรอ เป็นนางเอกละครด้วย” ฉัตรรดากวาดสายตาอ่านเนื้อหาจากมือถือที่มีคนส่งมาให้ เจ้าของรถคันที่ปารวีย์ก้าวลงมาคือปั้นชา ปภาวรินทร์ นางเอกละครชื่อดัง คิ้วได้รูปของกุมารแพทย์สาวขมวดมุ่น คิดไม่ตกถึงความสัมพันธ์ระหว่างปารวีย์กับปภาวรินทร์ ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ถึงได้กดสายหาใครบางคน “ฉันอยากรู้ความสัมพันธ์ของหมอปารวีย์กับดาราที่ชื่อปั้นชา ปภาวรินทร์ ให้คนช่วยหาข้อมูลให้หน่อย ขอแบบละเอียดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลยนะคะ” ปภาวรินทร์เลิกกองตอนเที่ยงคืนเศษ คืนนี้หญิงสาวไม่ได้แวะกินข้าวต้มร้านเฮียโต๋แม้ว่าพรัชต์กับมาริษาจะเอ่ยปากคะยั้นคะยอ เธอไม่มีกระจิตกระใจจะกินอะไรทั้งนั้น ตั้งแต่มาริษาตอกย้ำความจริงที่ว่าพี่หมอบูมไม่ได้มีใจให้กัน ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แต่พอได้ยินคนอื่นสะท้อนความจริงและย้ำชัดแบบนั้นเธอก็อดรู้สึกสะท้านในอกไม่ได้อยู่ดี หรือว่าเธอควรจะตัดใจจากพี่หมอบูมแล้วจริงๆ ปภาวรินทร์ถอนหายใจ หญิงสาวถอดชุดคลุมสีขาวสะอาดออกแล้วก้าวลงอ่างอาบน้ำ ปล่อยให้น้ำอุ่นๆ ยามค่ำคืนช่วยชะล้างความหนักอึ้งที่อยู่ในหัวให้เบาบางลง “อาทิตย์นี้แวะมากินข้าวกับป้าไหมลูก พี่บูมก็มานะ” “อาทิตย์นี้ปั้นชาไม่ว่างเลยค่ะคุณป้า มีงานโปรโมตละครค่ะ” ปภาวรินทร์เอ่ยอย่างเสียดาย ใจหนึ่งเธอก็ไม่อยากไปให้พี่หมอบูมต้องรำคาญใจ แต่อีกใจก็อยากเห็นใบหน้าหล่อๆ ของเขาแม้อีกฝ่ายจะทำหน้ารำคาญกันยามที่เห็นหน้าเธอก็ตามที “เสียดายจัง แต่ไม่เป็นไร ไว้ครั้งหน้าถ้าหนูว่างแวะมากินข้าวกับป้าบ้างนะลูก” “ได้เลยค่ะคุณป้า” “งั้นป้าไม่กวนแล้ว แค่นี้นะลูก” “ค่ะคุณป้า ไว้ปั้นชาว่างจะแวะไปกินข้าวด้วยนะคะ” “จ้ะ” วางสายจากคุณหญิงอตินุชปภาวรินทร์ก็ถอนหายใจอีกระลอก การหักห้ามใจไม่ให้ไปวอแวให้ปารวีย์ต้องรำคาญใจมันยากจริงๆ สำหรับเธอ แต่ถ้าหากจะทำให้เขารู้สึกเห็นใจเธอขึ้นมาบ้าง เธอจะลองทำดูสักตั้งก็ได้ “แปลกแฮะ คุณหนูดาราไม่มากินข้าวกับเรา” ปุลวัชรพูดขึ้นในมื้อเย็นวันอาทิตย์ของครอบครัวตนุนันท์สงวนรัชต์ ปารวีย์ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งไม่ได้พุูดอะไร มีเพียงคุณหญิงอตินุชเท่านั้นที่ตอบรับประโยคที่คล้ายบ่นกับตัวเองเสียมากกว่า “แม่ชวนแล้วแต่หนูปั้นชาบอกว่าติดงานโปรโมตละครเลยมาไม่ได้” “คราวก่อนยังมาทั้งชุดไทย แต่คราวนี้ไม่มา สงสัยจะตัดใจจากใครบางคนได้แล้วมั้งครับ” “แม่ก็ว่างั้นแหละ” คุณหญิงอตินุชอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดปารวีย์ที่ทำหน้านิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน เจ้าของร่างสูงเลิกคิ้วมองมารดาเป็นเชิงถามว่าเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย “ไม่ต้องมามองแม่อย่างนั้นเลยนะพ่อตัวดี” “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ” “จะสิบปีแล้วจะใจแข็งไปถึงไหน น้องก็อายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะ แถมเราน่ะก็ปาเข้าไปสามสิบเอ็ดแล้ว ถามจริงจะมีหลานให้แม่กี่โมงคะคุณหมอ” ปุลวัชรกลั้นขำ ไม่คิดว่ามารดาของเขาจะเข้าใจศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้ด้วย ศัลยแพทย์หนุ่มอมยิ้มก่อนจะตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยและรอดูว่าพี่ชายของเขาจะมีปฏิกิริยาเรื่องนี้อย่างไร “ถามเบย์สิครับ” “อ้าว ไหงลงที่ผม คุณหนูดาราไม่ได้ชอบผมนี่ ถ้าชอบผม ผมคงตกปากรับคำไปแล้ว” ปุลวัชรกลั้วหัวเราะ โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของปารวีย์แม้จะเป็นเพียงแว่บเดียวก่อนจะเลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ตาม “ถามเรานั่นแหละ บูมเป็นพี่คนโตควรจะแต่งก่อนน้องสิ” “เบย์ก่อนได้เลยครับ ผมไม่ติด” ปวันหัวเราะในลำคอเบาๆ บทสนทนาที่แม้จะเต็มไปด้วยความขัดแย้งของภรรยากับลูกชายคนโตแต่กลับเรียกรอยยิ้มให้เขาได้ เพราะนั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวยังดีอยู่ “อย่าโยนให้ผมสิ ผมโสดสุดๆ” ปุลวัชรหัวเราะ “แต่ถ้าพี่บูมยอมแต่งก่อน ไม่เกินหนึ่งปีผมก็จะแต่งตามก็ได้ ผมให้สัญญาเลย” “ไหนบอกว่าไม่มีแฟนไง” ปารวีย์เลิกคิ้วถาม “ก็ไม่มีไงครับ” ปุลวัชรยิ้ม “แต่ถ้าพี่แต่งผมก็จะรีบหาแฟนไง” “หาง่ายมากมั้ง” “หล่อขนาดผม ใครจะกล้าปฏิเสธล่ะครับ” ปุลวัชรแกล้งพูดให้ปารวีย์หมั่นไส้ไปอย่างนั้นและมันก็ได้ผล ปารวีย์ส่ายหน้าคล้ายเอือมระอาเต็มทน ก่อนเจ้าตัวจะตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทางไม่แยแสปุลวัชรอีก “ใจแข็งขนาดนี้ สงสัยผมคงต้องบอกให้คุณหนูดาราตัดใจจากพี่แล้วจริงๆ ละมั้งครับ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม