“คัต!”
สิ้นเสียงของผู้กำกับละคร ปภาวรินทร์ก็ปล่อยมือจากพรัชต์ นักแสดงหนุ่มคู่ขวัญที่ร่วมงานกันมาแล้วสองสามเรื่อง พรัชต์เองก็ปล่อยมือจากหญิงสาว เขาขยับยิ้มให้เธออย่างสุภาพตอนที่ขยับเท้าถอยห่างออกมา
“คุณปั้นชายอดเยี่ยมแบบนี้เลยครับ”
พรัชต์ยกนิ้วหัวแม่มือให้จากใจจริง เขาชื่นชมฝีมือการแสดงของปภาวรินทร์มาก และมันก็ทำให้งานของเขากับเธอเป็นไปอย่างราบรื่น
“คุณพีชก็เก่งอย่างนี้เหมือนกันค่ะ”
ปภาวรินทร์เองก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้เขาทั้งสองข้างเป็นการชื่นชม ยอมรับว่าพรัชต์เป็นนักแสดงที่มีฝีมือมาก และเป็นอีกคนหนึ่งที่เธอร่วมงานได้อย่างสบายใจ
“ปั้นชา ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว เราต้องไปอีกงานนะ”
เสียงเรียกของมาริษาทำให้ปภาวรินทร์ละสายตาจากพรัชต์ ดาราสาวโบกมือลาเขาก่อนจะหันไปลาทีมงานคนอื่นๆ
“ฉันไปก่อนนะคะ ไปก่อนนะคะทุกคน”
ปภาวรินทร์ยกมือไหว้ผู้กำกับและทีมงานก่อนจะเดินตามมาริษาออกมา จุดหมายปลายทางของทั้งคู่คืองานเปิดตัวสินค้าครีมทาผิวยี่ห้อดังที่ปภาวรินทร์เป็นพรีเซ็นเตอร์
“เหลือคนไข้อีกกี่คนครับ”
“อีกคนเดียวค่ะ”
“โอเคครับ ส่งคนไข้คนต่อไปเข้ามาได้เลยครับ”
ปลายนิ้วแกร่งของปารวีย์ละออกจากอินเตอร์คอมพ์ที่เพิ่งจะกดพูดคุยกับพยาบาลหน้าห้องตรวจ เขายกมือขึ้นคลึงขมับเล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย การที่ต้องให้บริการด้านสุขภาพจิตต้องยอมรับว่าบางครั้งเขาก็รู้สึกเครียดอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเรียนมาทางด้านนี้โดยตรง เขาจึงมีวิธีที่จะจัดการกับมันเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับตัวเขาเอง
ห้องตรวจสุขภาพจิตจะไม่เหมือนห้องตรวจโรคทั่วไปที่หมอกับคนไข้นั่งเผชิญหน้ากันโดยมีโต๊ะวางคอมพิวเตอร์กั้นกลาง แต่ห้องตรวจสุขภาพจิตของโรงพยาบาลบีเฮลท์เมดิคอลจะจัดแบบห้องรับแขก วางโซฟาชุดรูปตัวแอลโทนสีเบจไว้กลางห้อง และตกแต่งด้วยต้นไผ่กวนอิมและพลูด่างที่เหมาะกับการจัดวางในตัวอาคาร เพื่อให้คนไข้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตรู้สึกผ่อนคลายไม่กดดัน
ปารวีย์ขยับเท้ามาที่โซฟาหลังจากที่ก่อนหน้าเขายืนอยู่ที่โต๊ะทำงาน เขายืนรอคนไข้รายใหม่ จากประวัติคร่าวๆ ที่เขากวาดสายตาอ่านเมื่อครู่ ประวัติที่อยู่ในมือของเขากล่าวเพียงแค่ว่าไม่สามารถเอาตัวเองออกจากบทละครได้ คนไข้ของเขาคงเป็นนักแสดงที่ยังคงยึดติดกับบทละครแม้ว่าจะปิดกล้องไปแล้ว ยึดติดจนพาตัวเองออกมาจากบทนั้นไม่ได้ และขอไม่เปิดเผยชื่อซึ่งเขาเองก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้เพราะสามารถแยกคนไข้จาก Hospital Number หรือเลขที่ประจำตัวผู้ป่วยนอกได้ ก็นะ โรงพยาบาลเอกชนเอาความต้องการของคนไข้เป็นหลักอยู่แล้ว อีกอย่างเจ้าตัวคงกลัวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในฐานะนักแสดงหากเรื่องที่ต้องมาพบจิตแพทย์หลุดออกไป ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการมาพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร หากพบว่าตัวเองป่วยก็ต้องรักษาไม่ว่าจะเป็นป่วยด้วยสุขภาพกายหรือสุขภาพใจก็ตาม แต่ก็อย่างว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจ คนที่เดินมาพบจิตแพทย์มักจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ป่วยโรคจิต ทั้งๆ ที่บางเคสแค่มีปัญหาสุขภาพใจที่คุยกับใครไม่ได้ บางรายพอได้ระบายอาการกังวลใจต่างๆ ก็หายเป็นปกติโดยไม่ต้องพึ่งยาอะไรเลย การพบจิตแพทย์ถือว่าเป็นการระบายความเครียดทางหนึ่งดีกว่าปล่อยไว้นานจนเกิดผลกระทบรุนแรง
เสียงรองเท้าส้นแหลมกระทบกับพื้นที่ดังเป็นระยะ เรียกให้ปารวีย์จับจ้องสายตาไปที่เจ้าของรูปร่างสมส่วนที่เขารู้สึกคุ้นตา แต่เพราะศีรษะของเจ้าของร่างที่ซ่อนเอาไว้ใต้หมวกปีกกว้างกับแว่นตากันแดดสีดำและเจ้าตัวยังสวมหน้ากากอนามัยทำให้เขาไม่แน่ใจนักว่าหญิงสาวตรงหน้าจะใช่คนที่เขาคิดเอาไว้หรือเปล่า
แต่สุดท้ายปารวีย์ก็สลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป และหันมาสนใจกับการทำหน้าที่ในฐานะจิตแพทย์
“สวัสดีครับ ผมนายแพทย์ปารวีย์ เชิญนั่งก่อนครับ”
ปารวีย์ผายมือให้เจ้าของรูปร่างสมส่วนที่ยังไม่ยอมถอดทั้งแว่นกันแดดทั้งหมวกและหน้ากากอนามัยออกให้นั่งลงที่โซฟารับแขก แต่เขาก็ไม่ได้ถือสาแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมเปิดเผยใบหน้า เพราะบางคนค่อนข้างอับอายเวลาที่ต้องมาพบจิตแพทย์ เขาเข้าใจดี ยิ่งเจ้าตัวเป็นดาราก็คงยิ่งกังวล แค่กล้าเดินเข้ามาเจอเขา อีกฝ่ายคงต้องรวบรวมความกล้ามากทีเดียว ทั้งๆ ที่จริงแล้วการมาพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด แต่เพราะสังคมหล่อหลอมว่าคนที่มีปัญหาสุขภาพใจคือคนที่เป็นโรคจิต แบบนั้นหลายๆ คนจึงไม่กล้าเดินเข้ามาพบจิตแพทย์ และสุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาที่ยากเกินจะแก้ไข ทั้งๆ ที่จิตแพทย์ก็แค่ทำหน้าที่รักษาสุขภาพใจ ไม่ต่างกับหมอทั่วไปที่ทำหน้าที่รักษาสุขภาพกาย
“คะคือว่า…”
เสียงหวานอึกอักที่ออกมาจากเจ้าของร่างบางทำให้คิ้วได้รูปที่พาดเหนือดวงตาเรียวรีสีน้ำตาลของปารวีย์ขยับเข้าหากัน เสียงของเธอคุ้นหูมาก คุ้นเหมือน…เขาเพิ่งจะได้ยินมันเมื่อสัปดาห์ก่อน
“นั่งก่อนแล้วค่อยคุยกันก็ได้ครับ”
ในฐานะแพทย์ ปารวีย์ผายมืออีกครั้งเพื่อให้เจ้าของร่างบางนั่งลงที่โซฟา ตาคมกริบมองทุกอิริยาบถของคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขารอจนเธอนั่งลงที่โซฟาเรียบร้อย
“คุณรู้จักผมแล้ว”
“ปละเปล่านะคะ ฉะฉันไม่รู้จักคุณค่ะ ไม่ได้รู้จักเลยสักนิด”
ปภาวรินทร์โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน เผลอกระโตกกระตากจนแทบจะหมดมาดนักแสดงมืออาชีพที่เคยสวมบทบาทผ่านละครมาหลายเรื่อง เป็นเพราะคนตรงหน้าคือพี่หมอบูมนั่นแหละเธอถึงได้เสียอาการมากขนาดนี้
“ผมหมายถึงผมเพิ่งแนะนำตัวไปเมื่อครู่ว่าผมชื่ออะไร”
“อะอ๋อค่ะหมอปารวีย์”
“คุณรู้จักผมแล้วแต่ผมยังไม่รู้จักคุณเลย”
ปารวีย์มองคนตรงหน้าถึงแม้เจ้าตัวจะยังคงสวมหมวกสวมแว่นตาสีดำและสวมหน้ากากอนามัยเอาไว้ด้วยความตั้งใจว่าเขาพร้อมที่จะรับฟังอีกฝ่ายไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
“เรียกฉันว่าปั้…เอ่อเรียกฉันว่าพี พีซีก็ได้ค่ะ”
“โอเคครับคุณพีซี”
ปารวีย์ขยับยิ้มสุภาพ และรอยยิ้มที่ปภาวรินทร์ไม่เคยได้รับก็ทำหญิงสาวหัวใจเต้นแรงขึ้นมา แบบนี้ค่อยคุ้มหน่อยที่อุตส่าห์ยอมปลอมตัวมาเป็นคนไข้ของพี่หมอบูม
“คุณพีซีมาหาผมเพราะว่าเอาตัวเองออกจากบทละครไม่ได้ใช่ไหมครับ”
“ใช่ ใช่ค่ะ”
“ช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ” ปารวีย์ยังจับจ้องสายตาอยู่ที่คู่สนทนาอย่างตั้งใจ เห็นท่าทางที่เอาแต่อึกอักคล้ายลังเลเขาจึงเกริ่นนำ “อย่างเช่น บทละครไหนที่กำลังรบกวนจิตใจของคุณอยู่ในตอนนี้”
เท่าที่เขารู้มา นักแสดงที่ผ่านการเรียนการแสดงมาจะมีวิธีการเอาตัวเองออกจากบทละคร แต่ก็มีหลายคนที่ยังคงติดกับคาแรคเตอร์นั้นแม้ว่างานแสดงจะจบลงไปแล้ว เรียกว่าเอาตัวเองออกจากบทบาทของตะวละครนั้นไม่ได้
“คือว่า…”
ปภาวรินทร์ยอมรับตามตรง เธอแค่ตั้งใจมาเจอหน้าพี่หมอบูมเท่านั้น ก็เจ้าตัวไม่ยอมกลับบ้านมาเป็นสัปดาห์แล้ว และที่สำคัญเธอก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเอาตัวเองออกจากบทละคร ไม่ได้มีเลยสักนิด การแสดงจบลงเธอก็กลับมาเป็นปภาวรินทร์คนเดิม ไม่ใช่ตัวละครที่เธอต้องสวมบทบาทก่อนหน้าสักหน่อย
“ว่ายังไงครับ”
ท่าทางที่พี่หมอหมอบูมยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูงตอนที่ถามกันและรอคอยฟังคำตอบจากเธออย่างตั้งใจส่งผลต่อหัวใจดวงน้อยของปภาวรินทร์เป็นอย่างมาก มันเต้นแรงเสียจนเธอได้ยินเสียงจังหวะการเต้นหัวใจของตัวเอง