“เฮอะ...ง่ายเนอะคุณนี่ไม่ได้นึกถึงจิตใจของเตี่ยกับม๊าคุณเลย”
“ทำไมจะไม่นึกถึงล่ะ คนที่ม๊าหาให้มาแต่งงานกับผม ผมกับเขาไม่มีทางไปกันรอด ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้แล้ว ผมจะไปทำลายอนาคตของผู้หญิงคนหนึ่งทำไม” ทัพไทเอ่ยจริงจัง และเมื่อได้ยินเหตุผลของชายหนุ่ม มุมมองที่เธอมองเขาเริ่มเปลี่ยนไป เพราะหากเป็นผู้ชายกักขฬะคนอื่นคงอยากจะฉวยโอกาสนี้ทันที แต่ทัพไทกลับเลือกที่จะปล่อยผู้หญิงคนนี้ไป นั่นก็แสดงว่าเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอคิดเท่าใดนัก
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะคิดแบบนี้ มันไม่ได้เข้ากับการกระทำของคุณสักนิดเลย”
“มีหลายอย่างที่คุณยังไม่รู้จักผม อย่าเพิ่งประเมินผมจากสิ่งที่คุณเห็นด้านเดียว หนี่งเดือนต่อจากนี้คุณอาจเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อผมเลยก็ได้”
"ฉันจะรอดูว่ามันจะมีวันนั้นมั้ย" สิ้นเสียงหวานของหญิงสาว ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ชายหนุ่มทำหน้าที่ขับรถไปพลางเหล่มองใบหน้าหวานที่สนใจเพียงถนนเบื้องหน้าเท่านั้น
หลังจากที่ฝ่าการจราจรที่แน่นหนา ในที่สุดทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงบ้านบดินทรวัชระ ซึ่งในสายตาของหญิงสาวมันไม่สมควรเรียกว่าบ้าน แต่ที่นี่เหมาะสมที่จะเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า เธอมองทางลาดยาวที่ชายหนุ่มพาขับรถผ่านเข้าไปในตัวบ้าน ก่อนที่จะต้องตกตะลึงในความงามของสถาปัตยกรรมในแบบยุโรปซึ่งถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างงดงาม
“ฉันกลัวน่ะคุณ ถอยกลับตอนนี้ยังทันมั้ย” เธอเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ความมั่นใจในคราแรกไม่รู้หายไปไหนหมด
“ไม่ทันละ ม๊าเตรียมอาหารรอแล้ว เลิกสั่นแล้วเล่นให้เนียนนะ เข้าใจมั้ย” ทัพไทแอบขบขันกับพฤติกรรมของหญิงสาว ตอนทำงานดูท่าเก่งเหลือเกินไม่เคยกลัวใคร แต่ตอนนี้ทำไมถึงทำท่าทางราวกับลูกนกหลงรัง
“คุณไม่บอกให้ฉันเตรียมตัวเลย แล้วนี่ถ้าฉันพลาดคุณจะไม่เอาฉันตายเลยหรือไง” ปานตะวันเสียงเขียวใส่ชายหนุ่ม
“เข้าไปได้แล้ว มัวแต่นั่งกลัวอยู่นี่ ม๊าผมไม่ใช่ยักษ์นะ ท่านไม่ดุหรอก แล้วกับเตี่ยก็ไม่ต้องกลัวนะท่านไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้หรอก” เขากล่าวจบก็คว้าข้อมือเล็กของหญิงสาวมั่น ก่อนจะจับจูงคนตัวเล็กที่ยังไม่หายจากการตื่นเต้นเข้าไปในบ้าน ซึ่งตลอดระยะทางที่เดินเข้าไป ชายหนุ่มก็ลอบมองหญิงสาวด้วยความขบขัน
จนกระทั่งเมื่อเข้าไปถึงภายในบ้าน ปานตะวันก็ต้องคลายกังวล เมื่อเธอได้รับการต้อนรับอย่างดี จากหญิงสูงวัยซึ่งใบหน้าของท่านมีแต่รอยยิ้ม มันทำให้เธอหายเครียดลงไปทันที ซึ่งหญิงสูงวัยท่านนี้ก็คือคุณทิพวรรณมารดาของชายหนุ่มนั่นเอง