เป็นประจำทุกเช้าวันเสาร์ ที่คุณากรและพาขวัญต้องกลับมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านของตัวเอง ต่างคนต่างแยกย้ายเพราะผู้ใหญ่ต่างสองฝ่ายต่างรับรู้ ว่าทั้งคู่แต่งงานกันเพราะอะไร ดังนั้นในเมื่อทั้งสองคนเสียสละความสุขส่วนตัว จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยถามเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
“สวัสดีค่ะป้าแอ้ม” เมื่อโผล่หน้าผ่านประตูบ้านเข้ามา ก็ได้ยินเสียงร่าเริงแจ่มใสของหลานสาวตัวน้อยๆ เอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือไหว้สวยงามตามที่มารดาและคุณยายสอนมา
“สวัสดีค่ะน้องแก้มใส คิดถึงหลานที่สุดเลย” พาขวัญย่อตัวนั่งลงในระดับเดียวกับหลานสาว เข้าไปหอมแก้มนุ่มนิ่มทั้งซ้ายและขวาจนพอใจ
“ชื่นใจป้าที่สุดเลยค่ะ”
“คุณป้าเหนื่อยไหมคะ วันนี้คุณแม่กับคุณยายช่วยกันเข้าครัวทำอาหารไว้รอป้าแอ้มตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยค่ะ” หนูน้อยช่างเจรจาเอ่ยบอกให้คุณป้าได้ฟัง
“จริงเหรอคะ งั้นเรารีบเข้าไปในครัวกันดีกว่าค่ะ อยากรู้จังว่าวันนี้คุณยายกับคุณแม่ทำให้กินกัน”
คุณป้าและคุณหลานจับมือกันเดินเข้าบ้าน ตรงดิ่งไปยังห้องครัว ก็เห็นมารดาและน้องสาวกำลังช่วยกันเตรียมอาหาร
“แม่สวัสดีค่ะ” นางพุดซ้อนหันมายิ้มให้บุตรสาวคนโต ในขณะที่มือกำลังผัดผักรวมกุ้งของโปรดลูกสาวคนโตให้ทาน
“สวัสดีจ้ะ นั่งก่อนสิลูก”
“หนูแก้ม มาเอาน้ำกับคุณแม่ไปให้ป้าแอ้มหน่อยสิคะ” อ้อม น้องสาวของแอ้มเอ่ยบอกบุตรสาว หนูน้อยก็ช่างน่ารักเดินไปรับน้ำเปล่าเย็นๆ มาส่งให้คุณป้าคนสวย
“ขอบคุณค่ะ”
“มันเป็นหน้าที่ของหนูอยู่แล้วค่ะ” หนูน้อยช่างพูดคุยเอ่ยออกมา พาให้ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข โดยเฉพาะพาขวัญที่รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้
เพราะพินัยกรรมนั้นแท้ๆ ที่ทำให้เธอต้องไปเล่นสงครามประสาทกับคุณากร แทนที่จะเป็นน้องสาวของเธอหรือพี่ชายของคุณากร เพราะทั้งคู่ต่างมีครอบครัวแล้วทั้งนั้น ผลกรรมและความบันเทิงเลยมาตกอยู่ที่เธอและเขา
การแต่งงานที่ปราศจากความรัก มีเพียงความใคร่เท่านั้นที่ทำให้เธอกับเขาอยู่กันมาได้นานนับปีแบบนี้
พาขวัญกล้าพูดได้เต็มปากว่าเธอกับคุณากรเข้ากันได้ดีมากในเรื่องเซ็กซ์ เรื่องอื่นก็อย่างที่เห็น กระทบกระทั่งแยกเขี้ยวใส่กัน ความเห็นไม่ร่องรอยกันสักอย่าง เธอคิดอย่าง เขาคิดอย่าง ความประสาทเลยมาเยือนแทบทุกนาที
โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้เธอแทบอยากกระโจนกัดคอชายหนุ่มทันทีที่รู้สาเหตุที่เขาไปลากตัวเธอออกมาจากตรีณรงค์ ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่าเขาหึงเธอ เพราะเขาได้พูดดับความคิดเธอไว้เสียก่อน
อย่าคิดว่าผมหึง หรือหวงคุณนะแอ้ม แต่ที่ผมไปลากคุณมาเพราะผมไม่อยากให้คนอื่นมองว่าผมโง่ ที่เมียตัวเองออกมาเที่ยวกับผู้ชายสองต่อสอง แม้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นเพื่อนของคุณก็ตาม
แม้เหตุผลจะฟังขึ้นพอสมควร แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่าเขาหึงเธอ แต่ก็ช่างมันเถอะ
“พี่แอ้มไม่คิดจะชวนพี่เขยอ้อมมาบ้านบ้างเหรอคะ นอกจากเทศกาลหรือวันสำคัญ” อ้อมหันมาถามพี่สาว
“ให้พี่ได้ห่างกับเขาบ้างเถอะอ้อม ให้สมองพี่พักบ้าง อยู่ด้วยกันทุกวันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง เส้นเลือดในสมองพี่แทบแตก”
“อยู่ด้วยกันมาเป็นปี ไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้กันบ้างเลยเหรอคะ” อ้อมถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย
คนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจะไม่มีการหวั่นไหวหรือมีความรู้สึกดีๆ ให้กันเลยหรือไง มันจะเป็นไปได้อย่างนั้นเหรอ
พาขวัญนั่งเงียบกับคำถามของน้องสาว ความรู้สึกดีๆ อย่างนั้นเหรอ?
ไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่มีต่อคุณากรจะเรียกว่ารู้สึกดีได้ไหม เธอรู้แค่ว่าเธอไม่ชอบเวลาที่เห็นเขาชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าเธอ ไม่พอใจที่เขาบอกว่าชอบคนนั้นคนนี้ ทั้งที่เธอยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ บางครั้งเธอก็อยากให้เขาพูดจาดีๆ กับเธอบ้าง ให้เขาดูแลเธอดีๆ เหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่นเขาทำกัน ไม่ใช่เอาแต่ตีหน้าขรึมแยกเขี้ยวใส่เป็นประจำ
ความรู้สึกพวกนี้เรียกว่าอะไรเธอก็ไม่แน่ใจ
ไม่ใช่แค่พาขวัญที่ไม่รู้ว่าความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อคู่ชีวิตนั้นเป็นเช่นไร คุณากรก็กำลังนั่งคิดอยู่เช่นกัน เมื่อถูกมารดาเอ่ยถามกลางวงรับประทานอาหารเช้าที่บ้าน
“ว่าไงคินณ์ ตกลงลูกชอบหนูแอ้มบ้างหรือยัง แม่มีลุ้นจะได้เห็นหน้าหลานไหม” เมื่อเห็นบุตรชายนั่งเงียบไปนาน นางกุหลาบจึงเอ่ยถามย้ำ
“ถ้าแม่อยากอุ้มหลาน ก็ลูกพี่คิมไงครับ มีตั้งสอง อุ้มกันจนพอใจ” ความพูดเย้าแหย่ไม่มีใครเกิน แม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่เว้น พาให้คิมหันต์และบิดาที่นั่งทานอาหารลอบยิ้มออกมา ผิดจากนางกุหลาบที่ค้อนขวับให้ลูกชายคนเล็กไปวงใหญ่
“ยอกย้อนแม่นะคะคุณลูกชาย”
“ก็จริงนี่ครับ ส่วนเรื่องความรู้สึกผมกับลูกสะใภ้ของคุณแม่ ผมตอบไม่ถูก รู้แต่ว่าตื่นขึ้นมาเจอหน้ากันทีไร มีเรื่องชวนให้ปวดหัวตลอดเวลา อย่างเมื่อวานก็เหมือนกัน น้องพลอยชมพูมาที่โรงแรมคุยเรื่องงาน ลูกสะใภ้คุณแม่ก็ไปพาลหาเรื่องเขา มันใช่ที่ไหนกัน ดีนะที่น้องพลอยชมพูไม่ถือสา”
“ดูเหมือนคินณ์จะปลื้มน้องพลอยชมพูจังเลยนะ” ผู้เป็นพ่ออย่างนายคมชาญเอ่ยถาม พาให้ลูกชายคนเล็กอมยิ้มตาแวววาวเป็นประกาย ชวนให้นางกุหลาบหมั่นไส้ยิ่งนัก
“ก็น้องเขาน่ารักนี่ครับ อ่อนหวาน พูดจาไพเราะน่าฟัง ไม่เหมือนลูกสะใภ้คุณพ่อ ขานั้นพูดมาทีแสบแก้วหูชะมัด เสียงนี่แว้ดๆ จนบางครั้งผมยังตกใจ” ทุกคนในโต๊ะอาหารพากันลอบยิ้มกับประโยคของบุตรชาย ที่เอ่ยถึงภรรยาที่แต่งงานอยู่กินด้วยกัน แม้ปากจะบอกว่าภรรยาไม่น่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็เผลอพูดชื่อออกมาให้ทุกคนฟังอยู่บ่อยๆ
แบบนี้จะเรียกว่าหลงภรรยาแบบไม่รู้ตัวได้ไหมนะ