“เฮ้อ...คุณกุลเนี่ยล่ะก็ ไม่ให้คนแก่ได้มีความหวังบ้างเลย ยังไงก็อย่านานนักนะคะ เดี๋ยวคุณท่านทั้งสองจะไม่มีแรงอุ้มหลานซะก่อน”
“โธ่ พ่อกับแม่ผมไม่ได้แก่ขนาดนั้นหรอกครับ ยังมีแรงอุ้มหลานแน่นอน อีกอย่างผมก็ตั้งใจว่าจะแต่งงานไม่เกินสามสิบห้าสามสิบหกนี่แหละ รออีกไม่นานหรอกนะครับ”
“ก็ขอให้จริงเถอะค่ะ”
สายใจมองค้อนนายน้อยของเธอแต่กุลวุฒิกลับหัวเราะเบาๆ ตอนนี้เขาเหมือนจะเริ่มเข้าใจเพื่อนรักคนหนึ่งที่เคยเกือบโดนจะจับคู่มาแล้วว่ารู้สึกอย่างไร คงเพราะอายุของพวกเขาขึ้นเลขสามมาแล้วความคาดหวังของบุพการีก็เลยมีมากขึ้น
ทว่าสำหรับเขาแล้ว เขาจะไม่ยอมแต่งงานเพื่อเอาใจพ่อแม่หรอก ถ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนไปจนวันตาย เขาขอแต่งกับคนที่เขาเลือกเองดีกว่า ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังหาเธอไม่เจอก็เถอะ
แต่เชื่อว่าสักวันเขาจะต้องได้พบใครสักคนที่ใช่อย่างแน่นอน...
หลายวันต่อมา
ปณิสราสวมชุดนักเรียน ม.ปลาย เพื่อไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงตามที่คุยกับป้าของเธอไว้และตั้งใจจะไปหาซื้อชุดนักศึกษาแถวหน้ามหาวิทยาลัย หญิงสาวถือซองเอกสารเดินออกไปตามทางเดินเพื่อมุ่งหน้าสู่ประตูรั้วคฤหาสน์เพื่อจะได้เรียกแท็กซี่ด้านนอก แต่รถเจ้าของบ้านก็แล่นผ่านเธอไปก่อนที่จะหยุดอยู่ด้านหน้า เมื่อเธอเดินไปใกล้เขาก็เลื่อนกระจกรถลง
“จะไปไหน?” คนถามมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพราะเขาไม่คุ้นเคยกับรูปลักษณ์ของเธอแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าเธอเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ส่วนเขาก็เป็น...
“หนูจะไปสมัครเรียนรามฯ ค่ะ วันนี้เค้ารับสมัครวันสุดท้ายแล้ว แต่หนูเพิ่งได้เอกสารจากโรงเรียนเดิมมาเมื่อวานค่ะ คืออันที่หนูมีอยู่มันลอยตามน้ำไปหมดแล้วหนูเลยต้องขอใหม่ค่ะ”
ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอจะต้องอธิบายเสียยืดยาวขนาดนี้ทั้งที่เขาแค่ถามจุดหมายปลายทางของเธอเท่านั้น
“แล้วจะไปยังไง”
“เดี๋ยวหนูจะเรียกแท็กซี่ไปค่ะ ตอนแรกจะนั่งรถเมล์ แต่ป้าบอกว่าให้นั่งแท็กซี่ดีกว่ากลัวหนูนั่งรถผิดสายแล้วจะหลงทางค่ะ”
เขาพลิกนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลาแล้วนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองเธออีกครั้ง
“ขึ้นรถสิเดี๋ยวฉันแวะไปส่ง”
“แต่คุณจะไปทำงานนี่คะ หนูไม่อยากทำให้คุณเสียเวลา”
“ไม่เสียเวลาหรอก มันเป็นทางผ่านน่ะ รีบขึ้นมาสิเดี๋ยวรถติด”
“เอ่อ...”
“ปีใหม่ ขึ้นมา” คนหน้าเข้มทำเสียงดุ เธอจึงได้รีบก้าวขึ้นไปบนรถเพราะกลัวจะทำเขาเสียเวลามากไปกว่านี้
“ขอบคุณนะคะ” เธอยกมือไหว้เขาหลังจากที่ขึ้นรถหรูมาแล้ว
“คาดเข็มขัดด้วย”
เขาหันมาบอกแต่คนที่ไม่เคยนั่งรถหรูก็ดูจะเงอะงะไปหมด เขาจึงได้เอี้ยวตัวเข้าไปใกล้แล้วช่วยเธอคาดเข็มขัดเสียเอง
ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างเพียงเสี้ยวลมหายใจ เล่นเอาหัวใจของสาวน้อยเต้นในจังหวะแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วริมฝีปากของเขาก็ทำให้เธอหวนรำลึกไปถึงค่ำคืนนั้นที่ริมฝีปากของเธอได้สัมผัสกับมันอย่างไม่ทันตั้งตัว และนั่นก็ทำให้เธอมักจะฝันถึงเขาบ่อยๆ แต่เขาคงจะลืมมันไปแล้ว
“ขอบคุณค่ะ” เธอยกมือไหว้เขาอีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะต้องขอบคุณผู้ใหญ่ แต่ทำไมเขาถึงได้หงุดหงิดกับการถูกไหว้นักก็ไม่รู้
“แค่พูดขอบคุณก็พอ ไม่ต้องยกมือไหว้บ่อยๆ หรอก ฉันไม่ใช่พระ”
บอกแค่นั้นเขาก็เหยียบคันเร่งในจังหวะกระชากเล่นเอาเธอใจหายใจคว่ำไปหมด นี่ถ้าไม่ได้คาดเข็มขัดไว้เธออาจจะหัวทิ่มไปแล้วก็ได้
ระหว่างทางที่ไป เขาไม่พูดไม่ถามอะไร ส่วนเธอก็เอาแต่เงียบเพราะกลัวจะทำให้เขาเสียสมาธิ จนกระทั่งรถติดอยู่ที่แยกไฟแดงเขาก็หันมามองคนที่นั่งตัวเกร็ง
“แผลที่มือหายดีแล้วเหรอ”
“ค่ะ หายดีแล้วค่ะ”
“เมื่อเช้าทำไมไม่ไปทำความสะอาดห้องฉัน”
“อ๋อ ป้าเค้าให้คนอื่นไปทำแทนเพราะรู้ว่าวันนี้หนูต้องไปสมัครเรียนค่ะ กลัวว่าถ้าไปช้าแล้วจะไม่ทัน แต่พรุ่งนี้หนูก็ไปทำเหมือนเดิมค่ะ”
“อืม แล้วนี่จะเรียนคณะอะไร”
“หนูจะเรียนนิติศาสตร์ค่ะ”
“เค้าว่านิติรามเรียนยากนะ ไหวเหรอ?”
“ไหวค่ะ หนูจะพยายามตั้งใจเรียน หนูอยากเป็นทนายความค่ะ”
“มีเป้าหมายในชีวิตก็ดี งั้นก็พยายามเข้าละกัน ฉันเอาใจช่วย”
ปณิสราหันมามองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ มือเล็กเกือบจะยกขึ้นมาไหว้แต่ก็นึกได้ว่าเขาไม่ชอบให้ไหว้บ่อยๆ
“ขอบคุณค่ะคุณกุล”
“ไปเรียนก็ตั้งใจเรียน ยังไงก็อย่าเพิ่งมีแฟนล่ะ คณะนิติคงจะมีผู้ชายเรียนเยอะ ถ้าเธอมีเป้าหมายก็ทำให้มันสำเร็จก่อน เรื่องรักเอาไว้ทีหลัง รู้รึเปล่า”
“หนูเพิ่งสิบเก้าเองค่ะ ไม่คิดเรื่องความรักตอนนี้หรอก อีกอย่าง...ต่อให้อยากมีก็คงไม่มีใครสนใจคนแบบหนูหรอกค่ะ”
“คนแบบเธอคือยังไง?” เขามองเธออย่างสงสัย
“ก็...คนที่ไม่เหลืออะไรไงคะ ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีบ้าน เรียนก็ยังไม่จบ ไม่มีอนาคตอะไรเลย”