“คิดอะไรในแง่ลบไปได้นะเรา อย่าไปโฟกัสสิ่งที่เธอขาดสิ คิดถึงสิ่งที่เธอมีเอาไว้ เธอยังมีป้าสาย มีที่อยู่อาศัย ยังมีโอกาสได้เรียนหนังสือ และที่สำคัญก็คือเธอยังมีลมหายใจอยู่ ขอแค่ยังหายใจ เธอก็มีสิทธิ์กำหนดอนาคตของเธอเอง อย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วนี่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเธอจะได้เป็นนักศึกษา ได้เรียนปริญญาตรี แถมยังมีงานทำระหว่างเรียน มีเงินเดือนให้ใช้ อยากรู้มั้ยว่าคนที่ไม่มีอนาคตจริงๆ เป็นแบบไหน”
“แบบไหนเหรอคะ”
“ก็แบบนั้นไง” เขาชี้ไปยังคนเร่ร่อนที่น่าจะเสียสติที่กำลังเดินคุ้ยขยะอย่างน่าเวทนาและนั่นก็ทำให้เธอคิดได้ ว่าเธอยังโชคดีกว่าใครอีกหลายคนบนโลกใบนี้อย่างที่เขาบอกจริงๆ
“ขอบคุณนะคะที่เตือนสติหนู หนู...รู้สึกอายจังเลยค่ะที่มัวแต่ทำตัวดราม่าจนลืมอะไรไปหลายอย่างเลย”
“คิดได้ก็ดีแล้ว” เขาบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันไปสนใจท้องถนนเบื้องหน้าอีกครั้งเพราะได้สัญญาณไฟเขียวแล้ว
แต่ปณิสรายังคงเอาแต่มองเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั้นอย่างซาบซึ้งใจ เธอก็ไม่รู้หรอกว่าตัวตนของเขาเป็นคนยังไง แต่สำหรับเธอตอนนี้ กุลวุฒิคือผู้ชายที่มีจิตใจดีมาก ทั้งที่เขาเป็นเจ้านาย ไม่จำเป็นต้องมาทำดีหรือปลอบโยนเธอ แต่เขากลับคอยให้กำลังใจเธอเสมอและนั่นก็ทำให้เธอมีพลังที่จะสู้กับวันข้างหน้ามากขึ้น แม้จะยังไม่รู้ว่ามันจะมีเรื่องราวดีๆ หรือเลวร้ายแค่ไหนรออยู่
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เธอหันไปบอกเขาเมื่อรถหรูมาจอดที่หน้าอาคารรับสมัครนักศึกษาใหม่แล้ว
“อืม รีบลงไปสิ สมัครให้เรียบร้อยจะได้เคลียร์ไปอีกเรื่องนึง”
“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับแล้วก้าวลงไปจากรถเมื่อเห็นว่ารถเขาเคลื่อนออกไปแล้วเธอก็เดินเข้าไปด้านในซึ่งมีคนมาสมัครจำนวนมาก
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารเรียบร้อยเธอก็ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงในคณะนิติศาสตร์อย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งมหาวิทยาลัยจะมีการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่และเปิดภาคเรียนในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้านี้
หญิงสาวก้าวไปตามทางออกสู่ถนนใหญ่เพื่อไปเลือกซื้อชุดนักศึกษารวมถึงเข็มขัด กระดุมและของอื่นๆ ที่จำเป็นจนครบ จากนั้นก็เรียกแท็กซี่กลับบ้านเพื่อจะได้นำชุดที่ได้มาไปซักเตรียมไว้ และชีวิตใหม่ของเธอก็ได้เริ่มขึ้นนับจากวันนั้นเป็นต้นมา
หกเดือนต่อมา...
คืนนี้กุลวุฒิโทรมาที่บ้านบอกว่าเขาจะพาเพื่อนๆ มาดื่มกินกันที่นี่ ปณิสราจึงไปช่วยป้ากับสาวใช้คนอื่นๆ เตรียมกับแกล้มและเครื่องดื่มแบบฉุกละหุกเพราะเขาโทรมากะทันหันไม่ได้บอกล่วงหน้า และเพราะก่อนหน้านั้นเธอยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้ก็เลยยังอยู่ในชุดนักศึกษา ซึ่งเมื่อเธอออกไปเสิร์ฟอาหารแขกของเขาก็เลยมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ และเต็มไปด้วยความสงสัย
“นี่มึงแอบซุกหญิงไว้แล้วไม่บอกเพื่อนเหรอวะไอ้กุล สวยด้วยนี่หว่า ชื่ออะไรวะ” อาทิตย์ หรือ ซัน เจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถามขึ้นทันทีเมื่อสาวน้อยในชุดนักศึกษาก้าวออกไปจากห้องนั้นแล้วพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน
“ชื่อปีใหม่ เป็นหลานหัวหน้าแม่บ้านกูเอง เห็นว่าพ่อแม่ตายหมดไม่มีที่พึ่ง ป้าเค้าก็เลยขอพามาทำงานที่นี่ด้วย กูก็เลยรับไว้เห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรน่ะ” กุลวุฒิบอกยิ้มๆ
“แหม มึงน่ะไม่เสียหายหรอก แต่กูกลัวว่าน้องเค้าจะเสียหายเข้าสักวันน่ะสิ” อาทิตย์แกล้งเย้า
“กูไม่ใช่สมภารจะได้กินไก่วัด มึงเลิกคิดอกุศลเถอะ เด็กมันเพิ่งสิบเก้าเองและกูไม่กินเด็ก”
“อ้อ แปลว่าถ้าอายุมากกว่านี้ก็ไม่แน่สินะ” คราวนี้ จิณณ์ ทายาทธุรกิจจำหน่ายเบียร์และน้ำดื่มบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นคนพูดบ้าง
“พวกมึงก็ว่าไป เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย”
“ก็เห็นเป็นไอ้คนหื่นคนหนึ่งนี่แหละเพื่อนรัก” อาทิตย์บอกเลยได้เห็นดารภาหลุดขำออกมา
“นี่น้องดาวอย่าไปเชื่อไอ้ซันมันนะครับ คนอย่างพี่กุลเนี่ยไม่ใช่ไอ้หื่นอย่างที่มันว่าหรอก”
“แต่ดาวว่าน้องเค้าก็น่ารักดีนะคะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเนื้อคู่ของพี่กุลแบบในนิยายไงคะ ความรักของเจ้าของค่ายมวยสุดโหดกับนักศึกษาสาวที่มีชีวิตรันทด ฟังดูโรแมนติกดีออกค่ะ” ดารภา หรือ ดาว แฟนสาวของจิณณ์บอกพร้อมกับแววตาเพ้อฝันอย่างเด็กสาวทั่วไป
“อ้าว น้องดาวก็ไปคล้อยตามไอ้ซันมัน พี่บอกแล้วไงว่าไม่นิยมบริโภคเด็กน่ะ” กุลวุฒิมองค้อนว่าที่เพื่อนสะใภ้
“แต่เด็กก็ต้องมีวันโตนะคะ ไม่มีใครอายุสิบเก้าไปทุกปีหรอกค่ะ ปีหน้าก็ยี่สิบ ปีถัดไปก็ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง ยี่สิบสาม แล้วก็...”
“พอเลยครับ พี่ว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ นี่เรามาดื่มฉลองให้น้องดาวกับไอ้จิณณ์มันนะ ไม่ใช่มาวิเคราะห์เรื่องของพี่ มาๆ ดื่มกันดีกว่า”
แล้วกุลวุฒิก็ชวนคุยเรื่องงานแต่งของว่าที่บ่าวสาว จากนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องสาวใช้หน้าใสอีก กระทั่งเวลาล่วงเข้าเที่ยงคืน ดารภาก็ขอตัวไปนอนก่อนเพราะง่วงเต็มที อีกทั้งสามหนุ่มก็ดูจะยังไม่มีใครยอมแพ้ใครคิดว่ากว่าจะยอมแยกย้ายกันคงอีกหลายชั่วโมง