เทียนหรานเดินไปมาคิดหาวิธีที่จะจัดการกับอีกฝ่าย นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วทางนั้นยังคงใช้ลูกไฟกำจัดพวกเขาอยู่เลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมีหวังสูญเสียไพร่พลเสียเปล่าแน่ อีกทั้งดูท่ามือธนูจงใจที่จะสังหารเขาตลอดเวลา ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน ราวกับพึ่งรู้บางสิ่งมาอย่างนั้นแหละ
“ไห่เฉิงเอาแผนผังเมืองนี้มาให้ข้าดูอีกที”
เขากางแผนที่่ออกดูอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มกระหยิ่มใจ
“เจ้าไปกับข้า คืนนี้จะต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ที่บัญชาการในเมืองเป็นใคร รวมถึงมือธนูที่หมายจะเอาชีวิตข้านั้นอีก หากมิมีเสื้อเกราะตะข่ายนี้ข้าคงตายไปแล้ว”
ที่เขาเอ่ยเช่นนี้ก้เพราะอีกฝ่ายยิงลูกศรมาปักลงกลางอกถึงสองครา ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน หากมิมีสิ่งนี้ขวางกั้นเขาคงตายไปแล้วเมื่อสองวันก่อน แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้บนร่างกายเกิดรอยแดงเป็นจ้ำอยู่
“ท่านอ๋องจะแอบเข้าไปจริงหรือพะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาคมเหลือบมองคนสนิทเล็กน้อย จนทำให้ไห่เฉิงและหลู่ถงถึงกับยิ้มแห้งออกมา เพราะเพียงอีกฝ่ายมองก็พอจะเดาได้แล้วว่าอ๋องผู้นี้คิดจะทำสิ่งใด หลังจากตั้งค่ายเทียนหรานก็กลับมายืนที่จุดเดิม
นัยน์ตาคมหรี่มองความว่างเปล่าบนฝั่งกำแพง มันเงียบเหงาราวกับเป็นเมืองร้างเสียอย่างนั้น ทำให้อ๋องหนุ่มผู้รบมาทั่วทิศอดที่จะแปลกใจมิได้ เพราะมิเคยพบกับศัตรูที่มีกลยุทธ์เช่นนี้
ยิ่งขยับไพร่พลก็ดูเหมือนจะเข้าทางอีกฝ่าย จนยามนี้ทหารบาดเจ็บกันนับหมื่น แต่แปลกที่การสู้รบหนักหน่วงเพียงนี้ แต่กลับมิได้มีคนล้มตายมากอย่างที่ควรจะเป็น และอีกอย่างเขาอยากรู้ว่ามือธนูผู้นี้เป็นผู้ใดกัน ไยจึงมากฝีมือเช่นนี้ และยังดูเหมือนหมายจะเอาชีวิตแค่เขาเพียงผู้เดียว จนเทียนหรานอดคิดมิได้ว่าคงต้องการกำจัดเขาเพื่อยุติสงครามในคราเดียวเป็นแน่
ยามซวี (19:00-20:59) บุรุษหนุ่มร่างสูงในอาภรณ์สีเทาปนเปื้อนซ้ำยังมีรอยปะขาดราวกับขอทานมิปาน ทั้งสองกำลังเดินเข้าไปยังพระอารามซึ่งมันอยู่ติดกับเชิงเขาทางทิศเหนือของเมือง เส้นทางนี้เป็นของพรานล่าสัตว์ป่าใช้เข้าออกในยามค่ำคืน ก่อนจะทำศึกกับต่างแคว้นเทียนหรานมักจะศึกษาดูแผนผังของอีกฝ่ายเสียก่อนเสมอ
“ดูเงียบเกินไปที่จะเป็นเมืองเหลียงเหอนะพะย่ะค่ะ ราวกับผู้คนอพยพไปหมดแล้วอย่างนั้น”
ไห่เฉิงเอ่ยขึ้น ยามนี้เขาและผู้เป็นนายมีใบหน้าเปรอะเปื้อนผมเผ้ายุ่งเหยิง หลายคราที่อ๋องผู้นี้มักทำเรื่องเช่นนี้ด้วยตนเอง เพราะนี่คือกลศึกที่ทำให้เขาชนะคู่ต่อสู้ได้ทุกครั้ง นัยน์ตาคมยังคงมองหาผู้ที่อยู่บนกำแพง คราแรกเขาคิดว่าในเมืองมิมีทหาร แต่ความเป็นจริงทุกนายนั้นเฝ้ายามตามจุดต่างๆ แต่ที่น่าแปลกคือชาวบ้านแทบไม่มีเดินให้เห็นเลย เพราะมันต่างจากบ้านเมืองตน
“ผู้คนคงอพยพไปหมดแล้วพะย่ะค่ะ”
“หรือไม่ก็คงจะเข้านอนไปแล้ว”
เสียงทุ้มเอ่ยกับคนของตน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังซุ่มดูอยู่ในตรอก เพราะมีทหารเดินเวรยามอยู่ตลอด
“ด้านในนี้ก็มีทหารมากพอดูนะพะย่ะค่ะ แต่ไยถึงปล่อยให้ทัพของเราเดินทางมาถึงประตูเมืองได้ โดยมิคิดจะตั้งรับด้านนอกเลยสักนิด”
ไห่เฉิงยังคงเอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัย หากแต่ผู้เป็นนายนั้นกลับนิ่งเฉย ในยามนี้เทียนหรานกำลังสอดส่ายสายไปยังคนผู้หนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงชาวเมืองทั่วไป แต่เหตุใดถึงออกมาเดินในยามค่ำคืนเช่นนี้คนเดียว
อีกทั้งทหารเหล่านี้ก็มิได้เอ่ยถามอย่างที่ควรจะเป็น เขายังคงนิ่งมองอยู่เช่นนั้นจนอีกฝ่ายหายเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกำแพงเมืองนัก ด้วยท่าทางน่าสงสัยจึงอดมิได้ที่จะตามไปสังเกตดู
เทียนหรานหันมาพยักหน้ากับคนของเขา ก่อนจะก้าวเดินออกจากมุมตรอกทำทีเดินตามคนผู้นั้นไป ทั้งคู่หยุดอยู่ข้างหน้าต่างของเรือนหวังจะสืบข่าว แต่สิ่งที่ได้ยินจากด้านในก็ทำให้เขารู้ว่าคิดผิด เพราะมีเพียงเสียงของหนุ่มสาวกำลังพรอดรักกันเท่านั้น
“คงเป็นหนุ่มสาวที่ยังมิได้อพยพออกจากเมืองขอรับนายท่าน ถึงได้แอบมาหากันที่นี่”
ไห่เฉิงเอ่ยก่อนจะยิ้มเจื่อนส่งให้ผู้เป็นนาย พร้อมกับเดินตามคนที่ตนเรียกนายท่าน ยามที่อยู่ต่างถิ่นเช่นนี้ แก้มสากนูนขึ้นด้วยความโกรธ เพราะมิคิดว่าตนจะจับสังเกตผิดเช่นนี้ ร่างสูงก้าวออกจากบริเวณนั้นเพื่อตรงไปยังประตูเมือง เพื่อดูความแน่นหนาของมัน
“หากมิมีทหารรอบนอกแล้ว เช่นนี้เราก็คงบุกตีเมืองมิยากนะพะย่ะค่ะ เวรยามก็มิได้มีมากอย่างที่คิดเลยสักนิด ดูท่าคงมีแค่กลยุทธ์ปกป้องเมืองเท่านั้น”
“อย่าประมาทเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสามเดือนก่อนแคว้นเหลียงชนะศึกมาแล้ว ทั้งที่ฝ่ายนั้นก็มีไพร่พลจำนวนมากอยู่ นี่อาจเป็นแผนที่พวกมันวางเอาไว้ก็ได้”
เสียงทุ้มเอ่ยกับคนของตน เขาทั้งคู่เดินลัดเลาะออกมาจากด้านหน้าประตูเพื่อสำรวจภายในเมือง จึงทำให้รู้ว่าชาวเมืองนั้นอพยพไปหมดแล้ว ด้านในบ้านเรือนยามนี้มีเพียงทหารที่พำนักอยู่ มันช่างแปลกใหม่สำหรับผู้ที่กระหายการทำศึกอย่างอ๋องเทียนหรานเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้าเป็นใคร ไยมืดค่ำถึงยังมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ มิรู้หรือว่ายามนี้กำลังเกิดสงคราม”
เสียงจากด้านหลังทำเอาทั้งคู่ต่างก็สะดุ้งตกใจ เพราะอีกฝ่ายมาแบบเงียบเชียบจนมิทันได้สังเกตุเห็น
“เอ่อ ใต้เท้าข้าสองคนพึ่งเดินทางมาถึงเมืองนี้ มิเห็นได้ยินข่าวว่ามีการสู้รบเลยขอรับ”
ไห่เฉิงทำทีตอบออกไป พร้อมกับชูห่อผ้าให้ดู
“เจ้าจะบอกว่ามิรู้ได้เช่นไรในเมื่อมิมีชาวบ้านอยู่ที่นี่เลย อีกทั้งค่ายของแคว้นตงเยี่ยนก็อยู่นอกประตู พวกเจ้าเป็นใครกันแน่หรือเป็นไส้ศึกจากฝ่ายนั้น”
เมื่อมิอาจเชื่อใจคนแปลกหน้า หาญสวี่จึงเป่าปากเรียกคนของตนออกมา เพียงเท่านั้นก็ปรากฏพลธนูและทหารนับสิบ ซึ่งมิรู้ว่ามาจากที่ใดบ้าง เทียนหรานขยับตัวเข้ามากอดไห่เฉิงเอาไว้ราวกับตื่นกลัวหนักหนา
“อาเฉิง คนมากข้ากลัว”
เสียงสั่นเทาถูกเอ่ยขึ้นราวกับคนเอ่ยคิดเช่นนั้นจริงๆ ไห่เฉิงรู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นนายหมายถึงสิ่งใด เขาหันกลับมาปลอบประโลมอีกฝ่ายพร้อมกับบอกกล่าวอย่างอ่อนโยน
“มิต้องกลัวพี่หราน ใต้เท้าเพียงแต่เข้าใจผิดเท่านั้น”
เขาลูบมือตามแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบโยน ราวกับสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นนี้คือเรื่องจริง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับกลุ่มคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
“ใต้เท้าข้ากับพี่ชายเพียงผ่านทางมาเท่านั้น”
หาญสวี่มองคนทั้งคู่พร้อมกับหรี่ตาลง ท่าทางตื่นกลัวของคนแปลกหน้า ทำให้เขาจำต้องสั่งให้ทหารวางดาบลง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังกลุ่มทหาร
“มีกระไรกันหรือ ไยพวกเจ้าถึงมิกลับไปทำหน้าที่”
“มีชาวบ้านน่าสงสัยเดินไปทั่วเมืองขอรับท่านแม่ทัพ”
หาญสวี่เอ่ยบอก ก่อนจะหันกลับมายังสองพี่น้องที่ยังคงยืนกอดกันอยู่ เทียนหรานยังคงมุดหน้าอยู่บนไหล่ของไห่เฉิง เพื่อแสดงความตื่นกลัวให้เห็น
“ปล่อยให้ชาวบ้านมาเดินเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าสองคนออกไปจากเมืองเสีย หากฝ่ายนั้นบุกเข้ามาได้อย่าคิดว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตรอด เพราะผู้ที่นำศึกมานี้มิเคยปราณีผู้ใดแม้กระทั่งเด็ก อย่าเอาชีวิตมาทิ้งเสียดีกว่า”
แม่ทัพใหญ่เอ่ยเพียงเท่านั้นก็บังคับม้าไปยังประตูเมือง โดยมีทหารติดตามไป
และแยกย้ายไปตามจุดต่างๆ เช่นเดิม เหลือเพียงหาญสวี่เท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่กับคนสนิทอีกคนที่ออกเดินตรวจตราในเมือง แม้จะมิต้องทำเช่นนี้เพราะเขาก็คือหนึ่งในผู้บังคับบัญชา
“ออกไปจากเมืองเสียหากเจ้าสองคนยังอยากมีชีวิตต่อ เป็นเช่นที่ท่านแม่ทัพเอ่ย ผู้ที่นำทัพมานั้นโหดเหี้ยมเย็นชาไร้ปราณีไม่ว่ากับเด็กหรือสตรีก็ฆ่ามิเคยเว้น คนเช่นนี้หากสิ้นใจไปเสียแผ่นดินทั่วหล้าคงสงบสุขลงมิน้อย”
“นั่นสิขอรับใต้เท้าหาญ ข้าน้อยยังนึกเสียดายที่นายน้อยซูมิยอมสังหารมันให้ตายเสียตั้งแต่ตอนที่ยกทัพมา หากเป็นเช่นนั้นทหารทั้งฝ่ายเราและฝั่งนั้นคงมิต้องล้มตายจนลูกเด็กเล็กแดงกลายเป็นกำพร้า”
“เจ้าคิดว่าคนผู้นั้นตายไปแล้วจะมิมีคนเช่นนี้อีกหรือ ในเมื่อผู้บงการที่แท้จริงคือฮ่องเต้ของแคว้นตงเยี่ยน”
หาญสวี่่เอ่ยบอกกับคนของตน ในขณะที่กำลังหันหลังให้สองพี่น้องที่ยังคงตื่นกลัวอยู่ โดยที่มิทันได้สังเกตเห็นสายตาของทั้งคู่ หันกลับมามองตนที่เดินพ้นออกมาแล้ว
“นายท่านดูเหมือนพวกมันจะวางแผนรับมือไว้เป็นอย่างดีเลยนะขอรับ เรามิอาจประมาทพวกมันได้แล้ว”
เทียนหรานขยับตัวออกจากคนสนิท นัยน์ตาคมมองขึ้นด้านบนอย่างระวังตัว เพราะเขาได้ยินเสียงกระพือปีกของสัตว์ซึ่งน่าจะเป็นของนกอินทรีย์ตัวเมื่อหัวค่ำเป็นแน่
“เราจะออกไปเลยหรือไม่ขอรับ”
“เมื่อพวกมันมิสงสัยก็อยู่สืบให้รู้ว่านายน้อยซูเป็นใคร ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าคนผู้นี้ใช่มือธนูหรือไม่”
เทียนหรานเอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาคมนี้เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ในยามที่ถูกกล่าวถึงราวกับว่าทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริง เขามิเคยเข่นฆ่าผู้ที่ยอมจำนนแล้วแม้แต่น้อย เรื่องราวของสกุลหลงในเผ่าทะเลทรายเมื่อสี่ปีก่อน
ทำให้อ๋องผู้นี้เลื่องชื่อในความเหี้ยมโหดมากขึ้น ทั้งที่เรื่องราวมิได้เลวร้ายถึงเพียงนั้น หากครอบครัวนี้มิคิดกบฎต่อราชวงศ์ก็มิตายอย่างอนาถ แต่ก็นั่นแหละอย่างไรเสียเขาก็มิคิดจะปฎิเสธเรื่องราวต่างๆ เพราะต้องการให้ผู้คนกล่าวถึงเช่นนี้อยู่แล้ว
ทั้งสองยังคงทำทีเดินหาที่พัก แม้จะดึกดื่นมากแล้ว ร่างสูงในอาภรณ์ขาดรุ่ยซ้ำยังมีรอยปะเดินประคองกันหาที่หลบภัย แม้จะถูกสั่งให้ออกจากเมืองไปแล้วก็ตาม ทั้งคู่ยังวนเวียนอยู่ที่เดิมเพื่อให้ใครบางคนมาเห็น สุดท้ายหาญสวี่ก็มาพบเข้าอีกครั้ง จึงพาไปที่เรือนรับรองซึ่งเป็นที่พักของตนและผู้เป็นนาย ซึ่งบัดนี้ได้เข้านอนไปแล้ว
“หากเจ้าสองพี่น้องยังมิมีที่ไปก็พักอยู่ที่นี่เสียก่อน เอาไว้รุ่งสางค่อยว่ากันอีกที ถ้าออกไปเดินอยู่เช่นนี้คงถูกคนของข้าเข้าใจผิดอีกเป็นแน่”
“ขอบคุณใต้เท้าขอรับ ท่านเป็นคนดีเหลือเกิน”
ไห่เฉิงคำนับผู้ที่พาตนเข้ามาในเรือนใหญ่หลังนี้ ภายในห้องแม้จะมิได้ดูดีแต่ก็ยังมีเตียงให้นอน เทียนหรานยังคงทำทีเป็นหวาดกลัวเช่นเคย จนหาญสวี่อดที่จะเอ่ยถามถึงความเป็นมาเป็นไปของสองพี่น้องนี้มิได้
“เจ้าสองคนมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วจะไปที่ใดกัน”
“เราสองพี่น้องจะไปหาญาติที่แคว้นตงเยี่ยนขอรับ ข้าจะไปทำงานประมงที่นั่น เห็นว่ารายได้ดีมากขอรับ”
ไห่เฉิงตอบพร้อมกับนั่งลูบมือพี่ชายปลอมๆ ของตนไปด้วย เพราะท่านอ๋องยังคงทำทีตื่นกลัวอีกฝ่ายอยู่
“แน่ใจหรือว่าเจ้าจะมีรายได้ ข้ากลัวเสียแต่จะถูกใช้งานจนตายมากกว่า คนในแคว้นเราไปที่นั่นมิมีผู้ใดได้กลับมาสักคน ผู้ที่เอ่ยบอกเรื่องนี้กับเจ้าก็คงเป็นคนของแคว้นตงเยี่ยนนั่นแหละ พวกมันใช้กลอุบายเอาคนต่างแคว้นไปเป็นทาสของตน เชื่อข้าเถอะกลับไปทำไร่นาเช่นเดิมดีกว่า อย่าเอาชีวิตไปทิ้งที่แคว้นอื่นเลย”
หาญสวี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับทอดถอนใจ เพราะเขาให้คนไปสืบมาแล้วว่าการทำประมงในแคว้นตงเยี่ยนนั้นมิได้เป็นประโยชน์กับผู้คนต่างแคว้นเลย หากทำสิ่งใดมิถูกใจก็จับโยนให้ปลายักษ์ในทะเลกินราวกับมิใช่มนุษย์เหมือนกัน
แม้จะเตือนผู้คนเหล่านั้น แต่อีกฝ่ายก็เอาเงินทองมาหลอกล่อจนเกิดความโลภเดินทางไป แต่ก็มิเคยเห็นว่าจะมีผู้ใดที่ได้กลับมาอีก
“เชื่อข้าเถอะ หากคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อก็จงกลับไปบ้านเกิดของเจ้าเสีย ในยามนี้มีศึกสงคามคิดหรือว่าพวกมันจะปราณีคนต่างถิ่น ยิ่งมาจากพื้นที่สู้รบด้วยแล้ว มีแต่จะพาพี่ชายเจ้าไปตายเสียเปล่า”
# ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ