4. นายน้อยซู

2379 คำ
เทียนหรานนิ่งฟังคำของอีกฝ่ายที่เอ่ยถึงตนและฮ่องเต้ ราวกับเคียดแค้นเสียเต็มประดา แต่มันก็มิแปลกนักหากเขาออกจากจวนเพื่อพบปะกับชาวบ้าน เพราะหากเป็นเช่นนั้นคงได้ยินคนก่นด่าตนเองสนุกปากเช่นนี้แหละ “ใต้เท้าสิ่งที่เอ่ยมาคือเรื่องจริงหรือขอรับ” “ข้าโกหกเจ้ามีประโยชย์อันใดเช่นนั้นหรือ ต่างแคว้นเขารู้กันทั้งนั้น คงมีแต่ฮ่องเต้และอ๋องโฉดที่มิรับรู้ความเดือดร้อนของราษฎร จะทำศึกเอาบ้านเมืองผู้อื่นไปทำไม ในเมื่อบ้านเมืองตนยังมิอาจดูแลให้สงบสุขได้ เจ้าคงมิรู้ว่าคนแคว้นตงเยี่ยนหนีออกจากแคว้นตนเป็นจำนวนมาก ก็เพราะกษัตริย์เอาแต่รีดไถราษฎร ตนเองมีความสุขแต่มิเคยมองความเป็นอยู่ของชาวเมือง” หาญสวี่ยังคงเอ่ยถ้อยคำหยามหมิ่นอีกฝ่ายซึ่งหน้า จนเทียนหรานนั้นเริ่มกำหมัดที่มันอยู่ใต้โต๊ะ เพื่อควบคุมอารมณ์ มิเคยมีผู้ใดเอ่ยถึงตนและหลานชายเช่นนี้เลย แต่อีกความคิดเขากำลังนึกถึงคำพูดของอีกฝ่าย เพราะมันจริงที่พวกเขามิเคยได้รับเรื่องร้องทุกข์ จึงมิเคยได้ยินว่าความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นเช่นไร “มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ ชาวบ้านอพยพย้ายหนีออกจากแคว้น เพื่อไปอยู่ที่อื่นที่มิใช่บ้านเกิดของตน” เทียนหรานนึกคิดในใจถึงสิ่งที่หาญสวี่เอ่ย “ไยใต้เท้าถึงรู้เรื่องนี้ขอรับในเมื่ออยู่กันต่างแคว้นเช่นนี้ หรือมีคนของท่านอยู่ที่นั่น” “หึ! เจ้านี่ถามซอกแซกดีเสียจริง ดึกมากแล้วข้าจะไปนอนเสียที มิแน่ว่าแคว้นตงเยี่ยนอาจจะยกทัพตีในรุ่งสางก็เป็นได้ เช้ามาเจ้าก็จงรีบพาพี่ชายออกไปจากเมืองเสีย” หาญสวี่เอ่ยก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไป ซึ่งไห่เฉิงก็ได้ลุกมาส่งและปิดประตู เมื่อเห็นเช่นนั้นคนที่นั่งตัวสั่นเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะเดินไปแง้มหน้าต่างเพื่อสำรวจดูภายนอก ด้วยใบหน้าที่ต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ “ท่านอ๋องจะให้ทำเช่นใดต่อพะย่ะค่” “เจ้าคิดว่าจะหาทางส่งข่าวให้คนของเราได้หรือไม่” “หากจะส่งข่าวทางนกคงมิอาจรอดพ้นสายตาทหารแน่พะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมจะออกไปเอง แต่คงกลับมาอีกมิได้เป็นแน่” “ดี สั่งคนของเราอย่าพึ่งบุก ข้าต้องการรู้ว่าผู้ใดเป็นคนยิงธนู อีกทั้งแผนรับมือนี้เป็นเช่นไร หากสิบวันนี้ข้ายังมิออกไป ค่อยนำทหารบุกเข้ามาโจมตีอย่าได้ลังเล แต่ก่อนนั้นย้ายค่ายให้ห่างออกไปสิบลี้ (= 5 กิโลเมตร) ” “ท่านอ๋องจะอยู่ที่นี่ผู้เดียวหรือพะย่ะค่ะ” “ข้าอยู่คนเดียวน่าจะง่ายกว่า คนสติปัญญาเช่นข้าคงมิมีผู้ใดสงสัย หรือเจ้าเห็นเป็นเช่นไร” เทียนหรานหันมาถามคนสนิทของตนที่มีท่าทางกังวล แต่พอได้ฟังคำพูดของอีกฝ่ายเขาก็สิ้นอารมณ์ที่จะเอ่ยต่อ “กระหม่อมมิคิดว่าท่านอ๋องจะคิดทำเรื่องเช่นนี้ได้ คราแรกเกือบจะมิบรรลุถึงพระประสงค์ด้วยซ้ำ ดีที่กระหม่อมหัวไวเลยตามน้ำได้ทัน” ไห่เฉิงเอ่ยชมผู้เป็นนายพร้อมกับชมตนเองไปด้วย ทำให้เขาได้เจอกับสายตาไร้ซึ่งอารมณ์ขันของอีกฝ่าย จึงจำต้องนิ่งไปพร้อมกับยิ้มแห้งออกมา “รีบไปเถอะยามนี้พวกมันคงจะเข้านอนกันแล้ว ฟังดูคนผู้นั้นเอ่ยแล้วคงคิดว่าเราจะบุกในรุ่งสางเป็นแน่” “เช่นนั้นกระหม่อมทูนลา ท่านอ๋องรักษาตัวด้วยนะพะย่ะค่ะ หากเกิดสิ่งใดขึ้นให้รีบส่งสัญญาณเลยนะพะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงส่งพลุให้กับผู้เป็นนาย ก่อนจะออกจากเรือนด้วยวิชาตัวเบาที่พอมีมาจากการฝึกร่วมกับเทียนหราน นัยน์ตาคมจ้องมองตามร่างของคนสนิทที่พ้นกำแพงเรือนไปอย่างหมดห่วง เพราะเขาคิดว่าอย่างไรไห่เฉิงคงเอาตัวรอดได้ไม่ยากนัก เทียนหรานจึงเดินกลับมายังเตียงก่อนจะเอนตัวลงนอน ในใจยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่หาญสวี่เอ่ย แต่มันก็เพียงแค่การนึกถึง เพราะอำนาจเท่านั้นที่เขาต้องการ ความกระหายอยากในการทำสงครามมันมีมากจนมิมีผู้ใดกล้าขัด แม้จะได้ยินเรื่องราวจริงเท็จมากมายเกี่ยวกับตนเอง เขาก็คิดว่ามิจำเป็นต้องแก้ตัว บุรุษหนุ่มนึกถึงตรงนี้ก็กระหยิ่มใจ ก่อนจะหลับไปในที่สุด เช้าของวันเสียงพูดคุยด้านนอกก็ดังขึ้น ร่างสูงเดินออกมาส่องดูด้านนอกก็ได้เห็นว่าในเรือนนั้นมีคนอาศัยอยู่มิน้อย เพราะบ่าวรับใช้เดินไปมาราวกับมีคนสำคัญอาศัยอยู่ ทั้งที่ควรจะอพยพออกไปแล้ว นัยน์ตาคมมองไปเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดกับบุรุษชุดขาวสะอาดตา ผมยาวสลวยถูกมัดรวบไว้แล้วปล่อยยาวลงมาน่ามอง คราแรกเขาคิดเช่นนั้นเพราะอีกฝ่ายแต่งกายรัดกุมเป็นอย่างมาก แต่พอดูรูปร่างที่มันบอบบางตัวเล็ก และยังมีส่วนโค้งเว้าทั้งช่วงเอวและช่วงเนินอกที่พึ่งได้เห็นชัดๆ เพราะอีกฝ่ายพึ่งจะหันมาหลังจากที่ยืนหันหลังอยู่นาน ทำให้รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือสตรี “สตรีหรอกหรือ หึ! ปิดหน้าตาเอาไว้เช่นนี้อัปลักษณ์หรือมิอยากให้ผู้ใดเห็นกันล่ะแม่นางน้อย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากที่แอบดูอยู่นานแล้ว เขาจึงคิดหาวิธีออกจากห้อง สองเท้าก้าวเดินออกไปพร้อมกับทำทีว่าตนหิวมาก โดยเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่อยู่ในศาลา ทำให้บ่าวรับใช้ต่างพากันตื่นตระหนก “ออกไปนะเจ้าเป็นใครกัน ไยทหารด้านนอกถึงปล่อยให้มีคนสติมิดีเข้ามาในนี้ได้” เสียงของบ่าวเอ่ยขึ้นทันที เมื่อเห็นชายแปลกหน้าเดินเข้ามา เทียนหรานหยุดชะงักทำท่าทีตื่นกลัว แล้ววิ่งไปยืนกอดต้นเสาเอาไว้ นัยน์ตาหวาดหวั่นส่งให้ผู้ที่ยืนมองอยู่ ราวกับอ้อนวอนขอความเมตตา “พอเถอะเสี่ยวจู เจ้ามีสิ่งใดทำก็ไปเถอะ คนผู้นี้เพียงแค่หิวเท่านั้น คนลำบากทุกข์ยากเจ้ากลับเห็นเป็นศัตรู เช่นนี้ก็จงไปอยู่กับทหารแคว้นตงเยี่ยนเถอะ” ม่านลี่เอ่ยกับบ่าวในเรือนซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องอาหาร “รับไปสิ ทีหลังเดินมาบอกดีดีเข้าใจหรือไม่ อย่าทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก อาจเป็นผลร้ายต่อตัวเจ้าได้” เทียนหรานรับหมั่นโถวถือไว้อย่างนึกเกรง สายตายังคงจ้องไปยังคนชุดขาวซึ่งเดินกลับมานั่งในศาลาแล้ว “กินเถอะมิมีใครทำอันใดเจ้าหรอก ว่าแต่พี่ชายเจ้าไปไหนเสียแล้ว ถึงได้ปล่อยให้เจ้าออกมาเดินเพ่นพ่านเช่นนี้” เสียงหวานเปล่งออกมาถามผู้ที่นั่งกอดตัวเองอยู่บนพื้น เทียนหรานมองคนตัวเล็กนิ่ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจากับคนเช่นตน ทั้งที่ดูผิวพรรณแล้วน่าจะเป็นบุตรสาวขุนนางผู้สูงศักดิ์ในแคว้น ยิ่งมองก็ยิ่งเกิดความสงสัย จนม่านหลี่ต้องสะกิดให้ละสายตา “เจ้ามองนายข้ามากเกินไปแล้วนะ” เทียนหรานชะงักเมื่อถูกเอ่ยทัก เพราะเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเกิดสงสัย ยังดีที่คนเหล่านี้มิได้รังเกียจจนไล่ตะเพิดเขาออกจากเรือน ดูท่าทั้งนายและบ่าวคงใจดีมิน้อย “งาม พี่คนสวยงามมีหน้ากากด้วย ข้าอยากได้” เทียนหรานไม่เพียงแต่เอ่ย หากเขายังเดินเข้าไปหาพร้อมกับทำทีจะถอดหน้ากากสีขาวนั้นออกมาด้วย เพื่อหวังจะได้เห็นใบหน้าที่อีกฝ่ายปกปิดไว้ แต่กลับถูกมือเรียวขาวของสตรีตัวน้อยจับไว้เสียก่อน หากเป็นคนอื่นคงมิอาจสู้แรงของบุรุษได้ แต่นี่กลับทำให้เทียนหรานรู้สึกปวดที่ข้อมือเสียอย่างนั้น จนเขาต้องรีบทำทีร้องบอกออกไป “เจ็บพี่สาวข้า เจ็บ! พวกท่านรังแกข้า อยากได้หน้ากาก ข้าอยากได้หน้ากาก” เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากคนตรงหน้าเขา ในขณะนั้นทั้งคู่ก็สบตากันผ่านม่านหน้ากากที่ปิดกั้นอยู่ ทำเอาสตรีตัวน้อยต้องรีบเสหลบ จนม่านหลี่ที่มองอยู่ต้องรีบเดินเข้ามาขวางเอาไว้ เพราะผู้เป็นนายดันปล่อยมือจากแขนออกจนอีกฝ่ายเกือบจะรั้งเชือกจากด้านหลังได้ “หากเจ้ายังดื้อรั้น ข้าจะส่งเจ้าออกไปนอกเมืองเข้าใจหรือไม่ พาตัวกลับไปที่ห้องเราจะไปข้างนอกแล้ว” ม่านหลี่เอ่ยสั่งกับทหารที่พึ่งเดินเข้ามา แต่ก่อนจะได้พาตัวคนสติไม่ดีออกไป เทียนหรานก็พุ่งตรงมากอดขาเล็กเอาไว้เสียก่อน จนทำให้อีกฝ่ายชะงักไป “ไปด้วย อยากไปเที่ยว นะให้อาหรานไปด้วยนะพี่คนสวย ข้าเหงาพี่ชายหายไปไหนไม่รู้” หาญสวี่ที่พึ่งเดินเข้ามารายงานขึ้น “ดูเหมือนเจ้าหนุ่มนี้จะถูกทิ้งเอาไว้ขอรับ” “หนุ่มหรือใต้เท้าหาญ เอ่ยเรียกเช่นนี้หมายถึงตนเองด้วยหรือไม่ เพราะดูท่า เจ้านามว่าอันใดนะ อาหรานหรือ?” ม่านหลี่หันไปถามผู้ที่กอดขาผู้เป็นนายเอาไว้มิยอมปล่อย ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าให้พร้อมกับยิ้ม “อืม เพราะดูท่าอาหรานน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน เอ่ยเช่นนี้คงอยากเป็นหนุ่มอีกสินะ” คำพูดของม่านหลี่ไม่เพียงแต่กระทบผู้ที่ตนเอ่ยด้วย แต่ยังมีเทียนหรานซึ่งเขากำลังคุมอารมณ์อยู่ เพราะมันหมายถึงอีกฝ่ายเอ่ยถึงตนด้วยเช่นกัน แต่จะเถียงก็คงมิได้จริงๆ นั่นแหละ เพราะเขาอายุสามสิบสี่แล้ว “ข้าพึ่งจะสามสิบเองนะ วัยนี้กำลังดีมิเห็นหรือหน้าตาข้าดูหนุ่มกว่าทหารรุ่นน้องเป็นไหนๆ” หาญสวี่เอ่ยติดตลกทำเอาทุกคนก็พากันหัวเราะออกมา มิต่างจากคนที่นั่งให้คนแปลกหน้ากอดขา เสียงหัวเราะหวานดังออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมาหาบุรุษหนุ่มที่น่าจะมีอายุมากกว่านางเป็นสิบปี “ข้าจะออกไปดูนอกกำแพง พาเจ้าไปด้วยมิได้หรอก มันอันตรายเกินไปอยู่ที่นี่เถอะหากเจ้ามิมีที่ให้อยู่” “อยากไปดูมิเคยไป ข้าไปด้วยนะพี่สาว” เทียนหรานยังคงเอ่ยอ้อนวอนอีกฝ่าย พร้อมกับเอาใบหน้าถูขาที่ตนกอดเอาไว้ ทำให้ม่านหลี่ต้องรีบดึงออกมา “มิเป็นอันใดพี่ม่านหลี่ ข้าจัดการเอง” เสียงหวานเอ่ยขึ้นทำให้ผู้ดูแลจำต้องถอยกลับไปยืนที่เดิม โดยมีหาญสวี่อยู่ข้างๆ คอยระวังหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจะได้ช่วยทัน แม้จะรู้ว่าผู้เป็นนายดูแลตนเองได้ก็เถอะ “เช่นนั้นเจ้าต้องฟังข้าเข้าใจหรือไม่อาหราน” “อาหรานเชื่อฟังพี่สาว พี่สาวใจดี” เทียนหรานเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงจากผู้ที่ยืนถือดาบจ้องเขาเขม็งอยู่ ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำก่นด่าคนที่ตนจงเกลียดจงชังออกมาต่อหน้าเพราะความไม่รู้ “ชื่อของเจ้าเหมือนกับอ๋องเทียนหรานผู้โหดร้ายเลยนะ แต่คนเช่นนั้นคงมิมาทำเรื่องปัญญาอ่อนโดยการปลอมเป็นคนสติมิดีหรอกจริงไหม รู้ถึงไหนคงได้อายถึงนั่น อยากได้ชัยชนะจนถึงกับปลอมตัวเพื่อให้ผู้อื่นตายใจ” หาญสวี่เอ่ยขึ้นโดยมิได้คิดว่าคนที่นั่งอยู่นั้นจะเป็นอ๋องเทียนหรานจริงๆ เพราะตัวเขาเองยังมิเคยคิดว่าตนเองจะแสดงละครได้เนียนถึงเพียงนี้ “นั่่นสิ หากยอมลงทุนถึงเพียงนี้ข้าก็อยากก้มหัวคำนับเสียจริง อ๋องเทียนกรานจะเป็นคนเช่นไรกันนะ ไยถึงกระหายสงครามเช่นฆ่าผู้คนเป็นผักปลาเช่นนี้ได้” “จะเป็นคนเช่นไรล่ะ คงเป็นคนบ้าอำนาจพอๆ กับหลานชายที่เป็นฮ่องเต้นั่นแหละ มิเช่นนั้นจะถูกลอบสังหารอยู่เนืองๆ หรือ ถึงกระนั้นยังรอดตายมาได้อีก” หาญสวี่เอ่ยอย่างเจ็บใจ คราใดได้ยินว่าอ๋องผู้นี้ถูกลอบสังหาร เขามักจะติดตามข่าวหวังให้ได้ยินเรื่องดี แต่ก็ต้องผิดหวังในทุกครา เพราะดูท่าคนผู้นี้จะดวงแข็งมิน้อย แม้แต่กระทั่งสองวันก่อนอ๋องเทียนหรานก็ควรจะตาย แต่กลับมิเป็นอันใดเลย แต่แปลกที่มิมีการเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อวาน ทุกอย่างดูเงียบสงบจนน่าแปลกใจ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยทุกคนก็ยังได้พัก “ข้าว่าคนผู้นี้คงมิมีหัวใจ เห็นว่าเอาแต่ทำศึก แม้แต่พระชายาก็ยังมิมี หากแต่สนมในจวนนั้นกลับมีมากมายนับมิถ้วนเชียวล่ะ” ม่านหลี่เอ่ยขึ้นอย่างกับคนรู้จริง ทำให้หาญสวี่อดมิได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้ “เจ้ารู้ได้เช่นไร” “ข้าได้ยินมา เห็นคนล่ำลือว่าอ๋องผู้นี้รูปงามมาก แต่มิเคยใส่ใจสตรีใดเป็นพิเศษ คงเอาเวลาทำแต่ศึกสงครามเช่นนี้กระมัง” # ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม