เทียนหรานยังคงนิ่งมองคนตัวเล็ก เป็นเช่นนี้แล้วหากทัพตงเยี่ยนมิอาจตีเข้าเมืองได้ เขาก็คงต้องอยู่เพื่อสืบดูแผนป้องกันเมืองของอีกฝ่ายต่อเป็นแน่
“นั่งลงหากฝ่ายนั้นยิงธนูมาเจ้าอยู่ฝั่งนี้จะบาดเจ็บได้”
ซูฮวาเดินเข้ามาหาพร้อมกับรั้งร่างสูงนั่งลง ทำให้อ๋องหนุ่มได้มองหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ ความงดงามบนใบหน้าอ่อนเยาว์มันช่างดึงดูดเขาดีเหลือเกิน นัยน์ตาคมจ้องคนตัวเล็กที่หันมองไปมาอย่างระแวดระวัง
“นั่งอยู่ตรงนี้อย่าลุกขึ้นมาเด็ดขาด เอาไว้พรุ่งนี้พี่สาวจะพาไปน้ำตก เจ้าอยากไปหรือไม่อาหราน”
ซูฮวาเอ่ยด้วยถ้อยคำอ่อนโยนกับอีกฝ่าย พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ ทำเอาผู้ที่มิเคยใจเต้นแรงเพราะสตรีถึงกับนิ่งราวกับท่อนไม้ที่มิมีชีวิต ซูฮวาเอียงคอมองอย่างสงสัย และยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าก็อยู่ใกล้กันเหลือเกิน
จนคนโตกว่านั้นแทบจะต้องกลั้นหายใจเพราะยามนี้มันเต้นเร็วมาก หากมิมีเสียงจากแม่ทัพเอ่ยเรียกขัดขึ้นเสียก่อน เขาคงได้หลุดตัวตนออกมาให้ได้รับรู้เป็นแน่
“นายน้อยพวกมันบุกมาทั้งหมดเลยขอรับ เราคงต้านมิ อยู่เป็นแน่ มิคิดว่าอ๋องผู้นี้จะโหดร้ายจนมิคำนึงถึงผู้อื่น คนของตนบาดเจ็บมากมายยังมิยอมถอยไปอีก”
ยามนี้เทียนหรานได้ยินสิ่งที่แม่ทัพเผยเอ่ย ก็ทำให้นึกถึงคนของตนขึ้นมา ยามออกศึกเขามิเคยปล่อยให้สูญเสียมากเพียงนี้ เพราะเท่าที่สังเกตเห็นทหารบาดเจ็บเกือบหนึ่งในสามที่ยกมา ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นหากเขาเป็นคนบัญชาการ แต่!พอได้ยินคำพูดของซูฮวาเขาก็ชะงักไปทันที
“คนผู้เดียวหากตายไปเสียก็จะมีอีกหลายชีวิตที่รอด อย่าถือโทษโกรธข้าที่ทำเช่นนี้อ๋องเทียนหราน”
เทียนหรานฟังคำของคนตัวเล็กแล้วก็พาให้ใจหาย เมื่อเห็นว่านางนั้นเล็งธนูไปที่ใคร ซูฮวาจ้องมองบุรุษบนรถม้าที่ใช้ออกศึกนิ่ง ก่อนจะขยับนิ้วเรียวน้าวสายธนูเพื่อหมายจะเอาชีวิตผู้ที่ออกคำสั่งให้คนมาตาย หวังให้ทุกอย่างจบเสียตั้งแต่ตอนนี้
ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ตรงมุมต้องรีบก้าวเดินไปเพื่อดูว่าคนผู้นั้นเป็นใครกัน แต่พอได้เห็นว่าด้านล่างคือพี่ชาย เขาก็รีบกอดร่างเล็กที่กำลังปล่อยลูกศรออกไป
แต่มันไม่ทันเสียแล้ว เพราะเขาถึงตัวซูฮวาช้าเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทำให้นางไขว้เขว่ ลูกศรแม้จะปักลงที่ร่างกายอ๋องซานเหรินแต่ก็มิได้ทำให้ถึงตาย หากสามารถรักษาได้ทันท่วงที แต่คนด้านบนก็มิอาจรู้ได้
“เจ้าทำบ้าอันใดกันอาหราน ปล่อยนายน้อยเดี๋ยวนี้”
ม่านหลี่เดินเข้ามาดึงบุรุษหนุ่มออกจากผู้เป็นนายในทันที แต่เพราะอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่ามาก จึงมิอาจทำสิ่งใดได้ ทหารหรือก็มัวแต่คอยปกป้องรักษาเมือง แต่ส่วนมากก็มิกล้าทำสิ่งใดหากผู้เป็นนายมิเอ่ยสั่ง
ซูฮวาตกอยู่ในอ้อมกอดแกร่งจนซุกในอ้อมอกอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้เพราะนางตัวเล็กกว่ามาก
“ข้ากลัวพี่สาว ข้ากลัวคนตายเต็มเลย”
“ข้าบอกให้เจ้านั่งอยู่ตรงนั้นไง จะลุกขึ้นมาทำไม เอาเถอะปล่อยข้าได้แล้วจะกอดจนข้าขาดใจตายเลยหรือ”
เสียงหวานเอ่ยขึ้น ในยามนี้แก้มเนียนใสนั้นขึ้นสีเรื่อจนต้องรีบเอาหน้ากากมาสวมใส่ แต่มันก็มิทันนัยน์ตาคมที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว ยิ้มร้ายผุดขึ้นก่อนมันจะหายไปในทันที แม้จะปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมกอดแล้ว อาหรานก็ยังคงเดินเกาะติดคนตัวเล็กเช่นเดิม
“อ๋องเทียนหรานถูกพาตัวไปแล้วขอรับ ข้าหวังว่าเราจะได้ยินข่าวว่ามันสิ้นใจเสียที ยามนั้นแผ่นดินคงสูงขึ้นกว่านี้เป็นแน่ขอรับนายน้อย”
แม่ทัพเผยเอ่ยด้วยความกระหยิ่มใจ หารู้ไม่ว่าคนที่ตนเกลียดชังในยามนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เทียนหรานขบกรามแน่นก่อนจะคลายมันออกเมื่อซูฮวาหันมา เขาพยายามทำหน้าให้เป็นปกติ
“เจ้าไปรอพี่สาวตรงนั้นก่อนนะอาหราน”
นางพยักหน้าให้ม่านหลี่เพราะยังต้องวางแผนปกป้องเมืองต่อ เพราะมิรู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมถอยกลับไปหรือไม่ เทียนหรานมองตามคนตัวเล็กที่เดินไปหยุดไม่ไกลจากตนนัก แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วเพราะเขาไม่ได้ยินสิ่งใดเลย
หลังจากนั้นซูฮวาก็เดินกลับมา ทุกคนต่างก็รอดูว่าทหารที่เหลือจะทำเช่นไร จนกระทั่งทั้งหมดถอยทัพอย่างที่คิด จึงทำให้เสียงพูดคุยอย่างดีใจเกิดขึ้น
“ดีจริงพวกมันยอมถอยแล้ว อย่างน้อยวันนี้ข้าก็ได้กลับไปหอมแก้มลูกอีกหนึ่งวัน”
“ใช่ๆ วันนี้ก่อนออกมาเมียข้ากำลังจะคลอด ข้าเองก็จะได้กลับไปดูหน้าลูกข้าเช่นกัน”
กลุ่มทหารซึ่งมีเรือนอยู่ห่างจากที่นี่เพียงหกลี้เอ่ยขึ้น
“ดีเลย เช่นนี้เราก็ไปที่บ้านของเจ้าก่อน ดื่มสุรารับขวัญหลานเสียหน่อยสิพวกเรา”
“ข้าไปด้วย ถ้าข้ามิตายเสียก่อนคงได้มีลูกมีเมียใช้ชีวิตครอบครัวเช่นพวกเจ้า เพียงนี้ข้าก็ตายตาหลับแล้ว”
“ข้าก็เช่นกัน เราไปขอบคุณนายน้อยกันเถอะ หากมิมีนายน้อยเราคงมิได้มีชีวิตอยู่ต่อเป็นแน่”
เหล่าทหารเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำเหมือนเช่นที่รบกับแคว้นเหว่ย พวกเขารอดจากศึกสงครามมาได้ก็เพราะกลยุทธ์ฉลาดเฉลียวของสตรีตัวน้อยผู้นี้ เทียนหรานได้ยินทุกถ้อยคำของทุกคน ซึ่งมันต่างจากคนของเขาเป็นอย่างมาก
เพราะก่อนนี้เขาเคยสั่งโบยทหารที่ต้องการหนีทัพกลับไปดูหน้าบุตรชายที่พึ่งเกิด แต่สุดท้ายก็ต้องตายในสนามรบ เขายืนมองคนตัวเล็กคารวะทุกคนกลับอย่างนอบน้อม นัยน์ตาคมหรี่ลงพร้อมกับความคิดในหัวที่มันผุดขึ้นมาอย่างที่มิควรจะเป็น
เขามิเคยได้รับคำขอบคุณเช่นนี้เลยสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเขานึกถึงสัมผัสที่ได้กอดซูฮวาเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมา มันทำให้ใจเขาเต้นแรงอย่างมิเคยเป็นมาก่อน
“กลับกันเถอะ ท่านแม่ทัพอย่าลืมจัดเวรยามขึ้นมาเฝ้า หากฝ่ายนั้นบุกมาอีกก็จัดการตามที่บอกได้เลย”
เสียงหวานเอ่ยก่อนจะเดินนำไปที่ทางลง ซึ่งมีอาหรานรวมถึงผู้ติดตามอย่างหาญสวี่และม่านหลี่ลงมาด้วย
“นายน้อยอยากกินปลาหรือไม่ขอรับ”
“อืม เอาสิเช่นนั้นข้าจะไปด้วย จะได้ไปเล่นน้ำ”
ซูฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส ทำเอาผู้ติดตามนั้นอดเอ็นดูมิได้ เพราะเห็นตัวเล็กเช่นนี้นางต้องแบกรับภาระมากมายเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของตระกูล
“ดูคุณหนูสิ เป็นสตรีที่งดงามน่าเอ็นดู แต่กลับต้องมาต้องโทษให้ใส่แต่หน้ากาก ถอดได้ก็แค่ยามยิงธนู หรือออกเรือนไปแล้วเท่านั้น ไหนจะถูกเรียกว่านายน้อยตลอดอีก”
ม่านลี่เอ่ยขึ้นในขนะที่นั่งมองผู้เป็นนายหย่อนขาลงในน้ำอย่างสบายใจ เทียนหรานนั้นทำทีนั่งนิ่งเพื่อรอฟังเรื่องราวของคนตัวเล็ก เพราะดูท่าจะน่าสนใจมิน้อย เขาชักอยากรู้ว่าเหตุใดนางถึงต้องใส่หน้ากากไว้เช่นนี้
“นั่นสิ ทั้งที่นายน้อยมิได้ทำอันใดผิดเสียหน่อย คุณชายซูหม่าหลงแอบหนีออกจากเรือนไปเองต่างหาก ไยต้องมาโทษนายน้อยซูฮวาด้วย เป็นเพราะนายท่านรักบุตรลำเอียงจึงลงโทษบุตรสาวตนเช่นนี้”
เทียนหรานยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัย เพราะคำว่าต้องโทษนั้นทั้งสองเอ่ยราวกับมันเป็นคำสั่งจากราชวงศ์อย่างนั้นแหละ แต่จะเอ่ยถามเขาก็ทำมิได้เพราะตอนนี้คนสติไม่ดี มิควรอยากรู้เรื่องของผู้อื่น หาญสวี่มิได้เอ่ยสิ่งใดต่อเมื่อเห็นว่าปลานั้นเริ่มติดเบ็ดแล้ว
แต่มันดันติดพร้อมกันสองคันจึงได้เรียกให้อาหรานมาช่วยอีกแรง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย หากเพราะเขามิเคยทำเรื่องเช่นนี้อยากกินก็แค่สั่ง
การตกปลาจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา แม้จะแค่ดึงมันขึ้นมาก็เถอะ ก็คนมันไม่รู้วิธีจะให้ทำเช่นไร ให้จับดาบยังจะง่ายเสียกว่า
“เจ้าอย่าดึงแรงสิอาหราน เดี๋ยวเบ็ดข้าก็ขาดพอดี ตวัดขนาดนั้นปากปลาคงขาดเป็นแน่”
เป็นจริงดั่งที่หาญสวี่เอ่ย เมื่อปลาที่ควรจะกินเบ็ดนั้นมิได้ติดขึ้นมาเช่นของเขา สายตาดุจึงส่งไปหาคนที่ตัวสูงพอกันทันที อาหรานมองซ้ายขวาหาคนช่วย โดยที่ในมือยังกำเบ็ดตกปลาอยู่ ซูฮวาเดินเข้ามาพร้อมกับแย่งเอาคันเบ็ดไปถือแทน ก่อนจะเสียบเหยื่อแล้วขว้างลงน้ำไปอีกครั้งไม่นานปลาก็กินเหยื่อ
นางจึงส่งไม้ให้อีกฝ่ายถือ พร้อมกับกุมมือใหญ่เอาไว้ แล้วบอกให้เขาค่อยๆ ดึงมันขึ้นมา อาหรานทำตามพี่สาวบอกอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมที่เริ่มคุ้นจมูกทำให้อ๋องหนุ่มมิได้ใส่ใจปลาตัวโตที่ตนพึ่งดึงขึ้นมาเลยสักนิด จนคนตัวเล็กร้องเสียงดังด้วยความดีใจ
“ได้แล้วอาหราน เห็นไหมตัวใหญ่มากเลย”
ซูฮวายิ้มสวยส่งให้ผู้ที่นางเอ็นดูเหมือนน้องชาย ถึงแม้อีกฝ่ายจะโตกว่ามากก็เถอะ แต่เพราะมิเคยมีใครเรียกพี่เช่นนี้มานานมากแล้ว พอได้ยินอาหรานเอ่ยเรียกในคราแรก นางก็ชะงักไปในทันที เพราะน้องชายที่จากไปนั้นก็มีสติปัญญามิต่างจากอาหรานในตอนนี้เลย
สองคนสนิทจึงมิเอ่ยคัดค้านที่ซูฮวาจะรับอาหรานไว้ดูแล และสนิทใจถึงเพียงนี้ เพราะผู้เป็นนายคงคิดถึงน้องชายที่จากไปแล้วเกือบห้าปีนั่นเอง
“เย็นนี้ทำปลาทอดกับน้ำจิ้มด้วยนะพี่ม่านหลี่”
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนัั้นเรากลับกันเถอะ บ่ายคล้อยแล้วค่ำมืดอากาศจะหนาว จะได้กินอาหารแล้วพักผ่อนไวหน่อย คุณหนูนอนดึกทุกคืนเลยนะเจ้าคะ”
“พี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ ว่าแต่ข้า”
ซูฮวาเอ่ยเสียงหวาน ก่อนจะหยิบหน้ากากมาสวมใส่ตามเดิม หลังจากถอดออกเมื่อมาถึงที่นี่ ก่อนนี้ในยามที่ยิงธนูมิค่อยมิผู้ใดหันมาใส่ใจนัก เพราะต่างก็กำลังทำหน้าที่ของตน ซ้ำยังถูกอาหรานกอดเอาไว้จนมิดอีก จึงเป็นเรื่องยากที่คนอื่นจะได้เห็นใบหน้างาม
ทั้งหมดเดินทางกลับมาถึงเรือน จึงได้รู้ข่าวจากคนของแม่ทัพเผยว่าผู้ที่ถูกยิงนั้นยังมิสิ้นใจ แต่ถูกส่งตัวกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว เทียนหรานนิ่งฟังอย่างเป็นห่วงแม้จะเบาใจที่พี่ชายมิได้ตายจากไปเสียก่อน
“ไม่คิดว่าอ๋องเทียนหรานจะชะตาแข็งถึงเพียงนี้ หากอาหรานมิช่วยไว้นายน้อยคงยิงถูกจุดสำคัญไปแล้ว”
“เอ่ยอันใดกัน อาหรานมิได้ช่วยคนชั่วนั้นเสียหน่อย ก็แค่ตกใจกลัวเท่านั้นเองใช่ไหมอาหราน”
ม่านหลี่เอ่ยเข้าข้างสหายใหม่ทันที ทำเอาซูฮวาอดที่จะขันออกมามิได้ เพราะคราใดอยู่ด้วยกันจะเป็นเช่นนี้เสมอ
“มิช่วยเช่นใด หากอาหรานมิวิ่งเข้าไปกอดนายน้อยป่านนี้มันคงตายไปแล้วเป็นแน่”
“อืม นึกไปก็น่าเสียดายอยู่นะ”
ในที่สุดม่านหลี่ก็คล้อยไปในทางเดียวกันกับหาญสวี่ จนเกิดเสียงหัวเราะของซูฮวาที่อดมิได้ ต่างจากคนที่กำลังนั่งนิ่งฟังทั้งสองเอ่ยถึงตน
“หึ! ข้าจะเก็บทุกถ้อยคำของเจ้าเอาไว้”
เทียนหรานคิดในใจในขณะที่นั่งทานอาหารร่วมกัน จนทั้งหมดแยกย้ายกันไปพัก
“เจ้านอนคนเดียวได้ใช่หรือไม่อาหราน”
หาญสวี่เอ่ยถามเพราะอดกังวลมิได้ คนถูกถามทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นหาญสวี่ก็เดินจากไป โดยมิรู้ว่ามีสายตาของอีกฝ่ายมองอย่างมาดร้าย
“หึ! เอาไว้ข้าจะตอบแทนความห่วงใยของเจ้า ให้มากกว่าทุกคนก็แล้วกันหาญสวี่”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ แล้วจึงปิดประตูลง เขาเดินไปนั่งบนเตียงครุ่นคิดถึงกลศึกที่ซูฮวากระทำในวันนี้ สตรีตัวน้อยไยถึงฉลาดเฉลียวคิดเรื่องเช่นนี้ได้
“หากได้เจ้ามาเป็นกองหนุนอีกแรง ข้าคงตีเอาแคว้นอื่นได้มิยาก ข้าจะทำเช่นไรถึงจะได้เจ้าไปอยู่ด้วยซูฮวา”
เทียนหรานคิดเรื่องนี้จนนึกถึงสัมผัสที่ตนได้รับจากอีกฝ่าย พลันในหัวก็นึกถึงภาพที่นางซุกอยู่ในอ้อมกอดเสียอย่างนั้น ทั้งที่เขามิเคยต้องรู้สึกเช่นนี้สักครา
“อะไรกัน!! ไยข้าต้องนึกถึงเรื่องนี้ด้วย”
เทียนหรานลุกพรวดขึ้นมาก่นว่าตนเอง จู่ๆ ก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาเดินไปมาอยู่ในห้องจนดึก กว่าจะพาตนเองกลับมานอนที่เตียงตามเดิมแล้วหลับไปในที่สุด