7. ใกล้ชิด

2464 คำ
หลังจากนั้นก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ที่มิมีการต่อสู้ใดๆ เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนต่างก็มีช่วงเวลาพัก เทียนหรานตามติดคนตัวเล็กเป็นเงามีซูฮวาต้องมีอาหรานอยู่ด้วย เพราะต้องการสืบแผนกลศึกของฝ่ายนี้ให้แน่ชัด แต่พอได้อยู่ใกล้มากเท่าใดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ยิ่งแนบชิด จนมิมียามใดที่ผละออกจากกันเลยนอกจากเวลานอน และยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างคือ การแต่งกายของอาหรานนั้นก็ดูสะอาดตาขึ้น ซ้ำยังเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาดึงดูดสตรีรอบข้าง และบางคราบ่าวรับใช้ในเรือนก็เอ่ยปากชมต่อหน้า “หึ! เจ้านี้รูปงามเกินหน้าเกินตาข้าเสียจริงนะอาหราน เสียแต่ว่าเจ้าทำตัวเป็นเด็กเท่านั้น ถ้าหากสุขุมฉลาดเฉลียวได้แค่ครึ่งของข้า สตรีทั้งหลายคงรุมล้อมเจ้ามิขาด” หาญสวี่เอ่ยกับคนที่นั่งแกะไส้เสี่ยวหลงเปากินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะยกเอาจานที่วางอยู่มากอดเอาไว้ด้วยท่าทีหวงแหน จนม่านหลี่นึกขันมิได้ “นี่อาหรานเจ้ามิต้องกลัวหาญสวี่จะแย่งหรอก เพราะใต้เท้าผู้นี้มิชอบอาหารรสหวาน” “เอาไว้ให้พี่สาว” อาหรานตอบเพียงเท่านั้นก็เดินถือจานไปนั่งอีกมุม วันนี้เขายังมิเห็นคนตัวเล็กเลย ปกติจะมิเคยห่างกันเลยสักครา แต่วันนี้กลับตื่นมามิพบหน้า “มองหานายน้อยหรือ ออกไปที่กำแพงเมืองแต่เช้ามืดแล้ว คงเกรงว่าเจ้าจะตามไปด้วยกระมังเลยหนีไปเช่นนี้” หาญสวี่เอ่ยขึ้นเพื่อแกล้งอีกฝ่าย ทำเอาอาหรานค้อนขวับเข้าให้ ก่อนจะเดินถือจานเข้าห้องไป หาญสวี่หัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของอีกฝ่าย แต่ความเป็นจริงยามนี้เทียนหรานกำลังหงุดหงิดที่มิอาจตามซูฮวาไปสืบข่าวของกองทัพตนได้ ไหนจะอาการของพี่ชายอีก ครั้นจะออกไปเองก็คงมิได้แน่ เพราะยังมีทั้งทหารและอินทรีย์อยู่บนหลังคาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ “จะทำเช่นไรดี หรือจะจับนางไปด้วยเลย อย่างไรเสียเราก็พอรู้กลศึกของทางนี้แล้ว หรือจะรอให้ครบสิบวันก่อน ถ้าทัพเรายังมิยกมาก็ค่อยเอาตัวนางไปด้วย” เทียนหรานครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นและมิยอมออกมาจากห้อง จนทุกคนคิดว่าคงหลับไปแล้วเป็นแน่ แต่ความเป็นจริงคือกำลังวางแผนทำบางสิ่งอยู่ เช้าของวันใหม่ซูฮวาก็ยังฝึกยิงธนูเช่นทุกวัน นางอยู่ที่ป่าไผ่หลังเรือนเหมือนเดิม เพราะมันเงียบสงบและจะอยู่ตรงนี้เป็นชั่วยามโดยมิมีผู้ใดมารบกวน มีก็แค่อาหรานและม่านหลี่เท่านั้นอยู่ด้วย นัยน์ตาคมจ้องมองสตรีตัวเล็กกำลังน้าวสายธนูเพื่อปล่อยลูกศรออกไป และมันก็ถูกเป้าทุกครั้ง แม้มันจะหมุนอยู่เพราะฝีมือของม่านหลี่ ซึ่งคอยทำให้มันเคลื่อนไหวตลอดเวลา “อยากลองดูไหมอาหรานเดี๋ยวพี่สาวสอนให้” อาหรานปรบมืออย่างดีใจ พร้อมกับลุกขึ้นไปยืนด้านหน้าคนตัวเล็ก ทำให้ซูฮวาหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “เจ้าโตกว่าข้ายืนเช่นนี้พี่สาวจะสอนเจ้าได้เช่นไร” ซูฮวาส่งคันธนูให้อีกฝ่ายถือ ก่อนจะมุดเข้าไปในวงแขนแกร่งยืนอยู่ด้านหน้าคนที่โตกว่าตน เทียนหรานชะงักนิ่งไปพอๆ กับม่านหลี่ที่เกรงว่าจะใกล้ชิดมากไป “นายน้อยมิใกล้ไปหรือเจ้าคะ” “มิเป็นไร อาหรานเป็นน้องชายข้า จริงไหม?” ซูฮวาเอ่ยตอบม่านหลี่ ก่อนจะหันมาถามอาหรานของนาง ซึ่งทำได้เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น “จับแบบนี้นะ กำให้มั่น” เสียงหวานเอ่ยสอนพร้อมกับเริ่มให้อีกฝ่ายน้าวสายธนูออก เทียนหรานในยามนี้อยากผลักร่างเล็กออกจากอกเสียเหลือเกิน เพราะนางทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยินมัน เขามิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนในชีวิต “เอาล่ะ ยามนี้เจ้าก็เล็งไปที่เป้า เมื่อมองเห็นแน่ชัดก็ปล่อยลูกศรออกไปเลย” ใบหน้าหวานเงยมองอีกฝ่าย ทำให้เทียนหรานนั้นตกใจจนปล่อยลูกศรออกไป โดยที่ยังมิทันได้เล็งแม้แต่น้อย แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่เข้าเป้า เพราะอย่างไรเสียเขาก็ยิงธนูได้แม่นมากคนหนึ่ง เป็นรองก็คงคนตัวเล็กนี่แหละ “ทำได้ดีมากอาหรานเข้าเป้าด้วยเจ้าเห็นหรือไม่” ซูฮวาถอยออกมาพร้อมกับตบมือยิ้มดีใจ เทียนหรานเผลอมองไปชั่วขณะอย่างลืมตัว ริมฝีปากหนายกยิ้มออกมาอย่างลืมตัว เมื่อเห็นความร่าเริงของอีกฝ่าย จึงถูกผู้ที่พึ่งเดินมาพบเห็นเข้าโดยบังเอิญหยอกเย้า “หึ! เจ้าคงดีใจที่ยิงเข้าเป้าสินะอาหราน ถึงได้มีรอยยิ้มให้เห็นเช่นนี้ได้” หาญสวี่ผู้ซึ่งกลับมาจากกำแพงเมือง มาถึงเรือนเขาก็ตรงมาที่นี่เลย จึงได้ทันเห็นฝีมือของอาหราน “ฝึกบ่อยๆ คงเก่งกว่าเราสองคนแน่หาญสวี่ อีกหน่อยนายน้อยก็มีองครักษ์เพิ่มอีกนะเจ้าคะ” ม่านหลี่หันมาเอ่ยกับผู้เป็นนาย ซึ่งซูฮวาก็ยิ้มหน้าบาน พร้อมกับหันมาหาคนที่ยังยืนกำธนูมองตนนิ่งอยู่ จนนางเองที่ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาคมนั้นแทน ก่อนจะหันไปหาผู้ติดตามของตนเพื่อเอ่ยถามข่าวศึก “ทางนั้นว่าอย่างไรบ้างพี่หาญสวี่” ทั้งสามรอฟังข่าวอย่างจดจ่อเมื่อได้ยินซูฮวาเอ่ยถาม “ดูเหมือนว่าจะยกทัพออกไปพ้นแนวเขตแดนแล้วขอรับ ดูท่าเราคงได้สงบศึกชั่วคราว เช่นนี้ทัพใหญ่เราก็คงมิต้องเดินทางมา แต่จะยังคงปักหลักอยู่ที่เมืองเหลียงกวง เพราะหากทางนั้นมีผู้บัญชาการคนใหม่คงยกทัพมาอีก” “นั่นสินะ มีฮ่องเต้กระหายอำนาจเช่นนั้น อย่างไรแว่นแคว้นต่างๆ คงมิมีทางสงบลงได้แน่” ซูฮวาเอ่ยขึ้นเสียงเบา ก่อนจะเดินไปนั่งบนขอนไม้ใกล้ๆ เทียนหรานมองตามพร้อมกับความรู้สึกที่ต่างออกไปจากแต่ก่อน เพราะยามนี้เขามิอยากเห็นใบหน้าเศร้าของอีกฝ่ายเลย มันทำให้อ๋องหนุ่มผู้นี้หดหู่ไปด้วย “เช่นนี้องค์ชายสามคงจะมิเดินทางมาแล้วสิ” “คงไม่ แต่นายท่านจะมาพร้อมกับบุตรชายเสนาซ้าย” “เอ๋! บุตรเสนาซ้ายจะมาทำกระไรกันที่นี่หาญสวี่” ม่านหลี่เอ่ยถามอย่างสงสัย ซึ่งมิต่างจากซูฮวาที่แปลกใจเช่นกัน หนุ่มเจ้าสำราญอย่างคุณชายจงลู่จะมายังสถานที่สงครามเพื่อสิ่งใด “มาดูตัวนายน้อยกระมัง ข้าเคยได้ยินนายท่านเอ่ยก่อนที่เราจะเดินทางมาที่นี่” ซูฮวานิ่งไปไม่ต่างจากทุกคน เทียนหรานหรี่ตามองคนตัวเล็กในใจนั้นร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันห้าวันนี้ เขารู้สึกผูกพันธ์กับซูฮวาเป็นอย่างมาก พอได้ยินว่ามีบุรุษสนใจนางจึงทำให้รู้สึกมิพอใจอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน ซึ่งท่าทางนี้ก็มิได้มีเขาเป็นผู้เดียว “นายน้อยอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ นายท่านอาจมิได้มาเพราะเรื่องนี้ก็ได้ คงเป็นห่วงท่านมากกว่า” “ม่านหลี่เจ้าก็รู้ว่ามันมิมีทางเป็นเช่นนั้นไปได้” ซูฮวาเอ่ยขึ้นเสียงเศร้า ก่อนจะเดินไปเอาคันธนูจากอาหรานมาซ้อมยิงต่อ ใบหน้าที่หม่นลงในยามนี้ทำเอาอ๋องโฉดอดสงสารมิได้ เขาอยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนาง “ข้าสงสารนายน้อยเหลือเกินหาญสวี่ อยู่ที่จวนก็ถูกข่มเหงจากองค์หญิงหลิว แม้แต่บิดาก็มิเว้น พอมาอยู่ที่นี่ก็ยังมีเรื่องมาตามติดให้นางต้องคิดมาก เป็นเพราะเจ้าโดยแท้ที่เอ่ยเรื่องดูตัวขึ้นมา” “ถึงข้ามิเอ่ย ยามที่นายท่านมาถึงนายน้อยก็หนีมิพ้นเรื่องนี้หรอก เจ้าก็รู้ว่านายน้อยโทษแต่ตนเองที่ทำให้คุณชายรองสิ้นใจในวันนั้น” สองสหายพูดคุยกันโดยมีเทียนหรานตั้งใจฟังด้วย “ยามนั้นนายน้อยก็พึ่งสิบสี่จะไปปกป้องอันใดคุณชายรองได้ อีกฝ่ายก็ดื้อเสียเหลือเกิน หากมิวิ่งตามกลุ่มโจรนั้นไปก็คงมิต้องตายจากไปเช่นนี้ นายน้อยก็มิต้องรับโทษจากองค์หญิงหลิวมารดาของคุณชายรอง” “นั่นสิ เรื่องการหมั้นหมายก็คงเป็นองค์หญิงหลิวจัดการเป็นแน่” “ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่มิแน่หากแต่งงานไปอาจจะดีก็ได้” เทียนหรานนิ่งฟั่งเรื่องราวที่สองสหายคุยกันก็พอจับใจความได้ ข่าวของแคว้นเหลียงเขาพอรู้มาบ้าง จึงมิเป็นเรื่องยากที่จะเอามาปะติดปะต่อกัน องค์หญิงหลิวพระขนิษฐาของฮ่องเต้ แต่งกับอดีตแม่ทัพใหญ่ของแคว้น หลังจากที่ภรรยาเอกเสียไปไม่นาน แล้วมีบุตรด้วยกันสองคนแต่เป็นชายหนึ่ง และข่าวที่ได้ยินมาคือสิ้นใจไปเมื่อห้าปีก่อน ในตอนที่ครอบครัวกำลังเดินทางกลับมาเมืองหลวง เพราะถูกโจรป่าบุกปล้น แต่รายละเอียดอย่างอื่นเขามิรู้ลึก แต่จากที่ฟังสองคนนี้พูดคุยก็พอจะเดาได้ว่าซูฮวานั้นเป็นบุตรสาวของภรรยาคนเก่า จึงมิได้รับความใส่ใจจากบิดามารดาเช่นนี้ เขามองคนตัวเล็กที่ยังคงปล่อยลูกศรยิงออกไปอยู่เช่นนั้น ราวกับใช้มันเป็นเครื่องระบายความรู้สึก จนมือเรียวขาวนั้นเกิดรอยแดงขึ้น เขารีบเดินตรงไปเมื่อสังเกตเห็น พร้อมกับวางมือลงที่คันธนู ทำเอาทุกคนต่างก็ตกใจแม้แต่ตัวซูฮวาเอง “มือพี่สาวเจ็บ ปล่อยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพร้อมกับปรากฎสายตาห่วงใย ทำเอาซูฮวาถึงกับนิ่งไป ก่อนจะวางคันธนูลง “จริงด้วยนายน้อยพอได้แล้วนะเจ้าคะ” “ถึงเวลาอาหารแล้ว ป่านนี้นางรับใช้คงตั้งสำรับแล้วนะขอรับ เรากลับเรือนกันเถอะ” หาญสวี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับเก็บอุปกรณ์ ซึ่งมีอาหรานที่วิ่งเก็บลูกศรมาใส่กระบอกตามเดิม ซูฮวามองตามคนตัวโตพร้อมรอยยิ้ม นางรู้สึกอบอุ่นในยามที่อีกฝ่ายใส่ใจเช่นนี้ ทุกคราอาหรานจะคอยสังเกตุว่าตนอยู่ในอาการเช่นใด “มีอาหรานอยู่ก็ดีนะเจ้าคะ อย่างน้อยท่านก็มีคนที่คอยห่วงอย่างจริงใจเพิ่มมาอีกหนึ่ง” ม่านหลี่เอ่ยบอกเมื่อเห็นอาหรานยืนเหนื่อยหอบอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย อันที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออกมาหรอก เพียงแต่อยากทำให้มันดูสมจริงเท่านั้น แต่กลับต้องสะดุดลมหายใจตนเองเมื่อได้ยินคำพูดของม่านหลี่ เพราะมันมิได้เป็นเช่นนั้นเลย หากผ่านพ้นสิบวันนี้ไปเขาก็คือศัตรูของนาง และมันก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว “เสร็จแล้วกลับเถอะขอรับ” หาญสวี่หอบเอาอุปกรณ์ใส่มือของอาหรานพร้อมกับเอ่ยบอกทุกคนแล้วเดินนำหน้าไป ในมือถือเพียงกระบี่ของตนเท่านั้น ทำให้อีกสามคนมองตามด้วยสายตาเดียวกัน “ช่างเอาเปรียบผู้อื่นดีจริง” ซูฮวานึกขันในคำพูดของม่านหลี่ ก่อนจะหันมาหาอาหรานซึ่งยืนนิ่งอยู่ เพราะมิเคยต้องถูกใครใช้ให้ทำเช่นนี้เลยสักครา มือเรียวยื่นมาหยิบเอาคันธนู พร้อมกับดันมันเก็บลงจนเรียบร้อย จึงเหลือเพียงด้ามจับรูปทรงเหมือนปลอกของมีดสั้น หากแต่มิมีส่วนของปลายที่แหลมคมเท่านั้น เทียนหรานมองทุกการกระทำของอีกฝ่ายอย่างสนใจ “หากได้ตัวเจ้าไปอยู่ด้วยคงทำประโยชย์ให้แคว้นข้ามากเป็นแน่ หึ! อีกมินานหรอกซูฮวา” เทียนหรานคิดในใจก่อนจะเดินตามคนทั้งสามกลับเรือน แต่นัยน์ตาก็ยังมองตามร่างเล็ก ซึ่งเดินแวะชื่นชมดอกไม้ริมทางเป็นระยะ ใบหน้างามที่ยังมิได้สวมใส่หน้ากาก มันชวนให้สายตาเขาอดที่จะจับจ้องมิได้ จนอีกฝ่ายหันมาหา “อาหรานข้าอยากได้ดอกกล้วยไม้ตรงนั้น” นิ้วเรียวขาวชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่พร้อมกับหันมาส่งยิ้มให้คนโตกว่าอย่างออดอ้อน ม่านหลี่เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรับเอาเครื่องมือมาถือเอง แล้วเดินกลับเรือนไปก่อน ทิ้งให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เทียนหรานหันกลับมาหาคนตัวเล็ก ในยามนี้ยืนส่งยิ้มหวานให้ราวกับเด็กน้อยและกำลังอ้อนให้ทำในสิ่งที่ตนต้งการ ซึ่งมิเคยมีผู้ใดทำกับเขาเช่นนี้เลยสักคราดวงตาเย้ายวนเผยให้เห็นความไว้ใจที่อีกฝ่ายมีให้โดยมิปิดบัง ทำเอาเทียนหรานกระหยิ่มอยู่ในใจ ก่อนจะทำตามที่อีกฝ่ายขอ เขาปีนขึ้นไปเก็บดอกกล้วยไม้ให้คนตัวเล็กตามที่นางต้องการโดยง่าย แม้จะไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้ให้ผู้ใดเลยสักหน ซูฮวายิ้มอย่างดีใจเมื่อคนโตกว่าส่งดอกไม้ให้ “ขอบใจนะอาหราน สวยมากเลย” ซูฮวายิ้มหวานส่งให้อีกฝ่ายจนตาหยี ทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอดใจสั่นมิได้ เทียนหรานจ้องมองคนตัวเล็กจนมิกล้าขยับ เมื่อจู่ๆ นางก็เอาหัวซบลงที่อกแกร่ง ราวกับกำลังหาที่พักพิงให้ตนเอง “หากทุกคนดีกับข้าเช่นเจ้าก็คงจะดีนะอาหราน ชีวิตนี้มีเพียงแค่สี่คนที่ดีกกับข้า ม่านหลี่ หาญสวี่ องค์ชายสามและก็เจ้าอาหราน ข้าดีใจที่มีเจ้าอยู่ด้วยนะ” ซูฮวาเอ่ยพร้อมกับเงยหน้ามองคนโตกว่า หากแต่คางนั้นยังคงเกยอยู่บนอกแกร่ง ทำให้หัวใจอ๋องโฉดเต้นรัวจนเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม