สองสาวดาวยั่วลอยไปบนอากาศด้วยเครื่องยนต์ jet suit ลอยวนสำรวจท้องฟ้าอย่างละเอียด
ต้นน้ำอยู่ทางเหนือ พวกเราจึงลอยไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงดาวพร่างพราวเหมือนภาพฝัน ส่องแสงระยิบระยับเป็นประกาย ท้องฟ้าสดใสไม่มีหมอกควันพิษบังให้เสียอรรถรส ไม่เหมือนอีกหลายพันปีข้างหน้า ซึ่งยุคของฉันในปี ค.ศ.2819 ฟ้ามืดหมองเหมือนถูกมนต์ดำเข้าครอบงำทั้งผืนฟ้า
ขนาดจะหายใจนอกบ้านยังต้องสวมหน้ากากออกซิเจนไมโครฟอส ไม่มีโอกาสหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์แบบที่กำลังเจออยู่
“เธอว่าไอ้เงานั่นมันเงาอะไร” ฉันถามเด็บเบอร์ร่า
“ถ้าเป็นผีล่ะ” เด็บเบอร์ร่าหัวเราะ หึ ๆ ๆ
“ไม่รู้สิ ให้เดาคือเดาว่าผู้บุกรุก” แวบนึงในหัวคิดว่าหรือจะเป็นผีจีนยุคโบราณ
“ไม่กลัวหรอก อย่างที่บอกแหละ กลัวคนมากกว่า”
“ถ้าเป็นคนก็คงเข้าไปในเต็นท์ของเราไม่ได้หรอก มีตาข่ายพลังงานป้องกันอยู่”
“ถ้าเป็นผียิ่งดีใหญ่ ยิ่งผีโบราณยิ่งน่าวิจัย นี่แพรี่ ฉันเอาเครื่องจับผีมาด้วยนะ” เด็บเบอร์ร่าพูดถึงเครื่องจับพลังงาน เหมือนรายการล่าท้าผีอะไรเทือกนั้น
“ดีมาก กลับไปเดี๋ยวก็รู้เองว่าไอ้เงาที่มีเขาแหลม ๆ นั่นเป็นผีหรือคน จัดไป ไม่ว่าเป็นผีหรือคน ถ้ากล้ามาส่อแส่ เราจะจัดการมัน” ฉันกำหมัดชูขึ้น
พวกเราเรียนวิชาป้องกันตัวหลายขนาน อีกทั้งเด็บเบอร์ร่ายังทำงานเป็นแพทย์สนามให้กับหน่วย CSIA ซึ่งเป็นหน่วยฝึกทหารลับของสหรัฐ เราไม่กลัวผีอย่างแน่นอน และไม่กลัวคนด้วย
ความมั่นหน้ามั่นโหนกบวกกับปืนเลเซอร์เมอร์คิวรี่ปรับโหมดลูกกระสุน โหมดแช่แข็ง และโหมดไฟลาวาได้ เหนือกว่าปืนทั่วไปหลายขุม อย่าไปเทียบกับดาบยุคโบราณเลย เทียบกับปืนปัจจุบันยังเหนือชั้นกว่ามาก
พวกเราไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ยกเว้นกลัวไม่ได้กินของใหญ่ ที่แปลว่าฮอตดอกของผู้ชาย
“เธอได้ยินเสียงอะไรไหม” ฉันถามเด็บเบอร์ร่า ได้ยินเหมือนคนกำลังขุดหรือเจาะชั้นหิน เสียงก้องสะท้อนหุบเขาแต่เรายังมองไม่เห็นอะไรมากนัก เนื่องจากทั่วบริเวณมืดสนิท
“อืม ได้ยินสิ”
“ขอเปิดเครื่อง noise detect ก่อนนะ” ฉันควักเครื่องตรวจจับระดับเสียงรวมถึงขยายเสียงและประมวลผลอัตโนมัติออกมาจากแหวนมิติ
พวกเราใช้เรดาร์ที่เครื่อง noise detect ตรวจจับทิศทางเสียงว่าเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ฉันกับเด็บเบอร์ร่ากดออโต้ซูมหาต้นตอเสียง เราบังคับเครื่อง jet suit ลอยเข้าไปใกล้ที่สุด
พาเราพาตัวเองในชุด jet suit มาเหยียบยืนอยู่บนพื้นดิน ห่างราวร้อยเมตรข้างหน้าเป็นหุบเขา
“เฮ้ย มีคนเฝ้าตรงนั้นด้วยตั้งหลายคน” เด็บเบอร์ร่าชี้มือไปตรงปากปล่องภูเขา มีทางเหมือนขั้นบันไปทอดยาวไปเบื้องล่าง
“จริงสิ พวกเขามาทำอะไรกันตอนค่ำ ๆ มืด ๆ”
“เสียงที่ว่าคือเสียงอะไรล่ะ”
“ขอกดประมวลผลแป๊บ” ฉันกดเครื่อง noise auto detect ประมวลผลโดยใช้เครื่องมือความแม่นยำสูง ประมวลผลจากหลายล้านเสียงในโลกมนุษย์เท่าที่มี
“เสียงนั่นคือเสียงอะไร”
“เสียงคนกำลังขุดเหมือง” ฉันตอบอย่างมั่นใจ 95 เปอร์เซ็นต์
“ต้องบินลงไปดูข้างล่าง”
“คนพวกนั้นก็ต้องเห็นเราสิ ฉันเคยดูหนังจีนโบราณ คนพวกนั้นอาจมีอาวุธแบบผสานกำลังภายใน เหนือมนุษย์ ฉุดยุทธภพ สะท้านปฐพี” ฉันแย้ง
“เฮ้อ..ท่าจะดูซีรี่ส์จีนมากไป”
“ไม่รู้ล่ะ ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาตายในยุคโบราณโดยที่ยังไม่ได้ขย่มตอ ดังนั้นต้องเซฟที่สุด หาข้อมูลก่อนดีกว่า”
“ตกลง วันหลังเราค่อยมาสำรวจใหม่ อย่างน้อยเราสามารถตั้งสมมุติฐานได้ว่ามีการขุดแร่บางอย่าง ส่งผลให้สภาพแวดล้อมเป็นพิษจากการทำเหมือง” เด็บเบอร์ร่าเสนอข้อสันนิษฐานที่ใกล้เคียงความเป็นจริง
“อืม เหมือนที่ฉันคิดไว้ ขอตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อเก็บข้อมูลเบื้องต้นก่อน”
ฉันควักกล้องส่องทางไกลชนิดพิเศษออกมาจากแหวนมิติ เป็นกล้องแบบอินฟาเรด IR สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวหรือจับความร้อนจากสิ่งมีชีวิตได้
กล้องรุ่นนี้เป็นกล้องที่สามารถมองกลางคืนได้อย่างดีเยี่ยมและมีฟังก์ชั่นตรวจจับความร้อนได้ อีกทั้งยังมีเลเซอร์ในตัวสำหรับเล็งเป้าระยะไกลถึง 200 เมตร
“คนพวกนั้นกำลังใช้กลไกปิดปล่องเขา”
“โห..ล้ำมาก”
ฉันอุทานเมื่อเห็นผู้คนกำลังร่ายมนต์ทำปากขมุบขมิบ ไม่ช้าก็มีต้นไม้ปรากฎขึ้นหนาทึบบริเวณปล่องเขา ปิดทางเข้าออกเอาไว้อย่างแนบเนียน
“นี่มันอะไรกัน จู่ ๆ ทำไมมีต้นไม้โตขึ้นมาบังอย่างฉับพลันได้” เด็บเบอร์ร่าอ้าปากค้าง
“มันเรียกว่ามนต์ลวงตา” ฉันอ้าปากค้างเหมือนกัน เคยได้อ่านในหนังสือประเภทจารึกโบราณแต่ไม่คิดว่ามีอยู่จริง
ในยุคโบราณอาจมีบางสิ่งที่วิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึง
“พวกเรากลับไปที่สุสานก่อนดีกว่า” ฉันชวนเพื่อนสาวกลับฐานทัพ
“อืม...ไม่รู้มีอะไรรอเราอยู่” เด็บเบอร์ร่ายักคิ้วให้ฉัน
เราต้องกลับไปเผชิญความลี้ลับของสุสานเมียเก่าท่านอ๋อง ส่วนข้อมูลปฐมภูมิเบื้องต้นคือมีการลักลอบทำเหมืองจนเกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อม
เราเก็บข้อมูลเด็ดได้ส่วนหนึ่ง ฉันถ่ายภาพและวิดีโอด้วยกล้องอินฟาเรดบันทึกไว้ เห็นจุดสีส้มเคลื่อนไหวอยู่ใต้ดินมากมาย คาดว่าต้องมีคนอยู่ในปล่องเขาเต็มไปหมด
พวกเราต้องกลับไปพักผ่อน และวิจัยเรื่องสารปนเปื้อนในธารน้ำ และจะกลับมาเก็บข้อมูลเรื่องปล่องเขาในตอนกลางวัน
นาฬิกาเลเซอร์จากแหวนมิติบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม
พวกเรามาถึงบริเวณเต็นท์ที่พัก มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังไม่เห็นเงาประหลาด จึงตรงเข้าไปในเต็นท์โดมเพื่อพักผ่อนและนำข้อมูลลงเครื่องประมวลผล
“เงานั่นไม่อยู่แล้ว”
“อืมมม นั่นสิ”
“พักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีงานรออยู่อีก”
“นี่อาหารแคปซูล กินเม็ดเดียวสารอาหารครบถ้วน อยู่ไปได้ยาว ๆ อีกหนึ่งเดือน” เด็บเบอร์ร่ายื่นอาหารแคปซูลให้ฉันเม็ดหนึ่ง
“เฮ้อ อยากกินอาหารธรรมดามากกว่า” ฉันบ่นอุบ อยากกินอาหารจากธรรมชาติเช่นไก่ย่างหรืออะไรก็ได้
ว่าแล้วก็คิดถึงคนป้อนไก่ขึ้นมาทันที
“คิดถึงท่านอ๋องเหรอ”
“เธอก็คิดถึงเขาอ่ะดิ ไม่งั้นคงไม่พูดหรอก” ฉันเดาทาง
“อืม คิดถึง”
“ฉันก็คิดถึง” ฉันยืดอกคัพอียอมรับ
กุกกัก กุกกัก
“เสียงอะไรอ่ะ” เด็บเบอร์ร่าหน้าตื่น
“นั่นดิ เสียงอะไรวะ”
เสียงฝีเท้าหนักแน่นเหมือนฝีเท้าผู้ชายดังสวบสาบย่างเท้าเข้าหาเต็นท์โดมของเรา ไม่นานก็หยุดอยู่หน้าประตูเต็นท์ตรงทางเข้า
“ข้ามีนามว่าหย่งจิน มีตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ รับหน้าที่ดูแลว่าที่พระชายาทั้งสอง พวกเรานำอาหารมาให้ขอรับ”
“เฮ้อ พวกเจ้านั่นเอง ทำเอาลุ้นแทบแย่”
ฉันกับเด็บเบอร์ร่าเปิดประตูเต็นท์ออกไปเพื่อรับอาหารยามดึก มีปลาย่างกับผลไม้ป่า รวมถึงข้าวหุงในกระบอกไม้ไผ่
“ขอบใจพวกเจ้ามาก”
“พวกเราอยู่ดูแลโดยรอบ ไม่ไกลจากที่นี่ หากมีสิ่งใดรบกวน เรียกพวกข้าได้ทันที”
“ขอบใจนะ”
“พวกเราอยู่ด้านนอก คอยระวังความปลอดภัยให้พวกท่าน”
“สองชั่วยามก่อน พวกเจ้ามีใครเข้ามาแถวเต็นท์นี่ไหม” ฉันสงสัยเรื่องเงาปริศนา อาจเป็นพวกองครักษ์ก็ได้
“เพิ่งเข้ามาตอนได้ยินเสียงพวกท่านกลับเข้ากระโจม” หย่งจินกวาดสายตามองเต็นท์ของพวกเรา สมัยโบราณเรียกว่ากระโจมสินะ
“ไม่ได้เข้ามาเลยเหรอ” เด็บเบอร์ร่าหน้าตื่น
“ไม่เลยขอรับ พวกข้าเฝ้าระวังอยู่รอบนอก ตามคำสั่งท่านอ๋อง”
ฉันกับเพื่อนสาวมองหน้ากัน พวกเราอาจเจอดีเข้าแล้ว
เงานั่นคือใคร มีอะไรอยู่ในสุสานกันแน่