“คำว่าเพื่อน พูดเบาๆ ก็เจ็บ” เสียงจากหัวใจของแพรไหมที่ตอนนี้มันดังก้องอยู่ในหัว เธอยิ้มราวกับว่ามันไม่ได้มีอะไรที่สะกิดใจแม้แต่น้อย ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครดูออกหรอก เพราะถ้ารู้คงคบกันไม่ได้นานถึงทุกวันนี้
“อ่อ อาหนูแพรไหม อั้วเคยได้ยินแม่ลื้อพูดถึงบ่อยๆ ตัวจริงสวยน่ารักเหมือนที่อาซ้อบอกเลย นี่ขนาดไม่แต่งตัวนะ ถ้าแต่งตัวเหมือนสาวๆ สมัยนี้คงเป็นนางฟ้าแน่”
“อาเจกก็ชมไอ้ไหมเกินไปครับ เดี๋ยวมันจะคิดจริง”
“เหอะ! กูก็สวยไหมไอ้ซัน เนาะพี่เก่ง”
แพรไหมหันไปขอความเห็นจากคนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เก่งเลยพยักหน้าให้เพราะปฎิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าแพรไหมสวยมาก ยิ่งไม่แต่งหน้าแบบนี้ดูเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดเลย น่าแปลกที่ผู้ชายสองคนนี้กลับไม่คิดจะจีบ
“มัวแต่หว่านเสน่ห์อยู่นั่นแหละ จะกินไหมข้าว”
เสียงทุ้มหันมาบ่นคนที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่ได้หันมามองเลยสักนิด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะะเบ้ปากใส่ด้วย ทำเอาอาทิตย์อดไม่ได้ที่จะขำกับท่าทางของเพื่อนสาว
“อยากกินปลา” แพรไหมพูดขึ้นเมื่อเห็นเมนูปลาทอดน้ำปลาที่เธอชอบกิน
“ไม่ต้องสั่ง กูสั่งให้แล้ว”
ใบหน้าสวยหันกลับมาหาเพื่อนสนิท ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา แม้จะแปลกใจที่เขายังจำเมนูโปรดของเธอได้ก็เถอะ แต่ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนกัน
“หึ! เอาใจกันเข้าไป กูนี่เป็นหมาหัวเน่าเลยนะพวกมึง”
อาทิตย์พูดด้วยน้ำเสียงติดงอนแต่ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะอันที่จริงเป็นเขาต่างหากที่บอกเรื่องนี้กับทิวากรให้รู้ ทำเอาแพรไหมต้องรีบทำมือโอ๋อีกฝ่ายเหมือนเด็ก
“เดี๋ยวเถอะมึง ออกไปเที่ยวคราวหน้ากูจะทิ้งมึงไว้ที่ร้านนั่นแหละ ไม่เก็บกลับด้วยหรอก”
“แหม! กล้าพูดนะคะ กูจำได้นะมีแต่พี่ภพที่ดูแลกู ส่วนมึงก็ไปต่อกับหญิง ว่าแต่พี่ภพไปไหนไม่เห็นเลย”
“ถูกยิง ตอนนี้นอนพักที่บ้าน”
“อะไรนะ!! แล้วทำไมมึงไม่บอกกูเลย”
แพรไหมร้องถามอย่างตกใจ ทำเอาอาทิตย์ถึงกับผงะ
“เชี้ย! อีไหมมึงจะเสียงดังทำไม พี่เขายังไม่ตาย แค่ถูกยิงถากๆ สองสามวันมึงก็ได้เห็นหน้าเองนั่นแหละ”
“กินเสร็จพากูไปเยี่ยมพี่เขาด้วย”
“ทำไมต้องไป” อาทิตย์ซึ่งกำลังจะอ้าปากพูดในคำถามเดียวกันนี้ก็พลันต้องหุบลง เมื่อเสียงนั้นดังมาจากคนที่นั่งข้างแพรไหม ทั้งยังจ้องเขม็งราวกับสอบสวนนักโทษ
“เอ้า! ก็คนรู้จักคุ้นเคยกันไหม ไม่รู้เหรอทุกครั้งที่ไอ้ซันมันทิ้งกูไว้ ก็มีแต่พี่ภพที่คอยตามดูแล”
“แล้วมึงเมาแบบเมื่อคืนทุกวันหรือไง”
ทิวากรถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง แพรไหมก็คงถูกภพภูมิอุ้มเข้าห้องมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งมันไม่ปลอดภัยในความคิดเขาเลยสักนิด
“เปล่า เมาหนักสุดก็เมื่อคืนแหละ ปกติมึนๆ ก็กลับ แต่พี่เขาก็ดีกับกูไง แถมยังหล่อด้วย”
“เคร้ง!!” ทิวากรทิ้งช้อนลงใส่จานอาหารที่กำลังจัดวางให้เพื่อนสาวทันทีเมื่อได้ยินกระโยคหลัง
“อะไรของมึง ตกใจหมดเลย”
นัยน์ตาคมที่จ้องมองมา ทำเอาคนที่ตั้งใจจะพูดต่อต้องรีบก้มหน้าหนี อาทิตย์มองเพื่อนสนิททั้งสองคนพร้อมกับหรี่ตาลง ตอนนี้เขากำลังสงสัยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมากของทิวากร ซึ่งมันดูแปลกกว่าแต่ก่อน
“หึ! สงสัยขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณซัน”
“แล้วพี่เก่งไม่สงสัยเหรอ”
อาทิตย์เอี้ยวตัวเอาหัวไหล่ชนกับคนที่นั่งข้างๆ เขากระซิบถาม เพราะดูท่าเก่งเองก็คงสังเกตอยู่เหมือนกัน
“รอดูไปครับ ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน ปกติคุณทิวเขาไม่ค่อยพูด แต่กลับมาคราวนี้เสียงอยู่ที่คุณไหมหมด คิดว่ายังไงล่ะครับ”
ในขณะที่สองหนุ่มตรงข้ามกำลังซุบซิบกัน อาหารก็ถูกยกมาเสริฟ ทั้งสี่จึงลงมือทานโดยไม่พูดอะไรต่อ เพราะทิวากรก็เงียบไปตั้งแต่ได้ยินเพื่อนสาวพูดแบบนั้น ทั้งหมดออกมายืนอยู่หน้าภัตตาคารเพื่อรอรถ
“ตกลงมึงจะไปเเยี่ยมพี่ภพใช่ไหม” อาทิตย์ถามเพื่อนสาวเพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่เธอพูดก่อนนี้
“อืม ไปส่งหน่อยสิ กูไม่รู้บ้านพี่เขาอยู่ที่ไหน”
“กูไปด้วย” ทิวากรพูดขึ้นพร้อมกับดันคนตัวเล็กเข้ารถ
ทำให้อาทิตย์ต้องไปนั่งคู่กับเก่งเหมือนตอนมา แพรไหมขมวดคิ้วมองการกระทำของเพื่อน ซึ่งมันแปลกขึ้นทุกทีจนเธอเกิดกังวลขึ้นมา แต่ก็นั่นแหละจะให้ไปถามว่ามันเป็นอะไรก็คงไม่ได้ เลยต้องปล่อยไว้แบบนี้
เมื่อรถหรูมาถึงบ้านชั้นเดียวซึ่งมีต้นไม้ปลูกจนร่มรื่น ก็เจอกับเจ้าของบ้านซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่
“พี่ภพพวกเรามาเยี่ยมครับ”
อาทิตย์ตะโกนเรียกเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านายก็รีบออกมาเปิดประตูให้
“มาได้ไงครับเนี่ย ทำไมไม่โทรบอกก่อน คุณไหมก็มาด้วย สวัสดีครับคุณทิวากรพี่เก่ง”
ภพภูมิยกมือไหว้เก่งที่มีอายุมากกว่าเขาสี่ปี แต่ทิวากรนั้นอายุน้อยกว่าสองปีรวมถึงอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้วย
“เข้ามาก่อนครับ คับแคบหน่อยนะครับ”
“บ้านน่าอยู่จังเลยค่ะ พี่ปลูกผักด้วยเหรอ”
แพรไหมเห็นซุ้มของผักที่มันขึ้นจนเขียวขจีสวยงามก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมมันเพราะเธอเองก็ชอบทานผัก ทำเอาคนที่ยืนกอดอกมองขบกรามแน่นไปด้วย เมื่อเห็นท่าทีสนิทสนมกันของเพื่อนสาวกับหนุ่มหล่อรุ่นพี่
“พี่เป็นไงบ้างคะ” แพรไหมถามถึงอาการเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีผ้าที่ใช้คล้องแขนอยู่
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณไหมที่เป็นห่วง อีกไม่นานก็คงกลับไปทำงานแล้วก็เก็บคุณไหมได้ตามเดิม”
แพรไหมยิ้มให้แต่มันก็หุบลงทันทีเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้น
“ไม่รบกวนพี่แล้วล่ะ ผมกลับมาแล้วแค่เพื่อนคนเดียว ไม่ต้องรบกวนคนอื่นดูแลหรอก ผมจะดูแลเอง”
แพรไหมยิ้มแห้งใส่ภพภูมิทันที ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ หลังจากนั้นก็อยู่ต่ออีกไม่นาน เพราะดูท่าเจ้าของรถจะหงุดหงิดตลอด แพรไหมบอกให้กลับก่อนก็ไม่ยอม ทั้งหมดก็เลยต้องกลับคอนโด ก่อนที่อาทิตย์จะแยกกลับบ้านโดยมีเก่งขับรถไปส่ง
“ปกติสนิทกับผู้ชายแบบนี้ทุกคนไหม”
“เปล่า ก็มีแค่พี่ภพ พี่เก่ง ไอ้ซัน แค่นั้น”
แพรไหมตอบออกไปโดยลืมพูดถึงคนตรงหน้าที่ยืนซ้อนหลังอยู่หน้าห้องเธอ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมเขาถึงออกจากลิฟต์มาด้วย แต่ดูท่าคงอยากรู้ว่าห้องเธออยู่ชั้นไหนนั่นแหละ
“แล้วกูนี่มึงไม่สนิทแล้วว่างั้น”
“ก็ไม่ได้อยากสนิทแบบเพื่อนซะหน่อย”
แพรไหมคิดในใจก่อนจะเปิดประตูเข้าห้อง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาตอบอีกฝ่ายให้คิดมากกว่าเดิม
“แล้วมึงอยากสนิทกับกูมากแค่ไหนล่ะ”
เธอพูดแค่นั้นก่อนจะปิดประตูลง แต่ดูเหมือนว่าคนที่โตกว่าจะใช้แรงดันมันให้เปิดออกอีกครั้ง จนเธอเกือบหงายหลัง ทิวากรใช้มือปิดประตูพร้อมกับล็อคมันในทันที ทำเอาเพื่อนสาวถึงกับหน้าถอดสี
เพราะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปจนทำให้เขามีท่าทีแบบนี้ ทิวากรจ้องเขม็งที่หน้าสวยซึ่งมันยังคงถูกปกปิดเอาไว้ด้วยแว่นที่ใส่อยู่เป็นประจำ
“อะ อะไรของมึงทิว ออกไปเลยกูจะทำงาน”
เสียงติดสั่นเปล่งออกมาพร้อมกับก้าวถอยเพื่อนตัวโตของเธอ ใจดวงน้อยเต้นถี่รัวเมื่อเขาเดินเข้ามาจนตัวเธอติดกับขอบโต๊ะทานข้าว ตอนนี้แพรไหมจนมุมทั้งที่ห้องก็ออกจะกว้าง ใจเบาหวิวเมื่อเห็นยิ้มร้ายของเพื่อนสนิท
“มึงถามกูว่าอยากสนิทแค่ไหน ถ้ากูตอบมึงจะรับได้เหรอแพรไหม ตอนนี้ยังอยากรู้อีกหรือเปล่า”
เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างหู ตอนนี้เขาใช้มือทั้งสองวางทาบไปบนโต๊ะ ซึ่งตัวของแพรไหมอยู่ตรงกลาง ทำให้ใบหน้าทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากจนลมหายใจเป่ารดกัน
“พะ พูดบ้าอะไรของมึง ออกไปได้แล้ว”
“หึ เก่งไม่จริงเลยนะแพรไหม”
คนตัวเล็กก้มหน้านิ่ง ตอนนี้หัวใจเธอมันเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมทิวากรจะต้องตามเข้ามาแล้วพูดแบบนี้ให้คิดด้วย ทั้งที่เพื่อนทั้งสองตั้งกฎขึ้นมาเองแท้ๆ ว่าห้ามล้ำเส้นเพื่อนเด็ดขาด
“จะทำงานไม่ใช่เหรอ ก็ไปสิ”
เขาพูดทั้งที่ตัวเองก็ยังคงยืนกักอีกฝ่ายเอาไว้ ทำให้แพรไหมผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย ไถลตัวลงด้านล่างเพื่อจะหลบออกจากวงแขนเพื่อน จนใบหน้าเธอมันตรงกับช่วงล่างของทิวากรพอดี หนุ่มหล่อถึงกับกลืนน้ำลาย
เมื่อมองตามการกระทำของเพื่อนสาว ยิ่งใบหน้าและปากที่เผยอจะพูดนั้นอีก มันทำเอาเขาเกือบสติแตกให้ได้ ก็ริมฝีปากอิ่มนี่มันน่าจูบ และน่าให้ทำอย่างอื่นมากกว่าเก็บเอาไว้กินอาหารเสียอีก แต่ทุกอย่างก็มลายหายไปเมื่อเสียงหวานดังขึ้น
“หลบดิ ยืนขวางแบบนี้จะออกยังไง”
“กับคนอื่นทำไมมึงพูดดีจังวะ ทีกับกูทำยังกะเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางไหน มึงเปลี่ยนไปมากนะไหม”
ทิวากรพูดเสียงเข้มใส่อีกฝ่ายทันที เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางดูเหมือนเพื่อนจะอึดอัดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง เพราะเธอกลัวใจตัวเองเวลาที่ต้องเข้าใกล้คนของใจ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น
“กูไม่ได้เปลี่ยน และไม่เคยเปลี่ยนด้วย ออกไปเถอะ”