แพรไหมยืนขำเรื่องของเก่งที่บอกว่าก่อนจะมาถึงงานเขาถูกหมาข้างถนนไล่ฟัด จนต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดของเจ้านายแทน เลยทำให้วันนี้หล่อแปลกตาออกไปกว่าทุกวัน
“ไหมว่าพี่เก่งใส่แบบนี้ทุกวัน อีกหน่อยคนข้างนอกคงแยกไม่ออกว่าใครเจ้านายใครลูกน้องแน่ค่ะ”
แพรไหมยังคงสนุกกับเรื่องราวของคนสนิทเพื่อน จนไม่เห็นว่าทิวากรนั้นเดินมายืนซ้อนหลังแล้ว พอเสียงเงียบลงก็ทำให้เธอนึกเอะใจขึ้นมา ก่อนจะหันตามสายตาของทุกคน พอเงยหน้าก็เห็นเพื่อนสนิทยืนใกล้เอามากๆ ทำให้เธอตกใจจนถอยหลัง แต่ก็ช้ากว่ามือเรียวที่โอบเอวเอาไว้
“ตกใจอะไรนักหนา กูไม่ใช่ผี”
“มาทำไมเงียบๆ ล่ะ”
“เสียงดังก็ไม่ได้ยินคนนินทาน่ะสิ”
“ใครนินทามึง พูดดีดี แล้วก็ปล่อยไอ้ไหมได้แล้วมึงอ่ะ คนมองกันทั้งห้องเดี๋ยวคิดว่ามึงจะกินเพื่อนตัวเองจะยุ่ง”
อาทิตย์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าทิวากรยังคงไม่ปล่อยมือออกจากเอวเล็กนี้เลย และดูเหมือนมันไม่สนใจคำพูดเขาด้วย
“แล้วแต่ใครจะมอง ขนาดมึงยังยืนป้อนขนมกันได้เลย อีกอย่างไหมมันก็นอนค้างคืนห้องกูมาแล้ว กอดเพื่อนแค่นี้ไม่เห็นจะต้องแคร์สายตาคนอื่นเลย”
“เจ็บดีแฮะ มึงไม่ต้องย้ำก็ได้ไอ้ทิว” เสียงตัดพ้อดังขึ้้นในใจของแพรไหม ก่อนที่เธอจะเอ่ยคำพูดออกมาจนคนฟังถึงกับสะอึกไปเสียเอง
“จริงอย่างที่ไอ้ทิวมันบอก ก็เพื่อนกันไม่เห็นต้องแคร์คนอื่น เพราะยังไงมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนได้หรอก”
แพรไหมพูดพร้อมกับหมุนตัวในอ้อมแขนของเพื่อนตัวโต เพื่อหันหน้าออกจากอีกฝ่าย ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเขาโอบกอดเธอไว้จากด้านหลัง
โดยที่ทิวากรก็ไม่ได้ผละอ้อมแขนออกอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้แพรไหมอดหวั่นใจไม่ได้ที่เขาไม่ยอมปล่อยเธอเสียที จนนางแบบสาวอีกสองคนเดินเข้ามาร่วมวงด้วย และจุดสนใจของทั้งคู่ก็คือสองหนุ่มทายาทเศรษฐีนี่แหละ
แพรไหมจึงได้โอกาสผละออกจากอ้อมแขนของเพื่อน ก่อนจะเดินไปหลบที่ระเบียงด้านนอกเพื่อสูดอากาศ ทำให้ได้พบกับใครบางคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว
“อุ้ย! รบกวนหรือเปล่าคะ” เธอเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่
“ไม่ครับ” เขาตอบก่อนจะดับบุหรี่ในมือ ทั้งที่พึ่งจะจุดมันขึ้นมาแท้ๆ ทำเอาแพรไหมนึกเกรงใจที่เดินออกมารบกวนเวลาของเขาเสียได้
“คุณสูบต่อก็ได้นะคะ ฉันไม่เป็นไร”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากทำร้ายคุณ”
“พูดเหมือนในโฆษณาเลยนะคะ”
แพรไหมอดไม่ได้ที่จะแซวคนแปลกหน้าออกไปพร้อมกับรอยยิ้มกระชากใจ ที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันทำให้ฝั่งตรงข้ามถึงชะงัก เขายกยิ้มมองสาวสวยตรงหน้าก่อนจะก้าวเข้ามาหา แต่ก็เว้นระยะห่างเอาไว้เพื่อไม่ให้เธอตื่นกลัว
“คุณคงเป็นเพื่อนสนิทของคุณทิวสินะครับ”
“ค่ะ รู้จักกันตั้งแต่ห้าขวบได้มั้ง”
“มิน่าละสองคนนั้นถึงได้ดูหวงคุณนัก”
“ไม่หรอกค่ะ สองคนนี้ก็แสดงไปแบบนั้นเอง พอสาวๆ เข้าหาก็ไม่สนใจไหมแล้วดูสิคะ ฮ่าฮ่า”
แพรไหมพูดพร้อมกับเสียงหัวเราะดังขึ้นมา แต่ในใจมันก็เจ็บไม่น้อย ซึ่งดูเหมือนคนที่โตกว่าก็พอที่จะเข้าใจ คนที่โตมาด้วยกันขนาดนี้ในใจจะไม่คิดวอกแวกเลยคงเป็นไปไม่ได้ และดูเหมือนคนที่แพ้จะเป็นสาวสวยคนนี้ด้วย
“พี่ชื่อ เอกรินทร์เรียกเอกเฉยๆ ก็ได้นะครับ น้องไหม”
คิ้วเรียวขมวดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายทราบชื่อเธอ ปกติก็ไม่ใช่คนดังอะไร อีกอย่างมาที่นี่ก็ไม่มีคนที่รู้จักเป็นการส่วนตัว และยังไม่ได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับใครเลย
“พี่รู้จักชื่อไหมได้ไงคะ”
“เสียใจอยู่นะครับ ที่จำลุงรหัสไม่ได้”
“ละลุงรหัส พี่เอกที่จบไปแล้วสองปีน่ะเหรอคะ ไหมขอโทษค่ะ ก็ปกติเราไม่เคยเจอกันนอกรอบเลย เห็นแต่ใส่ชุดนักศึกษาพอมาเจอแบบออกงานอย่างนี้ใครจะไปจำได้”
แพรไหมอุทานด้วยความตกใจ และก็เหมือนเคยที่เธอจะพูดยาวขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เคยรู้จัก เลยไม่แปลกที่เธอจะสนิทกับอีกฝ่ายเร็วขึ้น เสียงพูดคุยออกรสจึงทำให้แพรไหมลืมใครบางคนได้ชั่วขณะ
ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาสบทบจนทำเอาเธออึดอัดอีกครั้ง เพราะมีคนอื่นตามมาด้วย และยังคงสงเสียงทักทายมาราวกับจับผิด
“แหม!! คุณเอกรู้จักน้องไหมด้วยเหรอคะ คุยกันสนุกสนานเชียว หรือว่าปกติน้องไหมเป็นคนเฟลลี่แบบนี้”
รุ่งทิวานางแบบสาวพูดขึ้นพร้อมกับสายตาที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ชอบเพื่อนสาวของหนุ่มหล่อที่ตอนนี้เธอกำลังควงเขาอยู่ ตั้งแต่ทิวากรกลับมาจากเมืองนอกเกือบเดือน รุ่งทิวาก็ตามติดเขาพอๆ กับเพียงฟ้า และข่าวของสองสาวนี้ก็ดังในประเทศพอสมควร ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าใครจะได้เป็นตัวจริง เพราะดูท่าชายหนุ่มจะคั่วทั้งสองคน
“น้องไหมไม่รู้จักผมไม่ได้หรอกครับ เพราะน้องเขาเป็นหลานรหัสผมที่มหาลัย พูดไปคุณรุ่งอาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะได้ยินมาว่าคุณไม่ได้เข้ามหาลัย ผมไม่ได้ตั้งใจจะเหยียดหรืออะไรคุณนะครับ แค่บอกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องในมหาลัยเขารักและนับถือกันมาไม่ต่างจากเพื่อนพี่น้อง”
เอกรินทร์พูดขึ้นเสียงเรียบ ทำเอาคนที่ถูกตำหนิอยู่กรายๆ ถึงกับหน้าเสีย ต่างจากแพรไหมที่แอบยิ้มจนทิวากรนึกหมั่นไส้ เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวมีหนุ่มหล่อปกป้อง ซึ่งเขาเองก็รู้จักดีเพราะเป็นเพื่อนร่วมทุนของบริษัท
“แหม! ใครจะคิดแบบนั้นกันคะ รุ่งก็แค่แปลกใจเท่านั้น”
“ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับที่เห็นผมสนิทกับน้องไหม เพราะขนาดคุณเองก็ยังสนิทกับคุณทิว ได้ยินว่าเจอกันไม่ถึงอาทิตย์เลย ก็ไปไหนต่อไหนกันจนมีภาพออกมาอยู่เป็นระยะไม่ใช่เหรอ นี่ผมรู้จักไหมมาตั้งเกือบสี่ปีจะไม่ให้ทักกันก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
เอกรินทร์ยังคงมิวายพูดเหน็บอีกฝ่าย เพราะเขาอยากให้คนอื่นๆ ได้ยินด้วย จะได้ไม่เอาไปพูดต่อให้คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เสียหาย ในเมื่อเพื่อนสนิทอย่างทิวากรยังไม่คิดจะปกป้องเธอ เขาก็ยินดีจะทำหน้าที่แทน
แต่นั่นมันเพียงแค่ความคิดเขา เพราะทิวากรเริ่มรู้สึกควบคุมอารมณ์หงุดหงิดตัวเองไม่อยู่แล้ว เขาทนมองเพื่อนสาวที่คุยกับรุ่นพี่อยู่นานแล้ว ทีแรกจะเดินมาแต่ก็ถูกอาทิตย์ห้ามเอาไว้ โดยให้เหตุผลว่าอยากให้แพรไหมเปิดใจให้ใครสักคนดูบ้าง ซึ่งอันที่จริงเขาสองคนพูดกันเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว
เพราะบางทีเธอก็อยู่แต่กับพวกเขาจนไม่มีใครกล้าเข้ามา แต่หากเป็นจักรินทร์เขาและอาทิตย์ก็ยินดีเพราะรู้จักและสนิทอีกฝ่ายมากพอดู และรู้ว่าเขายังไม่มีใคร
“จะเป่าเค้กแล้ว ไปกับกู” เขาเอื้อมมือไปจูงเพื่อนสาวทันที โดยไม่สนว่าใครจะมองยังไง
“สงสัยจะเอาจริงแล้วครับ อาการออกขนาดนี้”
ภพภูมิพูดขึ้นเมื่อเห็นการแสดงออกของทิวากร ซึ่งทีแรกบอกจะปล่อยให้สองคนนี้ได้พูดคุยเพื่อจะได้สานสัมพันธ์ต่อไปในวันข้างหน้า แต่ดูท่าเพื่อนสนิทคงทำใจรับไม่ได้ถึงได้จูงมือออกมา
“มันทำขนาดนี้ยังไม่รู้ใจตัวเอง จะบื้อไปถึงไหน”
อาทิตย์พูดขึ้นเสียงติดเหนื่อยใจกับเพื่อน
“คุณทิวไม่รู้ใจตัวเอง แล้วคุณไหมล่ะครับ เธอจะโอเคกับเพื่อนสนิทที่มีท่าทางเปลี่ยนไปแบบนี้หรือเปล่า”
สองหนุ่มหันกลับมายังคนที่เงียบอยู่นานอย่างเก่ง ทิวากรพาเพื่อนสาวมายืนรอเป่าเค้กอย่างที่บอก ซึ่งมันเร็วกว่ากำหนดไปสองชั่วโมง ทุกคนเลยมายืนออกันล้อมเจ้าภาพ พร้อมกับบริกรที่มาเดินเสริฟเครื่องดื่ม
“นี่ค่ะน้องไหมน้ำผลไม้”
สาวสวยหนึ่งในจำนวนคนที่มางานส่งแก้วให้แพรไหม ก่อนที่เธอคนนั้นจะเดินไปประกบทิวากร แพรไหมเลยเดินเลี่ยงออกมานั่งดื่มอยู่กับกลุ่มของเก่งและภพภูมิ และก็ยังมีค็อกเทลผลไม้ที่ถูกส่งมาให้เธออยู่เรื่อยๆ
“ดูท่าสองหนุ่มคงไม่พ้นมือสาวๆ คืนนี้แน่ครับ”
ภพภูมิพูดขึ้น หลังจากที่ดื่มกันต่อเกือบชั่วโมง ก่อนจะเห็นอาการเปลี่ยนไปของแพรไหม เพียงเท่านั้นเขาก็รีบตรงไปรายงานเจ้านายทันที
“ไหมมึงดื่มอะไรเข้าไปเนี่ย”
แพรไหมกะพริบตาถี่เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิท เธอทั้งแปลกใจและกลัวการกระทำของทิวากรอยู่ไม่น้อย เขาแปลกไปมากหลังจากที่กลับมาจากเมืองนอก บางทีก็เหมือนไม่สนใจ แต่บางทีก็เหมือนพยายามควบคุมอะไรบางอย่างอยู่ จนเธอรู้สึกเหมือนเขาไม่ใช่คนเดิม
“ทิวจะไปไหน เพื่อนๆ ยังอยู่ที่งานกันเยอะแยะไม่เห็นเหรอ ผู้หญิงของมึงอีกจะทิ้งเขาไว้แบบนั้นหรือไง”
อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ยังคงบึ่งรถหรูมาเรื่อยจนกระทั่งถึงคอนโด ทำเอาแพรไหมยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม แต่ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาเมื่อคิดได้ว่าเขาคงแค่มาส่งเธอกลับเท่านั้น พอคิดเองเสร็จสรรพก็เปิดประตูลงจากรถเดินโงนเงนตรงไปที่ลิฟต์โดยไม่พูดอะไร
ทำเอาคนตัวโตงงกับการกระทำของเธอแทน เพราะเพื่อนสาวเปลี่ยนไปทันทีจนเขาอดใจหายไม่ได้ ก่อนจะเดินตามไปยังลิฟต์และเข้าไปยืนเงียบๆ มองเพื่อนสนิทอยู่ด้านหลัง การแต่งตัวของเธอมันขัดใจเขาเอามากๆ
“มาส่งแล้วก็กลับไปสิ ป่านนี้สาวๆ รอแย่แล้วมั้ง”
แพรไหมพูดขึ้นก่อนจะตั้งท่าเดินออกจากลิฟต์เมื่อประตูเปิดออก แต่กลับถูกกอดเข้าที่เอวเล็กจนตัวลอยจากพื้น พร้อมกับประตูลิฟต์ที่ปิดลงอีกครั้ง กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ปนเปื้อนในปากของทั้งคู่ มันทำให้คนตัวโตเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาได้แต่บอกตัวเองว่าอย่า
ถึงอีกฝ่ายจะทำหน้าเชิญชวนมากแค่ไหนก็เถอะ แต่คนตรงหน้าคือเพื่อนสนิทที่เขาไม่ควรจะล้ำเส้นเด็ดขาด ไม่งั้นคงไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แน่ เสียงตัดพ้อดังขึ้นพร้อมกับท่าทางที่กลับไปกลับมาของเธอ มันทำให้เขารู้ได้เลยว่าตอนนี้เพื่อนสาวคงถูกมอมยาแน่ๆ
“เอาไงครับ ปล่อยไว้แบบนี้คงช็อคในไม่ช้า”
“พี่กลับไปเถอะ ผมจะจัดการเอง”
“แน่ใจในสิ่งที่จะทำนะครับ”
“อืม ผมปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้หรอก”