ทางด้านคุณหญิงการะเกดนั้น หลังจากปลอบโยนบุตรสาวคนเดียวที่เอาแต่ตีโพยตีพายไม่อยากแต่งงานกับใครก็ไม่รู้เสร็จแล้ว หล่อนก็รีบปรี่ขึ้นไปหาสามีที่ตอนนี้คงจะอยู่ในห้องทำงาน แล้วเมื่อถึงที่หมายก็ได้พบกับกษิดิษย์ที่อยู่ที่ตรงนั้นจริงๆ อย่างที่คาดหมายเอาไว้
“ฉันถามจริงๆ นะคะคุณดิษย์ ทางออกของเรามีแค่ต้องขายลูกสาวกินจริงๆ เหรอคะ”
คุณหญิงการะเกดถามทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม นั่นทำให้กษิดิษย์หน้าเสีย แต่ก็พยักหน้ารับ
“ใช่ มีทางเดียว”
“คุณหายืมเพื่อนฝูง หรือขอกู้ธนาคารหรืออะไรก่อนก็ได้ไม่ได้รึไงกัน”
“ไม่มีแล้วคุณหญิง ทุกวิธีที่คุณเอ่ยมาผมทำหมดแล้ว”
ได้ฟังคำตอบคุณหญิงการะเกดก็ไม่พอใจ “ตายแล้ว” หล่อนกรีดเสียงร้องอย่างรับไม่ได้เมื่อคิดถึงความเป็นจริงบางอย่างขึ้นมาได้ พอกษิดิษย์มองหน้า คุณหญิงการะเกดจึงพูดต่อไปว่า “ทีนี้แหละ...คนในวงสังคมก็จะเอาไปนินทากันไปทั่วว่าพีระนันท์ล้มละลายจนต้องขายลูกสาวกิน”
“ผมไม่ได้ขายยายปีบ”
“แล้วไอ้การแต่งงานนี่มันต่างจากขายตรงไหนคุณดิษย์” หล่อนโต้ตอบกราดเกรี้ยว “ลูกสาวฉัน ฉันเลี้ยงมาอย่างดี ชาติตระกูลแกก็สูงส่ง แต่จู่ๆ ต้องไปแต่งงานกับไอ้ฝรั่งไร้หัวนอนปลายเท้า โอย...ฟังแล้วขอตายเสียยังดีกว่า”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มิสเตอร์แมคไกวร์ก็ใช่ว่าจะเป็นคนเลวร้าย”
“แต่ก็ไม่มีใครเคยพูดว่าเขาเป็นคนดี คุณก็รู้อยู่แก่ใจแล้วยังกล้าคิดจะส่งลูกเข้าปากเสืออย่างนั้นเหรอคุณดิษย์ จิตใจคุณทำด้วยอะไรกัน”
ถ้อยคำกราดเกรี้ยวของผู้เป็นภรรยาทำให้สามีพูดไม่ออก คุณหญิงการะเกดเลยได้แต่เดินไปมาอย่างพยายามคิดหาทางออก
“ว่าแต่เรื่องนี้คุณเรียนให้คุณแม่ท่านทราบหรือยัง” ในตอนหนึ่งคุณหญิงการะเกดเอ่ยถามขึ้นอย่างนึกได้ มารดาของกษิดิษ์นั้นย้ายตัวเองไปอยู่เรือนเล็กได้หลายปีแล้ว เพราะบอกว่าสุขภาพไม่ค่อยดีอยากอยู่อย่างสงบ แถมตึกใหญ่คนก็พลุกพล่านมากเกินไป ท่านไม่ชอบ
“ผมเรียนคุณแม่ก่อนใครๆ เลย” กษิดิษย์ตอบพลางถอนหายใจ นึกถึงใบหน้าซีดขาวของมารดาวัยชราแล้วก็นึกเสียใจ เหตุเพราะตนเองทำให้ตระกูลเก่าแก่สูงส่งอย่างพีระนันท์ล่มสลาย
“แล้วท่านว่ายังไงบ้าง ท่านเห็นด้วยกับความคิดของคุณหรือเปล่า”
คุณหญิงถามด้วยความอยากรู้
กษิดิษย์ส่ายหน้าก่อนจะตอบว่า “ท่านบอกว่าขอไม่ยุ่ง แต่ก็เตรียมเก็บของย้ายไปอยู่ที่อื่นเหมือนกัน”
“ที่จริงนะคุณดิษย์ ฉันว่าแม่คุณน่าจะพอมีสมบัติเหลือให้เราไปใช้หนี้ได้บ้าง ทำไมคุณไม่ยืมท่าน”
“คุณหญิง!” กษิดิษย์เสียงดังใส่ภรรยาอย่างไม่พอใจ “ผมจะไปยุ่งกับของๆ คุณแม่ได้ยังไง แค่นี้ที่ได้มาจนทำล่มจมผมก็ได้มากพอแล้ว ผมไม่อยากไปรบกวนท่าน”
“อ้อ...เลยจะให้ลูกสาวขายตัว หรือให้เมียลำบากก็ได้สินะ ระวังเถอะแม่คุณจะใจอ่อนหรือไม่ก็แอบทำพินัยกรรมยกสมบัติให้นังกาฝากนั่นไปหมดแล้ว เหมือนแม่มันเคยแย่งผัวฉันไป ลูกมันก็คงจะแย่งสมบัติที่ควรเป็นของลูกฉันไปเหมือนกัน”
“อย่าคิดบ้าๆ นะคุณหญิง สมบัติคุณแม่ ท่านจะให้ใครก็ไม่เกี่ยวกับผม แล้วอีกอย่างมาลินีก็ตายไปแล้ว อย่าลากเอาคนตายมาเกี่ยวด้วยเลย”
“อ้อ...” คุณหญิงการะเกดลากเสียงยาวด้วยความโกรธเคือง “แตะต้องไม่ได้เลยนะ เมียรักนี่ รักมันมากทำไมไม่หย่าจากฉันแล้วไปอยู่กินกับนังเมียคนใช้ของคุณล่ะ”
“ผมเบื่อเรื่องเก่าๆ แบบนี้เต็มทน เราเลิกพูดกันดีกว่าคุณหญิง ถ้าคุณไม่อยากให้ยายปีบแต่งงานก็รีบไปเก็บของซะ ผมก็จะเริ่มเก็บของแล้วเหมือนกัน”
พูดจบกษิดิษย์ก็เดินหนีผู้เป็นภรรยาที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็วกกลับมาทะเลาะกับท่านด้วยเรื่องของมาลินีและการะบุหนิงได้ทุกครั้ง
เขารู้...เรื่องของสองแม่ลูกนี้คือตราบาป แต่หากคิดในแง่ความเป็นจริงคนที่ผิดก็คือเขาเองที่ตอนนั้นเบื่อหน่ายเมียจู้จี้ขี้บ่นอย่างคุณหญิงการะเกด เลยเผลอไผลเผลอใจเกี้ยวพามาลินี หว่านล้อมคนที่ตอนแรกไม่ยินยอมให้ยอมเขาจนได้ ทั้งสัญญาปากเปล่าว่าจะเลี้ยงดูยกย่องอย่างดีในวันที่มีอะไรกัน ทว่าสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็ไม่เคยเป็นจริง และจนเมื่อมีการะบุหนิง คุณแม่ของเขายิ่งกันไม่ให้เขาได้อยู่ใกล้มาลินี บวกกับความโกรธเกรี้ยวเสียใจของคุณหญิงการะเกดภรรยาคนแรก ทำให้อย่างไรกษิดิษย์ก็เลือกคุณหญิงการะเกดเพราะเขารักหล่อน กับมาลินีนั้นอาจเป็นแค่อารมณ์วูบหนึ่ง แต่เป็นตราบาปที่ทำให้ใจเขาร้อนเป็นไฟจนถึงทุกวันนี้
ทุกวันได้แต่มองลูกสาวที่ถูกกีดกัน จะขยับตัวใกล้ชิดอะไรก็ไม่ได้ ยิ่งพอคุณหญิงการะเกดเกิดตั้งท้องขึ้นมา กษิดิษย์ยอมรับว่าเขาลืมสองแม่ลูกผู้น่าสงสารนั้นไปเสียสนิทใจ ได้แต่รักและทุ่มเทให้แก่กาสะลองค่าที่ได้ดูแลใกล้ชิดมากกว่า จนสุดท้าย...ทุกวันนี้สถานะของเขาและลูกสาวคนโตที่เปรียบไปก็เหมือนคนแปลกหน้าทำให้กษิดิษย์หนักใจเงียบๆ
ลูก...ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รักเท่ากันทุกคน...ถึงจะเพิ่งรู้ตัวก็ตาม