“ลูกชายคุณมันปากเสียคุณคีรี มันด่าฉันไม่ไว้หน้าเลย คุณต้องจัดการให้ฉันนะคะ”
วิมาดารีบปรี่ขึ้นมาฟ้องผู้เป็นสามีทันทีที่คีธลับกายหายไป หญิงวัยห้าสิบกว่ายังเนื้อตัวสั่นระริกด้วยความโกรธเคืองที่สุมอยู่ในอก
คีรีได้แต่ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็พยักหน้ารับอย่างจำใจ ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าถึงพูดไปคีรินทร์มันก็ไม่เคยฟังเขาแม้แต่น้อย
“แล้วผมจะจัดการให้”
“ดีค่ะ” พอได้ยินคำรับปากเป็นมั่นเหมาะ หล่อนก็คลี่ยิ้มอย่าง
พึงพอใจ “ว่าแต่ที่มันมาวันนี้มีธุระอะไรกันหรือคะ?”
หล่อนเลียบเคียงถามด้วยความอยากรู้ หวังว่าคงไม่ได้พูดเรื่องจะแบ่งสมบัติให้ไอ้เด็กนั่นหรอกนะ วิมาดานึกในใจ ทั้งที่จริงแล้ววัยของคีธนั้นเกินกว่าจะจิกเรียกว่าเด็กได้แล้ว แต่หล่อนชอบใช้และพยายามจะใช้เพื่อตอกย้ำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่ามันด้อยกว่าหล่อน!
ก็แค่ลูกนังฝรั่งจนๆ สงสัยหมดทางหากินที่โน่นถึงคิดจะกลับมาเกาะกินสมบัติของภัทรอนันต์ล่ะสิท่า!
หล่อนปรามาสทั้งนึกกลัวว่ามันจะเป็นความจริง วิมาดาไม่เคยรู้ระแคะระคายเลยสักนิดเดียวว่า ไอ้ลูกฝรั่งกระจอกๆ คนนั้นแท้จริงแล้วทรัพย์สินมากกว่าหล่อนไม่รู้กี่เท่า เหตุเพราะคีรีไม่เคยบอกเล่าเกี่ยวกับคีธให้หล่อนฟังสักครั้ง หญิงสาวจึงได้แต่คาดเดาเอาเองเท่านั้น
“ไม่มีอะไรมากหรอก ผมแค่ไม่ชอบที่มันไปยุ่งกับพวกพีระนันท์”
“เอ๊ะ” พอได้ยินชื่อศัตรูเก่าแก่ช้านานวิมาดาก็อุทานอย่างแปลกใจ
“ช่างเถอะคุณหญิง คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมขอทำงานก่อนแล้วกัน”
คีรีตัดบท ไม่อยากบอกเล่าอะไรมากกว่านี้ว่าแท้จริงแล้วคีธนั้นคือเจ้าหนี้รายใหญ่ของพีระนันท์ เขารับจำนองบ้าน ซื้อหุ้นของโรงแรม
เดอ มาเรียน่าของพวกนั้นและธุรกิจอีกหลายตัวของพวกพีระนันท์ นั่นทำให้คีรีได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ
ไอ้ลูกโง่!
ถ้ามันอยากลงทุนในไทย แค่มันเอ่ยปากบอกเขา เขาสามารถช่วยเหลือจัดการธุรกิจดีๆ ให้มันได้อีกหลายตัวโดยที่ไม่ต้องไปทุ่มเงินมหาศาลกับกลุ่บริษัทที่ใกล้เจ๊งไปแล้วอย่างของพวกพีระนันท์หรอก!
ไม่รู้ว่าไอ้ลูกหัวดื้อมันคิดอะไรของมัน แล้วยิ่งวันนี้มันพูดเหมือนจะแต่งงานเกี่ยวดองกับพวกพีระนันท์!
คีรินทร์มันคิดหรือว่าเขาจะยอมให้เลือดภัทรอนันต์ปะปนกับ
พีระนันท์ได้!
ตอนที่กลับมาถึงโรงแรมเดอ มาเรียน่านั้นแมทธิวก็รีบตรงเข้ามาหาเจ้านายของตนเองทันที ท่าทางกระวนกระวายนั้นทำให้คีธยิ้มเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะนึกห่วงเขา สงสัยจะคิดว่าเขาคงจะอารมณ์เสียหรืออาละวาดอย่างเคยเสียกระมัง
คีธเดินตรงไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับตบบ่าหนักๆ สองสามที
“อย่าทำหน้าเหมือนฉันเพิ่งกลับมาจากสนามรบสิ” เขาเย้าคนสนิทที่รู้เรื่องราวทุกอย่างของตนเองดีอย่างอารมณ์ดี สีหน้าแมทธิวตอนนี้เหมือนจะโล่งใจอย่างไรชอบกลที่เขาไม่อารมณ์เสียหงุดหงิดกลับมาดังที่เคย
“ก็...”
“ช่างมันเถอะ อย่าพูดถึงเลย” คีธตัดบท “เอ้า ตอนฉันไม่อยู่มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ จะมีก็แต่มิสเตอร์แคมป์เบลล์โทรหาคุณ”
“งั้นเหรอ” คีธขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “แล้วมันฝากอะไรไว้หรือเปล่า” ชายหนุ่มถามกลับ
มิสเตอร์แคมป์เบลล์หรือโธมัส แคมป์เบลล์คือเพื่อนสนิทของเขาเอง ตอนนี้เจ้าตัวคงร่อนๆ อยู่เมืองไหนสักเมืองในอเมริกานั่นแหละ โทรมาอย่างนี้ไม่รู้มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า คีธครุ่นคิด
“ฝากแค่ให้โทรกลับเท่านั้นแหละครับ”
“อืม งั้นเดี๋ยวฉันค่อยโทรกลับหามันอีกทีแล้วกัน” เขาบอกอย่างตัดสินใจได้ “ตอนนี้ฉันหิวแล้ว เราไปหาอะไรทานกันดีกว่า แล้วค่ำๆ หน่อยค่อยไปเปิดหูเปิดตากัน ดีหรือเปล่า”
ตอนท้ายหันไปถามเป็นเชิงเย้าผู้ช่วยตนเองทำให้แมทธิวมองเหมือนจะค้อนในยามที่เอ่ยห้าม
“ไม่เอา ไม่ไป คุณก็ต้องห้ามไปพรุ่งนี้มีประชุมบอร์ดบริหารด้วย”
คีธหัวเราะ ยกมือขึ้นเสมอไหล่เป็นท่ายอมแพ้ “โอเคๆ ไม่ไปก็ได้ นายนี่ไม่รู้จักคลายเครียดเลยนะแมท แก่กว่าฉันไม่กี่ปีแท้ๆ แต่ชอบทำเหมือนแก่กว่าเป็นสิบปี”
ถึงอย่างนั้นคนเป็นเจ้านายยังไม่วายแกล้ง นั่นทำให้แมทธิวตีหน้าหงิกใส่อย่างไม่ปิดบังและไม่เกรงใจ เพราะตนเองสนิทกับนายจ้างมานาน ถูกเลี้ยงดูคู่กันให้เป็นทั้งข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และบอดี้การ์ดเคียงข้างนายแห่งฟีนิกส์จึงไม่ค่อยเกรงกลัวอีกฝ่ายเท่าไหร่นักและกล้าแสดงออกถึงอารมณ์ไม่พอใจของตนเองให้อีกฝ่ายรับรู้