ชีวิตหนี้
ตอนที่ 1
รถสีขาวคันเล็กแล่นผ่านรั้วบ้าน ก่อนจะขับไปจอดสนิทที่ลานจอดรถใกล้ ๆ ตัวบ้าน หญิงสาวเจ้าของดวงตากลมโตภายใต้คิ้วเรียวงามที่รับกับขนตางอนยาวคู่นั้น เธอดูมีความเศร้าหมองอยู่เต็มใบหน้าและดวงตาของเธอ เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วหญิงสาวคนนี้ต้องสูญเสียผู้เป็นบิดาที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เธอและมารดาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอเรื่องราวข่าวเศร้าของบิดาที่ฆ่าตัวตายด้วยเรื่องหนี้สินที่แก้ไม่ตก
ร่างระหงเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านก่อนจะเงยมองภาพถ่ายของบิดาจนตัวเองต้องน้ำตาซึมอีกครั้ง เพราะเมื่อเช้านี้เธอเพิ่งกลับจากการนำเถ้ากระดูกของบิดาไปลอยอังคารกับคุณแม่
อลิสาสาวน้อยวัย 21 ปี ชีิวิตเธอสวยหรูและสุขสบายตั้งแต่เด็กจนโต เธอเป็นสาวสวยตามแบบฉบับสาวไทยใบหน้าสวยหวานเป็นรูปไข่ จนสาว ๆ หลายคนที่เป็นเพื่อนต่างพากันอิจฉา จมูกโด่งรั้นรับกับใบหน้าเส้นผมสีดำเงางามยาวเกือบครึ่งแผ่นหลัง และด้วยความงดงามนี้จึงไม่แปลกเลยที่เธอจะได้รับมงกุฎตำแหน่งดาวมหาลัย
อลิสาเดินสำรวจภายในบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงที่จัดเอาไว้อย่างสวยงามลงตัว แต่น่าเสียดายที่หญิงสาวเจ้าของดวงตากลมโตคนนี้จะได้ครอบครองบ้านอันแสนอบอุ่นแห่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว
ย้อนไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน
“ถึงขนาดนี้แล้วเรื่องบ้าน..เราอย่ายึดติดเลยค่ะแม่ ขายบ้านให้เร็วที่สุด เหลือไม่เหลือไม่เป็นไร เดี๋ยวพอเรามีเงินค่อยหาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ก็ได้นี่ค่ะแม่”
“เมื่อคืนแม่ก็นอนคิดทั้งคืนเลย มันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเราแล้วนะลูก”
“แต่ถ้าแม่ไม่ขาย...วันหนึ่งบ้านของเราก็ต้องถูกธนาคารยึดอยู่ดี”
“ถึงแม่จะเสียดายบ้านหลังนี้แค่ไหน แต่แม่ก็ตัดสินใจแล้วล่ะ ว่าจะขาย”
“ดีแล้วค่ะแม่ งั้นเดี๋ยวหนูจะช่วยลงประกาศตามเพจบ้านมือสองนะคะ” อลิสาคิดว่าอย่างน้อย ๆ ขายให้คนที่เขาอยากซื้อบ้านจริง ๆ ดีกว่าเราปล่อยให้ธนาคารยึดขาดทอดตลาด
“แม่เตรียมที่อยู่ใหม่ของเราเอาไว้แล้วล่ะ เป็นห้องเช่าเล็ก ๆ หนูอยู่ได้ใช่มั้ยลูก” ก่อนหน้านี้ผู้เป็นมารดาได้ค้นหาบ้านปล่อยเช่าราคาถูกตามที่ลงเอาไว้ในเพจต่าง ๆ มาบ้างแล้ว เพียงแค่เธอยังทำใจที่จะต้องขายบ้านหลังนี้ไป แต่ตอนนี้เธอไม่มีแรงจะต่อสู้กับเจ้าหนี้ของสามีที่เดินทางมาทวงหนี้ไม่เว้นแต่ล่ะวัน ถึงอย่างไรเสียขายเอาเงินมาใช้หนี้ก็ยังดีกว่ามีเจ้าหนี้มาทวงเงินรายวันให้ปวดหัวอยู่เช่นทุกวันนี้
“อยู่ได้ค่ะ ขอให้มีแม่..หนูก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ แม่อย่าทิ้งหนูไปเหมือนพ่อนะคะ” อลิสาเข้ามากอดเพื่อให้กำลังใจผู้เป็นมารดา
“แม่ไม่มีวันทิ้งหนูหรอกลูกหรอก แต่ช่วงนี้หนูต้องอดทนเอาหน่อยนะลูก เพราะรถของหนูแม่ก็อาจจะต้องขายมันไปเหมือนกัน” ผู้เป็นมารดาพูดกับบุตรสาวเพราะรถที่อลิสาขับไปมหาลัยทุกวันนี้ ยังไงก็ต้องขายเพื่อรวบรวมเอาเงินมาให้เจ้าหนี้อยู่ดี
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูโหนรถเมล์ไปเรียนเอาก็ได้ อีกแค่ปีเดียวหนูก็จบแล้ว”
หลายวันต่อมา บ้านหลังงามของสองแม่ลูก ก็มีนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งต้องการจะซื้อ เพราะบ้านหลังนี้ตั้งราคาขายเอาไว้ถูกมาก ๆ ก่อนจะเจรจาตกลงซื้อขายและเข้ามาดูบ้านภายในอาทิตย์หน้า สองแม่ลูกจึงได้นั่งปรึกษากันถึงเรื่องการหาที่อยู่ใหม่
“วันจันทร์หน้าจะมีคนมาดูบ้านของเรา ถ้ายังไงแม่ฝากหนูให้ช่วยพาเค้าดูบ้านของเราด้วยนะ เผื่อว่าแม่ต้องไปจัดการเรื่องหนี้สินให้พ่อที่ธนาคาร” ศศิธรบอกกับบุตรสาว
“แม่คะ..แล้วเราจะต้องย้ายออกไปจากที่นี่วันไหนคะ” อลิสาเอ่ยถามผู้เป็นมารดาก่อนที่เธอจะเดินออกจากประตูบ้านไป
“ก็ก่อนที่เจ้าของบ้านคนใหม่เขาจะย้ายเข้ามาอยู่นั่นแหละ แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะมาเร่งอะไรเราหรือเปล่า แต่ยังไง..เราก็ต้องเตรียมตัวเก็บข้าวของกันตั้งแต่เนิ่น ๆ นะลูก” ศศิธรหันหลังแล้วเดินกลับมาบอกลูกสาว อลิสาเห็นแววตาเศร้าสร้อยของมารดา เธอจึงเข้าไปกอดเพื่อให้กำลังคุณศศิธรมารดาของเธอ
คุณวัชรโชคบิดาของอลิสา ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง แต่ว่าพักหลัง ๆ มานี้เขาเองมีปัญหาเรื่องการเงินมาโดยตลอดเนื่องจากโรงงานผลิตสินค้าของเขาถูกน้ำท่วมจึงทำให้สินค้าและทรัพย์สินเสียหายเป็นจำนวนมาก
จากฐานะของครอบครัวที่จัดว่าอยู่ในระดับร่ำรวยและไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเงินเลย ก็เพิ่งมาสะดุดเอาเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเพราะไม่มีสินค้าส่งมอบกับให้ดิลเลอร์จนทำให้เดือนที่ผ่านมาคุณวัชรโชคถูกศาลพิพากษาในความผิดฐานฉ้อโกงฉ้อโกงบริษัทเครื่องสำอางคู่ค้าเป็นเงินถึง 50 ล้านบาท
ศาลชี้ว่าคุณวัชรโชคมีพฤติการณ์ที่ใช้สัญญาซื้อขายหลอกลวงและอ้างว่าจะส่งมอบสินค้าและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้ และต่อมาภายหลังคุณวัชรโชคก็มีหนี้สินล้นพ้น จึงถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศศิธรผู้เป็นภรรยาจึงต้องรีบขายบ้านหลังนี้เพื่อที่จะนำเงินมาชดใช้ให้เจ้าหนี้โดยเร็วที่สุด