บทที่ 9
ภายในห้องประชุมบริษัท เอเค พร็อพเพอร์ตี้ ทุกคนมีท่าทางเคร่งเครียดเมื่อโปรเจคบ้านพักตากอากาศสุดหรูยังไม่คืบหน้าไปไหน ด้วยติดปัญหาด้านการเจรจาซื้อที่ดินเพราะถูกคู่แข่งทำทุกทางเพื่อขัดแข้งขัดขาและเจ้าของที่ดินเองก็ฉลาดแกมโกงไม่น้อย
“เรื่องที่ดินไปถึงไหนแล้วคุณพิพัฒน์” ตติยะเอ่ยถามลูกน้องคู่ใจที่มักทำงานได้ยอดเยี่ยมถูกใจเขาเสมอ
“ยังไมคืบหน้าเลยครับ เจ้าของที่ดินบ่ายเบี่ยงที่จะให้เราเข้าพบและเปรยๆว่าจะขอเพิ่มราคาจากที่ตกลงกันไว้” พิพัฒน์รายงานตามความเป็นจริง ในตอนแรกที่ทีมงานของเขาติดต่อไปยังนายบุญมีเจ้าของที่ดินได้มีการตกลงราคากันตามที่เห็นสมควรและนายบุญมีเองก็ดูท่าว่าพอใจไม่น้อย แต่เมื่อมีกำนันมั่นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ซึ่งต้องการที่ตรงนั้นเหมือนกันมาเสนอราคาตัดหน้า นายบุญมีก็มีท่าทีว่าจะเอนเอียงไปทางนั้นและข้อได้เปรียบคือกำนันมั่นและนายบุญมีเป็นคนบ้านเดียวกันมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีซึ่งข้อมูลตรงนี้เขาได้รายงานให้ตติยะทราบไปแล้ว
“เขาต้องการเท่าไหร่”
“มากกว่าเดิมประมาณสองเท่าครับ”
“อะไรนะ” ตติยะถามเสียงดังจนคนอื่นๆสะดุ้งและแอบนั่งเกร็งไปตามๆกัน เพราะน้อยครั้งนักที่จะเห็นเจ้านายผู้แสนจะอารมณ์ดีออกอาการฟิวส์ขาดแบบนี้
“ถ้าขนาดนั้นเราคงให้ไม่ได้หรอก แล้วคุณบอกเขาไปว่ายังไง”
“ผมบอกว่าขอกลับมาปรึกษาเจ้านายก่อนและจะแจ้งไปอีกทีครับ” ตติยะพยักหน้ารับรู้
“เฉยไว้ก่อนถ้าเราปฏิเสธจะเข้าทางอีกฝ่าย เพราะฉะนั้นต้องนิ่งดูท่าทีไปก่อนแล้วผมจะเคลียร์งานลงไปดูพื้นที่ด้วยตัวเองหลังจากเสร็จงานเปิดตัวโครงการที่พัทยา เอาเป็นว่าระหว่างนี้คุณก็ส่งคนของเราเข้าไปในพื้นที่คอยหาข่าวคราวความเคลื่อนไหวของคนที่ต้องการซื้อที่ตัดหน้าเราไว้ตลอดแล้วกัน”
“ได้ครับบอส”
“เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อนพวกคุณไปพักได้” ตติยะถอนหายใจและหยิบแฟ้มรายละเอียดของโปรเจคบ้านพักตากอากาศกลางหุบเขาขึ้นมาดู ท่าทางงานนี้เขาจะเจอบทพิสูจน์ความสามารถอีกแล้ว
ทางด้านเจนิตาก็กำลังเคร่งเครียดเมื่อถูกแม่ใหญ่โทรตามมาที่บ้านเติมรักและเล่าเรื่องโฉนดที่ดินหายไปให้ฟัง เธอเองก็คิดไม่ต่างจากแม่ใหญ่ว่าคนที่เอาไปไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้นอกจากบัวบูชา เธอจึงเล่าเรื่องที่พบหญิงสาวรุ่นพี่กำลังเดินออกมาจากส่วนออฟฟิศของบ้านเติมรักให้แม่ใหญ่ฟัง
“แม่ไม่คิดเลยว่าบัวจะทำกับแม่ได้ถึงขนาดนี้” แม่ใหญ่พูดทั้งน้ำตา
“ใจเย็นๆนะคะแม่ใหญ่เราลองถามพี่บัวดูก่อนก็ได้ว่าเขาเอาโฉนดที่ดินไปทำอะไร” เจนิตาปลอบทั้งๆที่ตัวเองก็ใจคอไม่ดีเหมือนกัน ลางสังหรณ์มันบอกว่าความเดือดร้อนกำลังจะมาเยือนทุกคนในบ้านเติมรักอย่างแน่นอน
“แม่เย็นไม่ได้หรอกเจน เด็กตาดำๆพวกนี้จะไปอยู่ที่ไหนถ้าหากว่าที่ดินตรงนี้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นเวรกรรมอะไรของแม่กันนะที่ต้องมามีลูกแบบนี้ แม่เสียใจจริงๆ” เป็นครั้งแรกที่เจนิตาเห็นแม่ใหญ่ร้องไห้ฟูมฟาย ตั้งแต่เล็กเธอจะเห็นหญิงวัยกลางคนผู้นี้ยิ้มแย้มแจ่มใส เข้มแข็งไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียวนางเป็นเสาหลักให้เธอและน้องๆได้พึ่งพิงมาโดยตลอด แต่บัดนี้นางกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ที่อาจทำให้เด็กๆที่นางรักต้องไร้ที่อยู่นางจึงไม่สามารถเก็บความกังวลนั้นไว้เพียงคนเดียวได้อีกต่อไป
“แม่ใหญ่อย่าเพิ่งคิดมากนะคะ รอให้เราได้เจอพี่บัวก่อนถ้าวันสองวันนี้ยังติดต่อไม่ได้เจนจะไปหาพี่บัวที่บ้านเองค่ะ” เจนิตาหมายถึงทาวน์เฮาส์กลางเมืองที่แม่ใหญ่ยกให้บัวบูชา
“ตอนนี้แม่ใหญ่ทำใจดีๆไว้ก่อนนะคะเดี๋ยวเด็กๆมาเห็นจะตกใจกันเปล่าๆ” แม่ใหญ่พยักหน้าและรีบเช็ดน้ำตาเพราะกลัวเด็กๆจะมาเห็นอย่างที่เจนิตาเตือน เมื่อเห็นแม่ใหญ่เริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้วเจนิตาจึงเลี่ยงเข้าไปในครัวแต่หางตาเห็นว่าแม่ใหญ่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดทันทีที่คล้อยหลังเธอ
“เป็นไงบ้างหนูเจน” ป้านิดถามด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้เรื่องทั้งหมดจากแม่ใหญ่ก่อนที่เจนิตาจะมาถึง
“แม่ใหญ่ท่านก็เสียใจและคิดมากน่ะค่ะกลัวว่าที่ดินตรงนี้จะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้วเด็กๆจะไม่มีที่อยู่”
“ป้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนะหนูเจน พูดแล้วมันของขึ้นเวรกรรมของแม่ใหญ่จริงๆที่มีลูกเลวๆอย่างนังบัวบูชาเนี่ย” ถึงตอนนี้ป้านิดไม่คิดจะเก็บอาการเกลียดชังบัวบูชาเอาไว้อีกแล้ว
“เจนบอกแม่ใหญ่แล้วล่ะค่ะว่าให้ลองติดต่อพี่บัวดูก่อน ถ้าวันสองวันนี้ยังติดต่อไม่ได้เจนจะไปหาพี่เขาที่บ้านเพื่อสอบถามเรื่องนี้เองค่ะ”
“ป้าก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่เราคิดกันไว้เลย”
ในที่สุดเมื่อครบกำหนดสองวันตามที่เจนิตาบอกไว้แม่ใหญ่ก็บอกเธอว่าไม่สามารถติดต่อบัวบูชาได้ เธอจึงตัดสินใจไปหาบัวบูชาถึงบ้านด้วยตัวเอง เมื่อมาถึงเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีรถยนต์ป้ายแดงจอดอยู่ในบ้านซึ่งดูจากยี่ห้อรถแล้วราคาไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งบัวบูชาไม่น่าจะซื้อได้เพราะไม่ได้ทำงานมีเงินเดือนมากมายพอจะจ่ายเงินซื้อรถราคาแพงขนาดนี้ ลำพังเงินเดือนจากค่าเช่าที่แม่ใหญ่แบ่งให้ทุกเดือนก็พอให้เธออยู่อย่างสุขสบายแต่ไม่สามารถจ่ายค่างวดรถแพงขนาดนี้ได้แน่ๆ เจนิตากดกริ่งและรออยู่ครู่ใหญ่บัวบูชาในชุดนอนก็เดินออกมาจากบ้านดูจากท่าทางก็รู้ว่าเพิ่งจะตื่นนอนในเวลาเกือบเที่ยงแบบนี้
“ใครมันมากดกริ่งรบกวนชาวบ้านแต่เช้าเนี่ยฮะคนจะหลับจะนอน” บัวบูชาเดินบ่นมาที่หน้าประตูแต่เมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้กดกริ่งเธอก็มีอาการตกใจก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“นังเจนแกมาที่นี่ทำไม”
“เจนมาหาพี่บัวนั่นแหละ มีธุระจะคุยด้วย” เจนิตาบอกพลางสำรวจท่าทีบัวบูชาไปด้วยและพบว่าที่คอและข้อมือของหญิงสาวรุ่นพี่มีสร้อยทองเส้นใหญ่ประดับอยู่ เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองบัวบูชาจึงรีบเอามือไพล่หลังไว้อย่างมีพิรุธ
“ธุระอะไร คนอย่างฉันไม่มีธุระอะไรกับเด็กเหลือขออย่างแก”
“แล้วถ้าเรื่องโฉนดที่ดินล่ะมีหรือเปล่าคะ” เมื่อถูกเจนิตาจี้จุดบัวบูชาก็มีอาการอึกอัก
“โฉนดอะไรของแกฉันไม่รู้เรื่อง พูดจาเลอะเทอะนะแกเนี่ย”
“ก็โฉนดที่ดินของบ้านเติมรักที่พี่บัวไปขโมยมายังไงล่ะคะ ตอนนี้ทุกคนเขารู้กันหมดแล้วว่าพี่เป็นคนเอาไป”
“อีบ้าเจน แกพูดเรื่องอะไรของแกยะฉันไม่รู้เรื่อง อย่ามากล่าวหากันแบบนี้นะ”
“วันนั้นเจนเห็นนะที่พี่บัวเดินออกมาจากออฟฟิศน่ะ ถ้าไม่ได้เข้าไปขโมยโฉนดแล้วพี่บัวเข้าไปทำไมแถมยังทำท่าลุกลี้ลุกลนมีพิรุธด้วย”
“ก็นั่นมันบ้านแม่ฉัน ทำไมฉันจะไปไม่ได้ฉันแค่เข้าไปหาแม่เพราะคิดว่าเขาอยู่ในออฟฟิศเมื่อไม่เจอก็กลับแค่นั้นเองแกอย่ามาพูดพล่อยๆนะนังเจน” บัวบูชายังยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่รู้ไม่เห็น
“พี่บัวรู้ไหมว่าแม่ใหญ่เสียใจมากท่านร้องไห้เสียใจเพราะการกระทำของพี่ ตลอดเวลาที่เจนอยู่กับแม่ใหญ่มานี่เป็นครั้งแรกที่เจนเห็นท่านร้องไห้ แล้วพี่ที่เป็นลูกแท้ๆไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่ทำให้แม่ต้องเสียใจจิตใจพี่ทำด้วยอะไร”
“อีนังเจน ก็ฉันบอกแล้วไงยะว่าฉันไม่รู้เรื่องแกจะมาพล่ามเอาอะไรฮะ” บัวบูชาแหวเข้าให้อย่างต้องการกลบเกลื่อนพิรุธ
“ถ้าไม่ใช่พี่แล้วพี่บัวเอาเงินจากไหนมาซื้อรถยนต์ราคาแพง ซื้อสร้อยทองเส้นเบ้อเริ่มใส่ขนาดนี้ในเมื่อพี่ไม่มีงานการทำเป็นชิ้นเป็นอัน”
“นี่แกอย่ามาดูถูกฉันนะนังเจนของพวกนี้ผัวฉันซื้อให้ นี่น่ะแค่เศษเงินของเขาถ้ายังไม่รู้ก็รู้ไว้ซะว่าฉันมีผัวรวยแกจะได้เลิกสงสัยเสียที แล้วก็กลับไปได้แล้วและไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะเสียอารมณ์” พูดจบบัวบูชาก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าบ้านไปทิ้งให้เจนิตามองตามไปอย่างจนปัญญาที่จะทำให้หญิงสาวยอมรับว่าเป็นคนขโมยโฉนดที่ดินมา เธอจึงทำได้แค่กลับไปรายงานให้แม่ใหญ่ทราบแล้วหาวิธีอื่นที่จะได้โฉนดคืนกันต่อไป
หลังจากได้รับรายงานจากเจนิตาว่าบุตรสาวไม่ยอมรับว่าเป็นคนขโมยโฉนดที่ดินไปแม่ใหญ่ก็ได้แต่น้ำตาตกและโทษว่าเป็นความผิดของนางเองที่สะเพร่าไม่เก็บไว้ให้พ้นสายตาของบัวบูชา
“แม่จะทำยังไงดีเจน ถ้าบัวเอาโฉนดอันนั้นไปขายพวกเราแย่แน่ๆแล้วเด็กๆพวกนี้จะไปอยู่ที่ไหน” แม่ใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“พี่บัวคงไม่ทำแบบนั้นหรอกมั้งคะแม่ใหญ่” เจนิตาปลอบทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าบัวบูชาทำได้ทุกอย่างเพื่อความสุขของตัวเองโดยไม่สนใจทั้งสิ้นว่าจะทำให้ใครเดือดร้อน
“แม่รู้จักบัวดีแล้วตอนนี้ได้ข่าวมาว่ามีแฟนใหม่และผู้ชายคนนี้ก็ติดการพนันมาก แม่กลัวจริงๆเจน” แม่ใหญ่แสดงความกังวลออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบังเจนิตาได้แต่นั่งฟังเพราะเธอเองก็จนปัญญาเหมือนกันอีกอย่างเธอเองก็เป็นแค่คนนอกส่วนบ้านเติมรักมันคือทรัพย์สินของบัวบูชาที่แม่ใหญ่ยกให้ เธอจึงไม่กล้าที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งมากนัก
“เจนไปทำงานเถอะลูก เดี๋ยวเรื่องนี้แม่จะหาวิธีจัดการเอง”
“แม่ใหญ่แน่ใจนะคะว่าไม่ต้องการให้เจนอยู่เป็นเพื่อน” เจนิตาถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องหรอกลูก แม่ยังมีป้านิดอีกคนหนูไปทำงานเถอะเดี๋ยวจะเสียงานเสียการเปล่าๆ”
“ถ้าอย่างนั้นเจนไปทำงานก่อนนะคะแล้วยังไงเจนจะโทรหาค่ะ”
“ขับรถดีๆนะลูก” แม่ใหญ่บอกพลางมองตามเจนิตาไปจนลับสายตา ทำไมนะลูกสาวของเธอถึงไม่เป็นเด็กดีน่ารักแบบเด็กกำพร้าที่เธอเก็บมาเลี้ยงคนนี้ ลูกในไส้แท้ๆแต่กลับทำความเดือดร้อนและลำบากใจให้แม่บังเกิดเกล้าไม่จบไม่สิ้นแต่ถึงยังไงเธอก็ทำใจให้เกลียดบัวบูชาไม่ได้จริงๆ
วันนี้เจนิตามาทำงานด้วยสภาพจิตใจที่ไม่ปกตินักด้วยเธอกังวลเรื่องบ้านเติมรักและเป็นห่วงแม่ใหญ่จึงทำให้เธอทำงานผิดพลาดหลายครั้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่เจนวันนี้ผมเห็นพี่เสิร์ฟผิดหลายโต๊ะแล้วก็ท่าทางเหม่อๆชอบกล” เด็กเสิร์ฟรุ่นน้องถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้วเตรียมตัวกลับบ้านพร้อมเจนิตา
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะเก่งพี่โอเค” เจนิตาบอกกับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง
“โถ่ พี่เจนเรารู้จักกันมานานแล้วนะอย่าคิดจะมาโกหกกันเลยดีกว่าแค่เห็นอาการพี่ผมก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรในใจแน่ๆ” เก่งบอกอย่างรู้ทัน เจนิตาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เก่งฟัง
“โห แบบนี้ก็แย่สิพี่ถ้าคุณบัวอะไรนั่นเขาเอาโฉนดไปขายหรือจำนองจริงๆ แล้วพวกเด็กๆกับแม่ใหญ่ของพี่จะทำยังไงกันล่ะ”
“นั่นแหละคือปัญหาที่พี่คิดไม่ตกอยู่ตอนนี้”
“เป็นลูกที่เลวมากเลยนะพี่แบบนี้อ่ะ น่าสงสารแม่ใหญ่ของพี่”
“อืม ยังไงเค้าก็เป็นลูกของแม่ใหญ่พี่คงจะไปยุ่งมากไม่ได้หรอกอีกอย่างที่ตรงนั้นแม่ใหญ่เขาก็ยกให้พี่บัวไปแล้วเพียงแต่ยังไม่ได้มอบโฉนดให้อย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง”
“ฟังจากที่พี่เล่าบอกตามตรงนะป่านนี้เขาคงเอาโฉนดเปลี่ยนเป็นเงินไปแล้วล่ะถึงมีเงินมาซื้อรถแพงๆกับสร้อยทองเต็มตัวแบบนั้น”
“พี่เครียดจริงๆนะเก่งเพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆพวกเด็กๆจะไปอยู่ที่ไหน ลำพังแม่ใหญ่เองก็ไม่ได้มีเงินเหลือเฟือที่จะจัดหาสถานที่อยู่ใหม่ให้เด็กจำนวนมากขนาดนั้นได้หรอก ทุกวันนี้ค่าเช่าตึกแถวกับรายได้จากสวนผลไม้ก็ถูกนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านเติมรักจนหมดแบบเดือนชนเดือนรวมกับที่ผู้ใจบุญบริจาคมาไม่ได้เหลือเก็บเลยนะ”
“เฮ้อ...ผมก็จนปัญญาจริงๆพี่ไม่รู้จะแนะนำยังไง อย่างว่าแหละพวกเรามันจนไม่ได้เกิดมามีเงินถุงเงินถังอย่างใครเขานี่เนอะ” ขณะที่พูดสายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบไปเห็นตติยะและคีตภัทรลูกค้าวีไอพีประจำคลับพอดี
“นั่นไง พูดถึงก็มาพอดีมหาเศรษฐีของจริงถ้าเรารวยได้สักครึ่งหนึ่งของเขานะพี่สบายไปทั้งชาติ ไม่รู้ทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้เกิดมาทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนี้” เจนิตามองตามสายตาของเก่งไปจึงเห็นตติยะและคีตภัทรซึ่งกำลังเดินไปที่รถเพื่อกลับบ้านหลังจากคลับปิดแล้ว
“หล่อ รวย แต่ลื่นยิ่งกว่าปลาไหลน่ะสิ”
“พี่เจนว่าอะไรนะครับ”
“อ๋อ พี่หมายถึงว่าช่างเขาเถอะอยู่แบบเราก็มีความสุขดีนี่นา”
“แต่ถ้าเป็นแบบเขามันก็คงสุขกว่านี้ไงพี่ ผู้หญิงคนไหนน้าจะโชคดีได้เป็นเจ้าของผู้ชายที่แสนเพียบพร้อมแบบลูกค้าวีไอพีของเราสองคนนี้”
“โชคร้ายน่ะสิไม่ว่า”
“อ้าวทำไมพี่เจนคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“นายไม่รู้อะไรเก่ง พี่น่ะเห็นเขาเปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่นคราวก่อนพี่เห็นกับอีกคนแต่คราวนี้เห็นหันมาควงแม่ดาราแอ๊บแบ๊วมินตราอะไรนั่นอีกแล้ว พี่สงสารผู้หญิงที่จะมาเป็นเมียนายตติยะอะไรนี่มากกว่าจะคิดว่าเขาโชคดีนะ”
“โห พี่เจนนั่นน่ะมันเรื่องธรรมดาของผู้ชายก็เขา โสด แถมคุณสมบัติครบขนาดนี้ผู้หญิงที่ไหนก็อยากเข้าหาแต่ผู้ชายเจ้าชู้น่ะลองได้รักใครแล้วรักจริงนะครับ”
“พี่ว่าไม่เสมอไปหรอกนะเก่งแล้วแต่คนมากกว่า”
“โอเคๆ ผมไม่เถียงกับพี่แล้วท่าทางพี่ดูไม่ชอบคุณตติยะเลยนะ ถามจริงเขาเคยทำชีกอกับพี่เหมือนแขกบางคนเหรอ”
“เปล่าหรอก เพียงแต่พี่ไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้น่ะ”
“ระวังนะพี่โบราณว่าเกลียดอะไรมักได้อย่างนั้น”
“แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ไม่แน่นอนจ้ะเก่ง ไม่เอาล่ะเราอย่ามัวไปสนใจคนอื่นเลยแยกย้ายกันกลับบ้านนอนดีกว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาสู้ต่ออีกครั้ง”
“โอเคครับ ผมไปล่ะนะพี่เจนกลับบ้านดีๆล่ะ”
“จ้า แล้วเจอกัน” เจนิตาโบกมือให้หนุ่มรุ่นน้องและยืนมองจนเขาลับสายตาไป
“แฟนเหรอ” เจนิตาหันขวับไปตามเสียง
“คุณเต้”
“ใช่ ผมเองแหมสวีทกันน่าดูเลยนะคิดว่าจะกลับด้วยกันซะอีก”
“คุณหมายความว่าไง นั่นน่ะเพื่อนร่วมงานฉันไม่ใช่แฟน”
“อ้าว จะไปรู้เหรอก็เห็นคุณยืนส่งจนลับสายตาผมก็คิดว่าแฟนน่ะสิ”
“เลอะเทอะ คุณนี่ชอบคิดเองเออเองตลอดเลยหรือเปล่าเนี่ย”
“ผมแค่ถามเฉยๆนะทำไมต้องอารมณ์เสียด้วยล่ะ”
“ขอตัวนะ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับคุณ” เจนิตาเอ่ยขอตัวและสตาร์ทมอเตอร์ไซค์คันเก่งก่อนจะเร่งเครื่องจากไป ทิ้งให้ตติยะมองตามไปด้วยความสงสัยที่คู่ปรับของเขาสงบปากสงบคำกว่าทุกวัน
“สงสัยเลือดจะไปลมจะมาวันนี้เลยสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ” ตติยะยักไหล่และเดินกลับไปขึ้นรถของตัวเองเพื่อกลับไปพักผ่อนหลังจากที่วันนี้เขานัดเพื่อนสนิทออกมาสังสรรค์ซึ่งก็เหมือนเคยที่มีเพียงคีตภัทรเท่านั้นที่ตอบตกลงส่วนธีรภัทรตั้งแต่มีครอบครัวก็กลายเป็นคนติดลูกติดเมียเลิกเที่ยวไปโดยปริยาย