หลังครอบครัวชิงเถาออกมาจากจวนตระกูลเทียนแล้วก็เป็นเวลาอาหารข้าวชิงเถาเลยเสนอให้ทุกคนไปกินอาหารที่เหลาอาหารกัน ซึ่งเหลาอาหารที่ทุกคนมานั้นไม่ได้เล็กหรือใหญ่มากนักซึ่งดูแล้วราคาไม่น่าจะแพงอีกทั้งชิงเถาได้ยินว่าอาหารก็รสดี
“ไม่ทราบว่านายท่านจะนั่งโต๊ะธรรมดาหรือห้องส่วนตัวขอรับ” เสี่ยวเอ่อร์ถามพวกนางหลังจากเห็นพวกนางเดินเข้ามาในร้าน
“โต๊ะธรรมดา” จิ้นสิงตอบออกไป จากนั้นเสี่ยวเอ่อร์จึงพาไปยังโต๊ะที่ยังว่างอยู่สำหรับพวกเขา
“ไม่ทราบว่าทุกท่านจะรับอะไรดีขอรับ” เสี่ยวเอ่อร์ถามออกมา
“เออ เอาเป็น” แล้วทั้งโต๊ะก็เงียบเนื่องจากไม่มีใครมานั่งทานอาหารแบบนี้มาก่อนจึงไม่รู้ว่าจะต้องสั่งอะไร
“เอาเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้าน 5 อย่าง ข้าว 6 ถ้วย แล้วก็ชา 2 กาก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ” ชิงเถาตอบออกไปหลังจากเห็นทุกคนเงียบนางจึงลองสั่งเหมือนที่เคยอ่านเจอในนินาย
“ขอรับ” เสี่ยวเอ่อร์ตอบรับพร้อมเดินออกไปสั่งอาหารในครัว
“พี่รองเคยมากินอาหารหรือขอรับทำไมสั่งเป็นด้วย” หมิงเลี่ยนถามออกหลังเขาเห็นทุกคนเงียบตอนเสี่ยวเอ่อร์สอบถาม
“ไม่หรอกพี่แค่เคยเห็นคนอื่นสั่งเวลาเดินผ่าน” ชิงเถาตอบออกไปถึงนางจะเดินผ่านเห็นคนสั่งอาหารนางก็ไม่ได้ยินอยู่ดีแหล่ะต้องพึ่งจากความรู้เดิม
“อย่างนั้นหรือขอรับ” น้องชายตอบรับ จากนั้นทุกคนก็เริ่มพูดคุยเรื่องอื่นระหว่างรออาหาร ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ที่อยู่ใหม่ของพวกเขา ซึ่งหลังจากปรึกษากันแล้วจึงได้ข้อสรุปว่าหลังจากทานอาหารกันเสร็จแล้วชิงเถากับบิดาจะจ้างรถม้าไปเอาของในป่าไผ่หลังจวนโดยที่เหลือให้รอจิบน้ำชากินขนมอยู่ที่นี่ก่อน หลังจากนั้นชิงเถากับบิดาค่อยกลับมารับ
“อาหารมาแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ่อร์เริ่มถืออาหารที่สั่งไปมาวางไว้บนโต๊ะจนเต็ม
“โหหห น่ากินมากเลย” แฝดทั้งสองตื่นตากับอาหารที่ยังไม่เคยได้กินมาก่อนแค่หน้าตาอาหารกับกลิ่นก็ยั่วน้ำลายพวกเขาแล้วซึ่งมีทั้งเมนูหมู เห็ด เป็ด ไก่
“น่ากินก็กินเยอะๆ นะ” ลี่ถิงพูดยิ้มๆให้กับน้องชายถึงปกติน้องทั้งสองจะยิ้มแย้มทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้ามาเทียบวันวันนี้แล้วรอยยิ้มนั้นเห็นแล้วช่างอยากยิ้มตามนัก
“ขอรับ/ขอรับ” ทั้งสองตอบ หลังจากนั้นทุกคนก็ลงถือทานอาหารกันด้วยรอยยิ้มเสียงหัวเราะ เสียงเอ่ยชมอาหารไม่รู้จบกินคำไหนก็ชมคำนั้น
หลังจากชิงเถากับบิดากินอิ่มจึงรีบออกไปทำธุระต่อ ให้คนที่เหลือค่อยดื่มด่ำกับรสชาติอาหารต่อไปก่อน ชิงเถาและบิดาได้จ้างรถม้าที่อยู่ไม่ไกลให้พาพวกนางไปเอาของที่ เตรียมรอไว้ชายป่าไผ่ใกล้กับอารามชี หลังจากมาถึงอารามชีแล้วทั้งสองก็เดินผ่านอารามชีเข้าไป มีชีเดินผ่านไปบ้างซึ่งทั้งก็ทำความเคารพก่อนจะมุ่งไปยังจุดที่ชิงเถาซ่อนของไว้โดยพลังของเชี่ยนเชี่ยน หลังจากมาถึงแล้วทั้งสองก็ช่วยกันถือของช่วยกันแต่พวกนางมากันแค่สองคนแต่มีอยู่ 6 ตะกร้าจึงต้องใช้เวลาเดินไปกลับอยู่สองรอบถึงจะขนหมด รู้อย่างนี้นางน่าจะให้น้องชายมาด้วยซะตั้งแต่แรกเพราะแค่เดินไปกลับเท่านี้นางก็เหนื่อยกว่าเดินไปตลาดตามปกติซะอีก
ตอนนี้ชิงเถาและบิดากลับมารับอีกสามคนที่เหลาอาหารแล้วก็เดินทางต่อจากตอนแรกที่ว่าจะไปที่ดินเลยก็เปลี่ยนแปลงเส้นทางโดยไปพักที่โรงเตี๊ยมสัก สอง สามวันก่อน ตามคำเสนอของชิงเถาที่นางเริ่มมองเห็นความลำบากที่จะตามมาเพราะพวกนางไม่เคยไปดูที่ดินก่อนสักทีจึงคิดว่าหาที่พักก่อน
โรงเตี๊ยมที่ทุกคนมาพักเป็นโรงเตี๊ยมเล็กราคาไม่แพง พอที่ทุกคนจะอยู่ได้โดยไม่คิดมากกับค่าเช่า ทุกคนนำข้าวของขึ้นไปเก็บบนห้องที่เข้าพักสองห้องแล้วก็จึงตกลงกันว่าจะพากันเดินทางออกไปดูที่ดินของพวกตนต่อ
ชุมชนของชนชั้นสูงด้านทิศใต้ของเมืองหลวง ครอบครัวชิงเถาจ้างรถม้าให้พามาดูที่ดินซึ่งระหว่างสองด้านถนนมีแต่จวนใหญ่ๆ ทั้งนั้น ทั้งกำแพงที่สูงกว่าชายโตเต็มวัยซะอีก บางจวนก็ยิ่งใหญ่อวดความเด่นกันไปมาระหว่างจวน ผ่านจวนไปหลายหลังก็ถึงทางเข้าที่มีการแบ่งขายเห็นได้ชัดจากที่ยังมีป้ายประกาศขายที่ติดอยู่ข้างหน้า ด้านหน้าที่เวรยามเฝ้าอยู่หลายคนเพื่อตรวจสอบผู้เข้าออกเหมือนดังครอบครัวนางก่อนจะเข้ามาได้ ดีที่บิดานาเอาเอกสารที่ดินมาด้วย จึงยืนยันตัวตนได้ ผ่านด้านหน้าเข้ามาทั้งสองฝั่งถนนที่แคบลง สองด้านก็เป็นจวนบ้างแล้ว บางหลังก็กำลังเริ่มก่อสร้างกันก็มี ใช้เวลาไม่นานรถม้าก็จอดให้ทุกคนลงเบื้องหน้าของทุกคนคือพื้นที่ว่างเปล่าที่มีกำแพงกำลังทั้งสามด้านคือด้านหลังสุดเขตที่ดินที่เห็นอยู่ไกลออกไปมองเห็นป่าไม้อยู่หลังกำแพงจวนเนื่องจากที่ดินเป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านหน้าเป็นด้านกว้างและยาวไปด้านหลัง มีกำแพงฝั่งที่ติดกับจวนใหญ่ที่สูงกว่าหัวของจิ้นสิงไปนิดหน่อย ส่วนอีกฝั่งเป็นกำแพงที่สร้างโดยผู้ขายสูงประมาณไหล่ของผู้ใหญ่
ด้านในที่ดินผืนนี้ของครอบครัวชิงเถาเป็นดินมีหญ้าขึ้นเสียส่วนใหญ่มีเป็นพื้นแผ่นหินเก่าๆ อยู่บ้างตรงใกล้กับบ่อน้ำที่อยู่ตรงกลางของที่ดินจำนวนสามบ่อ ซึ่งชิงเถารู้จากเชี่ยนเชี่ยนว่าตรงส่วนนี้เคยเป็นโรงซักล้างของจวนมาก่อนดังนั้นเรื่องน้ำท่าจึงไม่ต้องกังวล ทุกคนเดินสำรวจอยู่นานเป็นชั่วยามก่อนจะเดินทางกลับโรงเตี๊ยม