แต่ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะทันได้พูดอะไรต่อ มินตราก็หันไปทางบ้านและตะโกนเรียกลุงกับป้าเสียก่อนเพราะถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอก็มีแค่ลุงกับป้าที่จะช่วยได้เท่านั้น
“ป้าจันทร์ ลุงชิดคะ” เธอตะโกนเรียกเสียงดังลั่น ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อแม่บุญธรรมที่ยืนอยู่บนระเบียงด้วยสีหน้าซีดเผือด เต็มไปด้วยความตกใจและเป็นห่วง
“มีอะไรหรือเปล่าลูกแล้วพวกนั้นเป็นใคร” ป้าจันทร์ถามก่อนจะมองลงไปด้านล่าง สายตาของท่านเต็มไปด้วยความกังวลอย่างยิ่ง
“มินก็ไม่รู้ค่ะป้า เขาบอกว่ามีเรื่องของมันตรา” มินตราตอบใบหน้ามีแต่ความกังวลป้าจันทร์มองหน้าหญิงสาวอย่างตกใจ
“มันตราเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนูด้วยล่ะ” ป้าจันทร์รู้ว่ามันตราคือใครแต่ก็ไม่เคยเจอมาก่อน
ชายร่างใหญ่คนนั้นก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองมินตราย่างไม่ลดละ
“คุณสันติ พ่อของคุณมันตราต้องการพบคุณด่วนที่สุด” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่มันกลับแฝงความน่ากลัวอยู่ในนั้น
“แต่...ฉันไม่รู้จักคุณสันติค่ะ และมันตราฉันก็ไม่เคยเจอเธอเลย” มินตราพยายามรวบรวมสติตอบออกไป
“ไปกับเรานะครับคุณสันติอยากคุยกับคุณ”
“ถ้าฉันไม่ไปล่ะ”
“ผมไม่รับรองความปลอดภัยของทุกคนที่นี่ ตัดสินใจเอาเองนะครับคุณมินตรา” เขาขู่เสียงเข้ม
“ไปก็ได้แต่อย่านานนะ”
ชายคนนั้นยกยิ้มพอใจกับคำตอบของเธอแต่ เขาก็หันไปพยักหน้าให้ชายอีกคนหนึ่งที่ยืนเฝ้ารถอยู่ ชายคนนั้นเปิดประตูรถด้านหลังออกเพื่อให้หญิงสาวขึ้นไปนั่ง
“เชิญครับ” ชายร่างใหญ่พูดสั้นๆ ก่อนจะผายมือไปที่ประตูรถ
มินตราลังเลเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกบังคับ แต่แววตาของชายตรงหน้าทำให้เธอไม่กล้าปฏิเสธ เธอเหลือบมองเข้าไปในบ้าน เห็นป้าจันทร์กับลุงชิดยืนอยู่บนระเบียงต่างด้วยสีหน้าตื่นตระหนก สายตาของป้าจันทร์เต็มไปด้วยความกังวลและกลัว หญิงสาวรู้ว่าเธอต้องไป ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเรื่องไม่ดีกับครอบครัวบุญธรรมของเธอ
“หนูมินจะไปกับคนแปลกหน้าได้ยังไง แล้วถ้าเกิดอันตรายขึ้นมาล่ะ” ลุงชิดรีบท้วงเสียงดัง สีหน้าของท่านบ่งบอกถึงความไม่พอใจและเป็นห่วงอย่างมาก
“ไม่เป็นไรค่ะลุง เขาคงแค่อยากจะคุยด้วย ป้ากับลุงไม่ต้องห่วงนะคะ" เธอพยายามพูดให้เสียงเข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะหวาดกลัวมากแค่ไหนก็ตาม
“แต่...” ป้าจันทร์ทำท่าจะค้าน แต่มินตราก็สบตาป้าจันทร์ด้วยแววตาที่ขอร้องให้เข้าใจ
“มินไปก่อนนะคะ เดี๋ยวถ้ามีอะไรจะโทรมาบอกค่ะ”
มินตราก้าวขึ้นไปบนรถอย่างช้าๆ รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้บ้านไม้หลังเล็กกับป้าจันทร์และลุงชิดที่ยืนมองอย่างเป็นห่วงอยู่เบื้องหลัง
หญิงสาวเหลือบมองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าเศร้าสร้อยของป้าจันทร์ น้ำตาของเธอเริ่มคลอเบ้า เธอไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะพาเธอไปที่ไหน และเธอจะได้กลับมาที่บ้านอีกเมื่อไหร่แต่เพื่อความปลดภัยของคนที่เธอรักหญิงสาวก็เลยต้องเลือกนั่งรถมากับคนไม่รู้จัก
รถแล่นไปตามถนนที่คุ้นเคย ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองนครนายก จากนั้นไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าสู่เส้นทางที่มุ่งหน้าไปกรุงเทพฯ มินตราไม่รู้เลยว่าการไปครั้งนี้ใช่แค่ไปพบใครบางคน แต่เธอกำลังถูกพาไปยังโลกอีกใบที่ไม่เคยสัมผัส โลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและอันตราย
หลายชั่วโมงรถคันหรูก็พาเธอมาจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ มันเป็นอาคารทรงยุโรปโบราณ ประตูเหล็กดัดขนาดใหญ่เปิดออกให้รถแล่นเข้าไป ก่อนจะจอดสนิทที่หน้าประตูทางเข้าหลัก
ชายร่างใหญ่พาเธอเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ภายในตกแต่งอย่างหรูหราแต่กลับไร้ชีวิตชีวา ผนังประดับด้วยภาพวาดราคาแพง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูมีมูลค่ามหาศาล มินตรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนต่างถิ่นที่หลงเข้ามาในปราสาทของใครบางคน
เธอถูกนำเข้าไปในห้องรับแขกขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวสะอาดตา มีชุดโซฟาหลุยส์สีทองอร่ามตั้งอยู่กลางห้อง ชายชุดสูทผายมือให้เธอนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง มินตรานั่งลงอย่างระมัดระวัง เธอรู้สึกไม่สบายใจกับความหรูหราที่ไม่คุ้นเคยนี้
ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก ชายสูงวัยรูปร่างสูงสง่าในชุดสูทเนี้ยบก้าวเข้ามาในห้อง ถ้าเดาไม่ผิดเขาน่าจะเป็นคุณสันติ ที่ผู้ชายสองคนพูดถึงตอนไปรับเธอที่บ้าน ใบหน้าของเขาดูใจดี แต่ดวงตาคมกริบกลับแฝงไปด้วยความเด็ดขาด เขาเดินตรงมานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับเธอ พร้อมกับส่งรอยยิ้มบางๆ ให้
“สวัสดีหนูมินตรา ลุงชื่อสันตินะ” คุณสันติเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“สวัสดีค่ะ”
“ลุงขอโทษด้วยที่ต้องทำให้หนูมาในสถานการณ์แบบนี้ แต่ลุงมีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยกับหนู”
มินตรายังคงเงียบ เธอไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร และไม่เข้าใจว่าเรื่องสำคัญที่ว่านั้นคืออะไร
“หนูคงจะสงสัยว่าทำไมลุงถึงให้คนไปรับหนูที่บ้าน ลุงเป็นพ่อบุญธรรมของมันตราน้องสาวของหนู”
“ค่ะ” มินตราไม่รู้จะพูดอะไร เพราะเธอกับมันตราถูกรับไปเลี้ยงตั้งแต่เด็กและไม่เคยติดต่อกันเลย หญิงสาวรู้แค่ว่าตัวเองมีฝาแฝดเท่านั้น
“ลุงจะเล่าอะไรให้หนูฟังแบบคร่าวๆ นะ มันตราเป็นคู่หมั้นของคุณกวินภพมหาเศรษฐีหนุ่มผู้ทรงอิทธิพล และทั้งสองกำลังจะแต่งงานกันในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า"
คำบอกเล่านั้นทำให้มินตราถึงกับอ้าปากค้าง เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าน้องสาวฝาแฝดที่ไม่เคยพบหน้าจะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้
“ฉันยินดีด้วยค่ะ” เธอก็แสดงความยินดีแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเขาไปตามเธอมาทำไมหรือแค่อยากจะให้เธอมาแสดงความยินดีกับน้องสาวฝาแฝด
“แต่ตอนนี้มันตราได้หายตัวไปและไม่มีใครรู้ว่าเธอไปไหน" คุณสันติเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
มินตรายังคงนิ่งงัน เธอไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
“ที่ไปตามฉันมาคือจะให้ฉันช่วยตามหรือยังไงคะ”
“ลุงพยายามตามหามันตราทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ เลย จนกระทั่งสืบรู้ว่ามันตรามีพี่สาวฝาแฝดอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหนู”
มินตราเริ่มเข้าใจสถานการณ์บางอย่างแล้ว ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจ เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด
“พวกคุณต้องการอะไรจากฉันคะ”
“ลุงต้องการให้หนูสวมรอยเป็นมันตราและแต่งงานกับคุณกวินภพแทนเธอ ถือว่าลุงขอร้องล่ะนะ"