บทที่ 1 เยือนน้ำพุเหลือง
บทที่ 1
เยือนน้ำพุเหลือง
บ้านเมืองวุ่นวายจากการรุกรานของแคว้นทั้งสาม เกิดเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทั้งแคว้น ผืนแผ่นดินถูกอาบไปด้วยโลหิตสีแดงจนแทบชุ่ม ไม่ว่าจะหันมองไปทางทิศใดก็เจอแต่ดาบฟาดฟันมนุษย์ด้วยกันเองอย่างเลือดเย็น
หลี่ไป๋อวิ๋นมองดูความวุ่นวายด้วยแววตานิ่งเฉย นี่เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว ทว่าในยามนั้นหาได้มีผู้ใดฟังนางไม่ ด้วยการใส่ร้ายป้ายสีของผู้ไม่หวังดีผู้หนึ่ง ทำให้นางกลายเป็นผู้ทรยศต่อแผ่นดิน
“ดูสบายใจเสียจริง หลี่ไป๋อวิ๋น” น้ำเสียงหยิ่งทะนงระคนดูแคลน พร้อมด้วยสายตาดั่งอสรพิษจ้องมองนาง
สตรีสะคราญโฉมหมุนกาย ละสายตาจากความวุ่นวายด้านนอกหน้าต่าง แล้วหันไปมองผู้บุกรุกเข้ามาในห้องนอนของนาง
...ตงจิ่นติ้ง ไอ้สารเลว...
แววตาของนางฉายชัดถึงความโกรธแค้นต่อบุรุษผู้นี้ ผู้ยิ่งใหญ่สุดในใต้หล้า สังหารบิดาแล้วขึ้นครองราชย์ เป็นทรราชผู้ซึ่งไร้น้ำตา แม้ในวันที่มารดากอดขาอ้อนวอน ยังตวัดดาบฟาดฟันคอมารดาหลุดออกจากบ่าอย่างเลือดเย็น ด้วยความโลภอำนาจจนตามืดบอด
มิใช่เพียงแค่นั้น แต่สกุลหลี่ของนางก็ถูกสังหารเจ็ดชั่วโคตร เนื่องจากการที่นางถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าทรยศต่อแผ่นดิน สกุลหลี่ซึ่งเชื่อใจนางหาหลักฐานเพื่อให้นางพ้นผิด แต่ตงจิ่งติ้งกลับเมินเฉย แล้วออกราชโองการให้ประหารสกุลหลี่เจ็ดชั่วโคตร ด้วยข้อหาเข้าข้างนักโทษประหารเช่นนาง
“ดูแววตาเจ้าสิ ไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างอรชรของสตรีนางหนึ่ง ผู้ซึ่งเคยเป็นสหายรักของนาง
เยว่ซ่านฉินเดินเข้าไปสอดแขนคล้องแขนของตงจิ่งติ้ง ผู้ซึ่งเป็นสามีของนาง แต่ก็เป็นเพียงสามีแค่เพียงในนามเท่านั้น แม้แต่คืนวสันต์หลี่ไป๋อวิ๋นยังไม่ยอมให้บุรุษผู้นี้แตะต้องร่างกาย การแต่งงานคลุมถุงชนเช่นนี้ หากมิใช่เพื่อสกุลแล้วนางหาได้หมายแต่งให้กับตงจิ่นติ้งไม่ แค่มองก็รู้แล้วว่ามีราศีความร้ายกาจซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนนั่น
“บุรุษสารเลว กับสตรีร้ายกาจ ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน ตำแหน่งฮองเฮาคงต้องเป็นเจ้าแล้วกระมัง” แม้ถ้อยคำของหลี่ไป๋อวิ๋นจะคล้ายกับการชื่นชม ทว่าแววตาและน้ำเสียงของนางนั้นหาได้หมายความเช่นนั้นไม่
“จะปากดีได้ก็แค่ยามนี้แหละ ท่านพี่สังหารมันเถิดเพคะ!”
“ดั่งใจเจ้าปรารถนา”
หลี่ไป๋อวิ๋นเค้นหัวเราะ รู้ดีว่าวันนี้เป็นวันตายของนาง แต่สตรีตัวน้อยหาได้หลีกเลี่ยง ทว่าจะให้นางตายอย่างเสียเปล่าโดยมิได้กระทำสิ่งใดเลยนั้นย่อมมิได้
ดวงตาคู่งามจ้องมองตงจิ่นติ้งซึ่งก้าวเท้าเดินมาหานางอย่างองอาจ หลี่ไป๋อวิ๋นเองแม้ภายนอกนิ่งเฉย ทว่าภายในนางพร้อมสู้แล้ว ทว่าในยามนั้นเองเสียงของคนผู้หนึ่งหันเหความสนใจจากนาง
“ฮองเฮาเพคะ!!” เสียงนั้นมาพร้อมกับมีดสั้นคุ้นตาเล่มหนึ่ง ร่างของนางกำนัลคนสนิทพุ่งเข้ามาหาตงจิ่นติ้ง
“อย่า...!!” นางร้องห้าม ด้วยรู้ว่าเพียงกำลังของนางกำนัลน้อยมีหรือจะสู้ทรราชผู้นี้ได้ มีแต่เอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า
ตงจิ่นติ้งหันขวับไปตามเสียง ก่อนจะหลบหลีกคมมีดนั้น หานมี่ยืนหันหลังให้หลี่ไป๋อวิ๋น หมุนกายหันไปประจันหน้าตงจิ่นติ้ง ยื่นมีดออกไปตรงหน้า แม้ร่างกายจะสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวก็ตาม ทว่าจะให้นางหนีเอาตัวรอดเพียงผู้เดียวมิอาจกระทำได้ แม้จะเป็นคำร้องขอสุดท้ายของเจ้านายที่นางเคารพยิ่งก็ตาม
ช่างน่าชื่นชมที่หานมี่สร้างบาดแผลบนใบหน้าที่ตงจิ่นติ้งหวงแหนมากที่สุดได้ ทว่านี่มิใช่เวลามาชื่นชม
“มีมี่! เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่!?”
“ขออภัยเพคะฮองเฮา นู๋ปี้[1]มิอาจเอาตัวรอดเพียงผู้เดียวได้”
“เหตุใดมิได้ เจ้ายังมีครอบครัวรอเจ้าอยู่ ซึ่งต่างจากข้า!” หลี่ไป๋อวิ๋นขึ้นเสียงใส่นางกำนัลตัวน้อยด้วยความโกรธเกรี้ยว นี่เป็นครั้งแรกที่นางกระทำเช่นนี้
นางอุตส่าห์โน้มน้าวและฝากฝังหานมี่ให้กับผู้ที่ไว้ใจได้ เนื่องจากรู้ดีถึงวาระสุดท้ายของตนเอง อย่างน้อยก็อยากให้คนดีๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกพระราชวังแห่งนี้ คนนอกอยากเข้า คนในอยากออก มิใช่ถ้อยคำที่เกินจริงเลย หากมีโอกาสอีกครั้งหลี่ไป๋อวิ๋นไม่ขออย่างกรายเฉียดเขามาภายในพระราชวังแห่งนี้อีกเป็นอันขาด!
“ฮองเฮาเป็นมากกว่าครอบครัวของนู๋ปี้ หากมิได้ฮองเฮาในยามนั้น ป่านนี้นู๋ปี้คงถูกขายให้กับหอนางโลมไปเสียแล้ว...”
“พวกเจ้าพล่ามกระไรกัน ไม่เห็นหัวข้าผู้นี้หรือ!!” เสียงนั้นตวาดดังลั่นอย่างเดือดดาล จากเดิมที่หงุดหงิดกับท่าทางนิ่งสงบดุหิมะแรกในเหมันต์ฤดู การปรากฏตัวของนางกำนัลไร้ค่าผู้นี้ยิ่งสร้างความหงุดหงิดขึ้นอีกหลายส่วน
ฝ่ามือซึ่งจับดาบสังหารผู้คนมานักต่อนัก แม้กระทั่งบิดามารดาของตนเอง บัดนี้จับดาบอย่างมั่นคงแล้วแทงเข้าที่กลางอกของนางกำนัลไร้ค่าในสายตาของตนทันที
ฉึก!
“อึก!”
“มีมี่! มีมี่!!”
มิอาจเก็บสีหน้าของตนเอง เมื่อผู้ที่ตนเอ็นดูยิ่งและหวังให้รอดชีวิตออกไป ยามนี้ถูกคมดาบของสามีนางแทงทะลุมาถึงด้านหลัง ดาบเล่มนั้นถูกดึงออกอย่างเลือดเย็น พร้อมกับเลือดกระฉูดกระเด็นสาดใส่ใบหน้า หลี่ไป๋อวิ๋นแทบใจสลาย นางโอบรับร่างของหานมี่แล้วทรุดกายลงพื้นด้วยความเศร้าโศก หานมี่สิ้นใจในทันที ดวงตายังคงนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น
“เจ้า! ตงจิ่นติ้ง สารเลวเหลือเกิน!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ตงจิ่นติ้งระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่าดวงหน้างดงามมีสีหน้าคล้ายกับโลกทั้งใบถล่มเช่นนั้น กับการตายของนางกำนัลไร้ค่าเพียงผู้เดียว “เจ้านี่ตาต่ำกว่าที่คิดเสียอีก กับแค่นางกำนัลไร้ค่า ใยจึงต้องร่ำไห้ไปเล่า ฮองเฮาของข้า”
ฝ่ามือเปื้อนเลือดยื่นออกมาบีบคางของนาง อันที่จริงแล้วตงจิ่นติ้งมีใจให้หลี่ไป๋อวิ๋นมิน้อย ด้วยความโฉมสะคราญของนาง น้ำเสียงหวานใสดั่งระฆังแก้วอาบด้วยความหวานของมธุรส แม้แววตาจะลุ่มลึกยากแท้หยั่งถึง ทว่ามิอาจปฏิเสธความงดงามของนางได้เลย หากได้ชื่นชมนางคงจะดีไม่น้อย
ดวงตาเรียวดั่งเงามืดของความชั่วร้ายจ้องมองหลี่ไป๋อวิ๋นอย่างลุ่มหลง ลืมเสียสิ้นถึงการมีอยู่ของเยว่ซ่านฉินผู้ซึ่งร่วมกันทรยศหลี่ไป๋อวิ๋นมาโดยตลอด
สำหรับตงจิ่นติ้งแล้ว เยว่ซ่านฉินมิได้สำคัญเท่ากับหลี่ไป๋อวิ๋น หากนางยอมโอนอ่อนให้ตนสักเล็กน้อย ไม่แน่ว่าผู้ที่อยู่เคียงข้างตนในยามนี้อาจจะไม่มีเยว่ซ่านฉินก็เป็นได้ อย่างไรเสียบุรุษก็ยังคงใจอ่อนให้กับสตรีที่ตนมีใจให้อยู่แล้ว ไม่ว่านางจะกระทำผิดใหญ่หลวงเพียงใดก็ตาม
“อวิ๋นเอ๋อร์เอ๋ย หากเจ้าเปลี่ยนใจมาอยู่เคียงข้างข้าตามเดิม... ข้าจะกระทำตามที่เจ้าปรารถนา ขอแค่เจ้าเอ่ยปาก”
ฝ่ามือเรียวเล็กสัมผัสที่ข้อมือของตงจิ่นติ้งซึ่งคลายแรงที่บีบคางของนาง แต่ก็ยังคงบีบเอาไว้ ริมฝีปากค่อยๆ ขยับเป็นรอยยิ้มบางเบาเมื่อเห็นว่าหลี่ไป๋อวิ๋นคล้ายกับจะโอนอ่อนไปตามตน
“ตงจิ่นติ้ง เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง ข้าไม่เคยอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ว่าครั้นก่อนหน้าหรือบัดนี้!!” สตรีตัวน้อยตะโกนเสียงดัง ดวงตาแดงก่ำจากความโกรธแค้นหาที่ใดเปรียบได้ยาก แม้ว่าริมฝีปากจะคลี่เป็นรอยยิ้มงดงามก็ตาม
“ได้ ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนี้ งั้นก็ตามสกุลหลี่ของเจ้าไปก็แล้วกัน!”
ว่าแล้วตงจิ่นติ้งก็ยกดาบขึ้นสูง คมดาบนั้นสะท้อนกับแสงจันทร์ด้านนอก และใบหน้าของนางเองก็ชัดเจนอยู่ที่ดาบนั้น สตรีตัวน้อยตวัดแขนขึ้น เกิดเป็นระลอกคลื่นลมน้อยๆ ทว่ากลับพัดร่างของตงจิ่นติ้งให้กระเด็นไปได้
มันคือเคล็ดวิชาที่บิดาของนางเคยสอนให้ เมื่อครั้นนางยังเยาว์วัยนัก แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ไม่มีผู้ใดรู้ เนื่องจากการที่สตรีร่ำเรียนเคล็ดวิชา ผู้คนจะครหาในทางไม่ดีเอาได้ หากทว่านี่มิใช่เคล็ดวิชาลับแต่อย่างใด เป็นเพียงพื้นฐานการป้องกันตัวทั่วไปเท่านั้น
หากแต่ชั่วชีวิตหลี่ไป๋อวิ๋นเป็นสตรีที่ถูกประคบประหงมเมื่อครั้นก่อนเข้าวัง กระทั่งเข้าวังก็ยังมีคนคอยตามอารักขา นางจึงไม่เคยได้ใช้ นี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่นางได้ใช้ ผู้ใดจะคาดคิดว่าจะได้ใช้กับผู้เป็นถึงฮ่องเต้
บุรุษมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบหยัดกายขึ้น หลี่ไป๋อวิ๋นคว้ามีดสั้นที่มือของหานมี่ ซึ่งนางให้กับหานมี่เอาไว้เพื่อป้องกันตัว บัดนี้กลับเป็นนางเสียเองที่ใช้มัน
จับมีดให้มั่นแล้วพุ่งเข้าใส่บุรุษอย่างกล้าหาญ ยามนี้หลี่ไป๋อวิ๋นไม่รักตัวกลัวตาย นางไม่เหลือสิ่งใดให้ต้องคอยเป็นห่วงอีกแล้ว ทุกสิ่ง ทุกผู้คนต่างไปเยือนน้ำพุเหลืองก่อนหน้านางแล้วทั้งสิ้น เกิดการต่อสู้ระหว่างตงจิ่นติ้งและหลี่ไป๋อวิ๋น
อึก!
ทว่าไม่นานหลี่ไป๋อวิ๋นก็กระอักเลือดออกมา นางรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน คล้ายกับเส้นเลือดถูกแผดเผาทุกคราที่ใช้พลังปราณ หลี่ไป๋อวิ๋นรับรู้ได้ในทันทีว่านี่คงเป็นฝีมือของเยว่ซ่านฉิน มีเพียงนางที่เป็นสหายคนสนิทที่รับรู้ ว่าหลี่ไป๋อวิ๋นใช้พลังปราณได้!
และนี่คงจะเป็นพิษที่ไม่ส่งผลร้ายต่อร่างกายของผู้ไร้พลังปราณ แต่จะส่งผลร้ายอย่างมากกับผู้มีพลังปราณ ยามนั้นเองดาบยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุหัวใจของนาง พร้อมกับเสียงหัวเราะของเยว่ซ่านฉิน
ทั้งพลังปราณพลุ่งพล่านยากที่จะควบคุม ทั้งดาบเล่มยาวที่แทงทะลุหัวใจ ร่างของหลี่ไป๋อวิ๋นจึงทรุดลงพื้นพร้อมกับกระอักเลือดสีแดงสดออกมา
“เยว่ซ่านฉิน เจ้ากระทำอันใด!!”
“นางสมควรตาย เหตุใดท่านพี่จึงคิดไว้ชีวิตนาง!”
“นางคือฮองเฮาของข้า จะเป็นจะตายข้าจะเป็นคนกำหนดเอง…!”
ร่างของหลี่ไป๋อวิ๋นถูกตงจิ่นติ้งโอบรับเอาไว้ นางรู้สึกรังเกียจเหลือเกิน ทว่าไร้เรี่ยวแรงที่จะผลักไส แค่แรงจะหายใจก็โรยราเต็มทน เสียงพูดคุยถกเถียงกันนั้นดังไกลออกไป ดวงตาของหลี่ไป๋อวิ๋นแข็งค้างอยู่เช่นนั้นด้วยความอาฆาตแค้น ในขณะที่ลมหายใจขาดห้วงไปแล้ว
[1] นู๋ปี้ = เป็นสรรพนามแทนตัวเองกับเจ้านายที่รับใช้ ประมาณว่า บ่าวผู้นี้, ข้าน้อย