เอริคพรมจูบไปแทบทุกพื้นที่ผิวบนเรือนกายเปลือยเปล่าของฟลอเรนซา ก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้ใบลิ้นอุ่นร้อนแตะต้องส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของร่างกายของหญิงสาว ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก ลมหายใจของเธอขาดห้วง ตอนที่เขาส่งเธอไปสัมผัสกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยได้พบพานมาก่อน ฟลอเรนซามีโอกาสได้โกยอากาศหายใจเข้าปอดตอนที่เอริคจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าบนเรือนกายสูงใหญ่ออก ก่อนที่เขาจะทาบทับลงบนเรือนเปลือยเปล่าลงมาบนร่างกายของเธอ
“คุณห้ามผมไม่ได้หรอกฟลอนซ์”
เอริคบอกตอนที่เขาผลักดันตัวตนแข็งแรงเข้าไปในความอ่อนนุ่มของคนใต้ร่าง หนทางรักที่คับแคบ สีหน้าเหยเกคล้ายเจ็บปวดกับเสียงหวานที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้คิ้วหนาขยับเข้าหากันอย่างแปลกใจ ฟลอเรนซาอายุยี่สิบหกปี และถูกเลี้ยงมาแบบชาวตะวันตก เขาจึงไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะยังไม่เคยผ่านมือใครมาก่อนแบบนี้
คนใต้ร่างของเขายังบริสุทธิ์
เอริครับรู้ได้ในทันที
“อื้อ เจ็บ ออกไปนะ”
มือบางที่เคยขยุ้มบ่าแกร่งเอาไว้ เปลี่ยนเป็นกำเข้าหากันแน่น แล้วยกขึ้นทุบตีอีกฝ่ายเป็นพัลวัน ร่างเล็กพยายามดิ้นรนให้พ้นจากสิ่งที่ทำให้ร่างกายของเธอคล้ายกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าเจ้าของตัวตนแข็งแรงไม่ยอมให้เธอได้ทำแบบนั้น ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงต่ำ มอบจุมพิตเร่าร้อนปลุกเร้าให้คนใต้ร่างคล้อยตามและตอบรับตัวตนแข็งแรงตามแบบฉบับชาวตะวันตกอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายร่างกายของเธอกับเขาก็หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตอนที่เอริคผลักดันตัวตนไปจนสุดทางรัก
“อื้อ...”
ฟลอเรนซาครางท้วงอีกครั้ง เมื่อความปวดแปลบเด่นชัดตรงบริเวณส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของกายสาว เป็นอีกครั้งที่ร่างเล็กพยายามดิ้นรนผลักไส แต่ทุกการกระทำของหญิงสาวไม่เกิดผลใดๆ เอริคไม่ยอมถอนตัวตนออกจากร่างกายของเธอ ซ้ำยังถาโถมเรือนกายสูงใหญ่เข้าหาเธออย่างดุดันตอนที่เขารับรู้ว่าร่างกายของเธอพรักพร้อม
“คุณเอริค”
ฟลอเรนซาเรียกชื่อคนเหนือร่างตอนที่หญิงสาวถูกความหวามไหวโจมตีอย่างหนักหน่วง มือบางที่เคยใช้ทุบตีอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นจิกบ่าแข็งแรงเอาไว้อย่างระบายอารมณ์ ในขณะที่เรือนกายสูงใหญ่ของเอริคก็ถูกความหวามไหวโจมตีไม่ต่างกันนัก ความอ่อนนุ่มบีบรัดตัวตนของเขาอย่างรุนแรง ร่างกายของชายหนุ่มเกร็งเครียด ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงบดขยี้กลีบปากนุ่มอย่างไม่ออมแรง ก่อนที่เขาจะเร่งจังหวะรักให้เร็วขึ้นตามแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยานสูง เสียงทุ้มต่ำที่คำรามประสานกับเสียงหวานที่เล็ดลอดออกมาจากเรียวปากอวบอิ่ม นั่นทำให้ทราบว่าทั้งคู่ได้จับจูงกันแตะเส้นทางรักอันงดงามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่คนเหนือร่างหยุดเคลื่อนไหว ฟลอเรนซาก็รีบอาศัยจังหวะนั้นโกยอากาศหายใจเข้าปอด ทว่าไม่ถึงนาที คนที่ยังไม่ยอมถอนตัวตนออกจากเธอ ก็พลิกตัวให้เธอขึ้นมานอนทาบทับอยู่บนเรือนกายสูงใหญ่แทน
“แค่นี้ผมยังไม่พอหรอกฟลอนซ์”
เอริคบอกเพียงเท่านั้น ก็เอื้อมมือไปกระชับที่ท้ายทอยของฟลอเรนซา กดศีรษะของหญิงสาวลงจนกระทั่งริมฝีปากของเธอและเขาแนบชิดกัน เอริคมอบจุมพิตดุดัน แม้ว่าลมหายใจของฟลอเรนซายังไม่กลับสู่สภาวะปกติเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวจะครางท้วงแต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความเมตตามอบให้เธอ
“อื้อ…”
ฟลอเรนซาร้องท้วงได้เพียงเท่านั้น เสียงของเธอก็ถูกคนใต้ร่างดูดกลืนไปจนหมดสิ้น เพียงไม่นานสมองของหญิงสาวก็หมุนคว้าง อาการต่อต้านไม่หลงเหลือ ได้แต่ปลดปล่อยร่างกายไปตามความต้องการของธรรมชาติ และปล่อยให้คนสูงกว่าเป็นฝ่ายนำทางอย่างที่ควรจะเป็น
เอริคตักตวงความสุขจากเรือนกายของฟลอเรนซาตลอดสามวันที่ผ่านมา โดยไร้บทสนทนาระหว่างกันอย่างที่เคยเป็น มีบ้างที่เขายอมเปิดปากพูดกับเธอ แต่ก็เป็นเฉพาะตอนที่โรมรันกันบนเตียงเท่านั้น พอก้าวลงจากเตียง เธอไม่เคยได้ยินเสียงทุ้มเลยสักครั้ง มาถึงตอนนี้ฟลอเรนซาก็พอจะทราบถึงเหตุที่ทำให้เขาหมางเมินและขุ่นเคืองเธอแบบนั้น
และวันนี้เธอก็ตั้งใจจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
เพราะเธอจำได้ขึ้นใจ เขาบอกเอาไว้ว่าจะให้เธอปรนเปรอเขาแค่สามวันแลกกับสิ่งที่เธอเคยปรารถนาจะครอบครอง
ซึ่งเธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว
สิ่งที่เธอต้องการก็คือเอริคคนเดิมที่มีแต่ความสุภาพอ่อนโยนต่อเธอเท่านั้น
ฟลอเรนซานั่งรอที่ห้องนั่งเล่นอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปทางประตูทุกๆ ห้านาที พักใหญ่เสียงประตูถูกปลดล็อกก็ดังขึ้น ฟลอเรนซาคลี่ยิ้มกว้าง พร้อมๆ กับที่ร่างบอบบางลุกขึ้นยืนเพื่อรอคอยการมาของเอริค ทว่าสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาคมกริบที่มองมาอย่างเย็นชา ทำให้รอยยิ้มบนดวงหน้าหวานซึ้งค่อยๆ เลือนหายไป เอริคสาวเท้ามาหยุดตรงหน้าเธอ
“นั่งลงสิ เราจะได้คุยกัน”
เอริคบอกด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยเย็นชาและดูห่างเหิน ไร้ความสนิทสนมอย่างที่เคยเป็น ฟลอเรนซาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอย่างตัดพ้อ ก่อนจะตัดสินใจนั่งลง เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะคุยอะไรกับเธอ
พอฟลอเรนซานั่งเรียบร้อย เอริคก็เปิดบทสนทนาอย่างไม่อ้อมค้อม ร่างสูงวางกระเป๋าอลูมิเนียมสีเงินที่หิ้วมาด้วยลงบนโต๊ะกระจกทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่เบื้องหน้า เขากดรหัสอยู่ชั่วครู่ กระเป๋าใบดังก็เปิดออก เอริคดันกระเป๋าที่ภายในบรรจุเพชรสีชมพูรูปไข่มูลค่าราวๆ หนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้านดอลลาร์ไปให้ฟลอเรนซา
“มันเป็นของคุณแล้ว ตามที่เราตกลงกันเอาไว้”
ฟลอเรนซามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแวบเดียวราวกับว่ามันเป็นของไร้ค่า ก่อนที่ดวงตาคู่สวยที่กำลังไหวระริกจะช้อนสายตาขึ้นมองคนตรงหน้า ร่างกายของหญิงสาวชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ฟลอเรนซาไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้เลยราวกับว่าร่างกายของเธอกำลังถูกแช่แข็ง แม้แต่การหายใจเข้าออกกลับกลายเป็นสิ่งที่ยากลำบาก มีเพียงความเงียบที่โรยตัวเข้าปกคลุมจนบรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความอึดอัด หญิงสาวต้องการอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขากำลังเข้าใจเธอผิดไป เรื่องที่เขารับรู้มามีส่วนที่เป็นความจริงแต่ทว่าไม่ใช่ทั้งหมด แต่พอได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเคร่งขรึมมากกว่าครั้งไหนๆ ดวงตาว่างเปล่าติดจะดูแคลนที่มองมา คำพูดที่ต้องการแก้ต่างให้ตัวเองจึงถูกกลืนลงคอ ลำคอของหญิงสาวแห้งผาก ดวงตาคู่สวยที่กำลังไหวระริกหันไปประสานกับนัยน์ตาสีฟ้าที่มีเพียงความเรียบเฉยเย็นชามองมาที่เธอ กลีบปากนุ่มเม้มเหยียดเป็นเส้นตรง ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาจากเรียวปากอวบอิ่มอย่างยากลำบาก
“ขอบคุณค่ะที่ทำตามคำสัญญา หากไม่เป็นการรบกวนคุณจนเกินไป ฉันขออนุญาตอยู่ที่นี่อีกสักคืนนะคะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปแต่เช้า”
ฟลอเรนซาบอกเพียงเท่านั้น เธอไม่รอให้คนเป็นเจ้าของบ้านตอบรับหรือปฏิเสธอะไรทั้งนั้น มือบางจัดการปิดกระเป๋าใบดังกล่าว หยิบมันติดมือมาด้วยแล้วขยับเท้าไปที่ห้องนอน ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง ร่างเล็กที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนไหว แผ่นหลังบอบบางพิงเข้ากับประตูห้อง ก่อนจะค่อยๆ ลดตัวลงนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง ในอ้อมแขนกอดกระเป๋าใบดังกล่าวเอาไว้แน่น ราวกับว่ามันเป็นที่พึ่งเดียวที่เธอมี น้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่ขาดสาย หญิงสาวสะอื้นฮักจนตัวโยน พักใหญ่กว่าอาการสะอื้นจะคลายลง น้ำตาเริ่มเหือดแห้ง ทว่ายังคงทิ้งคราบเปรอะเปื้อนไว้บนใบหน้าเนียนใส พลางเอ่ยอย่างตัดพ้อ แม้ว่าคนที่ต้องการจะพูดด้วยไม่ได้อยู่ตรงหน้าก็ตาม
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าความรักครั้งนี้มันโหดร้ายแค่ไหน”
“...”
“และฟลอนซ์จะไม่มีทางลืมเป็นอันขาด”
“...”
“ไม่มีทาง”