"คุณดนัย ผมขอแฟ้มประวัติผู้หญิงที่มาสมัครเป็นผู้ช่วยเลขาผมอีกทีหน่อย"
หลังจากที่เดินทางมาถึงที่ทำงาน ท่านประธานหนุ่มก็รีบขอแฟ้มประวัติหญิงสาวที่เพิ่งทิ้งโน๊ตให้เมื่อเช้าอีกครั้งทันที เนื่องจากเขาต้องการศึกษาประวัติของเธอให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ดูจากท่าทางที่ไม่ธรรมดาแบบนั้นแล้วคงไม่ใช่ลูกสาวชาวบ้านธรรมดาแน่นอน คิดว่าน่าจะมาจากตระกูลผู้ดีตระกูลใดตระกูลหนึ่งแน่นอน
"คนไหนเหรอครับคุณแปลน"
"คนที่ผมให้คุณโทรตามให้มารายงานตัวแล้วเขาปฏิเสธ"
"ได้ครับ" เลขาอายุสามสิบต้นๆ รีบหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงานเจ้านายหนุ่มทันทีที่ได้รับคำสั่ง ใช้เวลาในการเดินไปขอแฟ้มเอกสารจากแผนกHRไม่นาน เขาก็เดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายหนุ่มอีกครั้ง
"แฟ้มได้แล้วครับ" แปลนรับแฟ้มเอกสารจากมือเลขาคนสนิทมาเปิดดูอีกครั้ง สายตาราบเรียบกวาดอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกที่เขียนชื่อสกุลของเจ้าของประวัติ
"มาร์ลิน อาร์โนกิจรุ่งเรือง...นามสกุลผสม แสดงว่าเป็นลูกครึ่ง"
เสียงทุ้มพึมพำแค่นั้นก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่บรรทัดต่อไปทันที จึงได้รู้ว่าเจ้าของประวัติเป็นลูกครึ่งหลายเชื้อสายมีทั้งจีนอิตาลีและไทยผสม แต่เรื่องนามสกุลทำไมเขาไม่รู้สึกคุ้นกับมันเลย หรือว่าจะไม่ใช่ลูกสาวกลุ่มนักธุรกิจ ประวัติที่เหลือเท่าที่ดูแล้วอย่างการศึกษาก็ถือว่าเป็นคนเรียนดีจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของต่างประเทศด้วย
แต่ช่างมันเถอะ เธอคงไม่ใช่ลูกสาวมาเฟียอย่างที่เขาคิดไว้ละมั้ง แค่เป็นผู้หญิงทรงห้าวปากกล้าเท่านั้นเอง หลังจากที่คิดได้ดังนั้น มือหนาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายไว้ เพื่อติดต่อเรื่องที่ได้คุยตกลงกับอีกฝ่ายไว้เมื่อเช้านี้ ก่อนจะส่งคืนแฟ้มให้เลขาคนสนิทกลับไปอีกครั้ง
"ผมต้องไปประชุมกี่โมง"
"อีกยี่สิบนาทีครับ"
"อืม"
Rrrr
ครืดดด ครืดดด
คล้อยหลังเลขาคนสนิทเดินออกไปจากห้องได้ไม่ถึงหนึ่งวินาทีเสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้นปรากฏชื่อบนหน้าจอว่า 'คุณแม่' เจ้าของโทรศัพท์จึงคว้าขึ้นมากดรับสาย ขณะที่มืออีกข้างก็เซ็นเอกสารที่เลขาเอามาให้ไปด้วย
"ครับแม่"
"แปลนลูกรัก เย็นนี้ลูกพอจะมีเวลาว่างมาทานข้าวกับคุณแม่ไหมคะ"
"เย็นนี้เหรอครับ" ปลายปากการาคาแพงชะงักไปสักพักเมื่อนึกถึงกิจกรรมช่วงเย็นที่เขาจองไว้ให้ใครบางคนไว้แล้ว
เย็นนี้เขาจะโทรนัดมาร์ลินมาคุยเรื่องสัญญาที่ยังไม่เรียบร้อยให้เสร็จเรียบร้อย และอาจจะอยู่กับเธอไปจนถึงดึก เพื่อใช้ช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามันให้คุ้มกับที่ต้องเสียเงินให้ ซึ่งเขาการันตีความเห่อของใหม่ของตัวเองได้เลยว่าไม่เกินหนึ่งเดือนแน่นอน และในระยะเวลาภายในหนึ่งเดือนนี้เขาก็จะหายหน้าหายตาไปจากเพื่อนฝูงไปสักพัก หรือแม้กระทั่งกลับไปหาแม่ผู้บังเกิดเกล้าเขาก็คงไม่ค่อยได้กลับไป
เพราะฉะนั้น...
"ได้ครับ ที่ไหนดีครับ" ใช่ เขาควรไปทานข้าวกับแม่สักมื้อก่อนจะเข้าถ้ำไปอยู่กับมาร์ลินสักระยะ
"ภัตตาคารริมน้ำ เวลาหนึ่งทุ่มตรงนะลูก" คนปลายสายตอบน้ำเสียงดีใจกลับไปที่เจ้าลูกชายผู้ไม่ค่อยยอมมาทานข้าวกับแม่เท่าไหร่ยอมมาอย่างง่ายดาย
"ครับ ไว้เจอกันนะครับ" คุยตกลงกับแม่ผู้บังเกิดเกล้าเสร็จ เขาก็กดวางสายไปก่อนจะยกข้อมือดูเวลาจากนาฬิกาเรือนหรู เมื่อเห็นว่าถึงเวลาเข้าประชุมแล้ว ร่างสูงก็ลุกขึ้นจากเก้าอีกเดินตรงไปที่ประตูทันที...
.
.
.
19.00น.
@ภัตตาคารริมน้ำ
ร่างสูงของแปลนก้าวขาลงจากรถหรูราคาคันละหลายสิบล้าน หลังจากที่ขับมาถึงสถานที่ที่นัดไว้กับคุณแม่เมื่อเช้านี้ เท้าทั้งสองข้างเดินเข้าไปในภัตตาคารสุดหรูในชุดสูทภูมิฐานแบบไม่ค่อยเป็นทางการนัก ใบหน้าหล่อเหลาระดับดาราแถวหน้าของประเทศปรากฏในที่สาธารณะทำให้พนักงานสาวแถบนั้นเลี้ยวหลังมองตามหลังลูกตาแทบจะถลนออกมากับความหล่อเหลานั้น
"คนนี้ใช่เจ้าของห้างดังที่เคยออกข่าวปะ"
"ใช่ๆ คนนี้แหละเจ้าของห้างดังที่ทำสาวๆ ค่อนประเทศคลั่งอะ หล่อจังอะ หล่อแบบไร้ที่ติมาก"
"ใช่เลยแก ทำเอาฉันอยากไปสมัครทำงานที่นั่นเลยอะ เผื่อจะเจอเขาเดินลงมาตรวจงานชั้นธุรกิจแล้วได้สบตาปิ๊งๆ กัน"
สองสาวพนักงานยืนจับมือกอดกันกลมมองตามหลังร่างสูงที่เดินผ่านไปสายตาหวานเยิ้ม เคลิ้มในความหล่อเหลาของอีกฝ่ายจนเก็บอาการไม่อยู่ แต่พอผู้จัดการเดินผ่านมาพอดีพวกเธอก็รีบสะบัดออกจากกันแยกทางใครทางมันทันที
"สวัสดีครับคุณแม่ มาถึงนานหรือยังครับ"
"อ้าวแปลนมาแล้วเหรอลูก แม่ก็เพิ่งมาถึงเอง นั่งก่อนสิลูกเดี๋ยวแม่แนะนำเพื่อนแม่กับลูกสาวให้รู้จัก" แปลนได้ยินดังนั้นก็แอบเหลือบมองสองแม่ลูกตรงหน้าแวบหนึ่งก่อนจะดึงเก้าอี้นั่งลงตามคำสั่งของแม่บังเกิดเกล้า
"นี่น้าพรประภาเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของแม่ ส่วนนี้ก็หนูเฌอเบลล์ลูกสาวเพื่อนแม่ เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศจ้ะลูก"
"สวัสดีครับ" แปลนยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่นั่งยิ้มให้ตนอยู่ตรงหน้าตามมารยาท
"สวัสดีจ้ะ เบลล์ไหว้พี่เขาสิลูก พี่แปลนเขาอายุมากกว่าเราตั้งสองปีเลยนะ"
"ค่ะ สวัสดีค่ะพี่แปลน" หญิงสาวหน้าตาสวยหวานดูอ่อนโยนน่าทะนุถนอมยกมือไหว้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตามคำสั่งของคุณแม่ตามด้วยส่งยิ้มบางๆ ท่าทางเคอะเขินให้ด้วย
ซึ่งคนถูกไหว้ก็รับไหว้แต่โดยดี ก่อนจะนั่งเงียบในภายหลัง ไม่ได้แสดงออกท่าทีว่าสนใจหญิงสาวรุ่นน้องเลยสักนิด ถึงแม้ว่าความสวยของเธอจะเปล่งปลั่งราวกับนางในวรรณคดีก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสีหน้าเรียบนิ่งตื่นเต้นที่ได้เห็นเธอเลยสักนิด ซึ่งนั่นก็แอบทำให้สาวรุ่นน้องใจแป๋วเผลอแสดงแววตาเศร้าออกมา คุณหญิงจันทร์วาดที่แอบเห็นแบบนั้นก็อดแอบหยิกเอวลูกชายตัวดีของตัวเองไม่ได้ ก่อนจะกัดฟันพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน
"พูดกับน้องเขาหน่อยสิตาแปลน เห็นไหมว่าน้องเขาอยากทำความรู้จักกับเราอะ"
"ผมแค่มาทานข้าวเป็นเพื่อนแม่นะครับ เผื่อแม่ลืม" คุณหญิงจันทร์วาดลมแทบจับเมื่อได้ฟังคำตอบจากลูกชายแสนมึนเข้า อะไรจะทำให้แม่รู้สึกละอายต่อแขกได้ขนาดนี้
"แม่บอกความจริงกับลูกก็ได้ หนูเฌอเบลล์คือว่าที่คู่หมั้นของลูก เพราะฉะนั้นทำความรู้จักกันไว้ซะจะได้คุ้นเคยกัน" กระซิบบอกบอกลูกชายเสร็จคุณหญิงจันทร์วาดก็กลับมานั่งหลังตรงอย่างเรียบร้อยอีกครั้งพร้อมกับแจกยิ้มสดใสให้สองแม่ลูกฝั่งตรงข้ามไปด้วย
"ขอโทษทีค่ะคุณหญิงภาพอดีลูกชายทำมือถือตกนะคะ ดิฉันเลยช่วยเก็บให้ อาหารเริ่มมาแล้วงั้นเราทานกันก่อนดีกว่านะแล้วค่อยมาคุยธุระกัน" คุณหญิงจันทร์วาดแจ้งเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยให้ทราบก่อนจะชวนทานอาหารที่เริ่มมาเสิร์ฟภายหลัง
"ค่ะคุณหญิง"
หลังจากที่เริ่มลงมือทานอาหารกันแล้ว ภายในโต๊ะก็ยังคงไร้เสียงชวนพูดคุยตามคำสั่งจากปากลูกชาย แปลนยังคงนั่งทานอาหารเงียบๆ ราวกับในโต๊ะอาหารแห่งนี้เขานั่งทานข้าวอยู่คนเดียว
ต่อให้หญิงสาวฝั่งตรงข้ามจะยื่นมือตักกับข้าวใส่จานให้ เขาก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม ทำเพียงแค่พยักหน้าตอบกลับให้อีกฝ่ายเฉยๆ แค่นั้น กระทั่งเวลาล่วงเลยไปสักพัก อาหารในจานของเขาหมดแล้วเขาจึงยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเห็นเข็มนาฬิกาชี้อยู่ตรงเลขแปดเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ทำให้ผู้ใหญ่ในโต๊ะและสาวรุ่นน้องเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นตาเดียว
"ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีนัดต่อ"
"เดี๋ยวสิลูก" ร่างสูงเดินออกมาจากโต๊ะอาหาร เดินตรงไปที่ทางออกโดยที่ไม่สนใจเสียงเรียกของแม่ผู้บังเกิดเกล้า เมื่อเดินพ้นออกมาจากภัตตาคารหรูแล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาหญิงสาวที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเดินออกมาทันที รอสายไม่นานก็ได้ยินเสียงคนรับพอดี
"ฮัลโหล่"
"คุณอยู่ไหน"
"ใครคะ?"
"จำเสียงคนที่ช่วยสอนงานคุณเมื่อคืนไม่ได้แล้วหรือไง"
เท่านั้นแหละ ร่างบางที่นอนเปื่อยอยู่บนเตียงก็รีบลุกขึ้นตาลุกวาวทันที เธอนึกว่าเรื่องเมื่อคืนมันจะจบไปแล้วเสียอีกเพราะอีกฝ่ายหายไปไม่ติดต่อกลับมาเลยทั้งวัน
"...จำได้สิ ฉันแค่อำคุณเล่นอะ" รอยยิ้มมุมปากยกยิ้มขำขึ้นมาทันทีกับคำตอบของปลายสายที่พยายามแถจนสีข้างถลอก
"ผมจะพยายามเชื่อละกัน คุณร่างสัญญาเสร็จหรือยัง"
"สัญญาเหรอ? เสร็จแล้ว ฉันร่างเสร็จแล้ว จะให้ฉันไปพบคุณที่ไหนดี"
"เดี๋ยวผมไปหาคุณเอง"
"ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันขับรถไปหาคุณเองดีกว่า คุณอยู่ที่ไหน"
"ก็ได้ งั้นมาหาผมที่คอนโดย่านBHละกัน ถ้ามาถึงแล้วก็โทรหาผม เดี๋ยวผมลงไปรับ"
"โอเคค่ะ"
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยต่างฝ่ายก็ต่างเร่งรีบไปให้ถึงเป้าหมายที่นัดไว้ แปลนรีบเดินขึ้นรถแล้วขับกลับไปที่คอนโดของตัวเองซึ่งอยู่ไกลจากภัตตาคารที่แม่ตัวเองนัดมาทานข้าวอยู่หลายกิโลเหมือนกัน
แต่ยังโชคดีที่คืนนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ เลยใช้เวลาขับกลับไปที่คอนโดไม่นาน แต่พอถึงคอนโดตัวเองแล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างบางของมาร์ลินในชุดเดรสรัดรูปอวดทรวดทรงองค์เอวสีแดงแรงฤทธิ์สั้น ปลายผ้าพลิ้วตามลมผมยาวสลวยถึงกลางหลังกำลังเดินบนรองเท้าส้นสูงเกือบสามนิ้วเข้าไปในอาคารพอดี
เขาจึงรีบเหยียบคันเร่งแล้วควงพวงมาลัยรถเข้าไปจอดรถตรงลานจอดรถให้เรียบร้อย ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินตามเข้าไปภายหลัง
Rrrr
ครืดดดด ครืดดดด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกระเป๋าสูทตัวนอกบ่งบอกว่าเป็นอีกฝ่ายที่โทรหาตามที่นัดไว้แน่นอน เขาจึงปล่อยเบลอไม่รับสายของอีกฝ่ายไว้ แต่เลือกที่จะเดินเข้าไปสะกิดไหล่ของอีกฝ่ายที่ยืนหันหลังอยู่แทน ทำให้คนที่โดนสะกิดหันขวับสีหน้าตกใจกลับมา เธอเลยเผลอจิกตาใส่คนที่ทำให้ตัวเองตกใจกลับไป
"ตกใจหมด แล้วโทรไปทำไมคุณไม่รับสาย"
"ก็อยู่กันแค่นี้จะให้ผมรับสายทำไม"
"แต่งสูทหล่อแบบนี้ ไปกินข้าวกับแฟนมาเหรอ" นัยน์ตาจับผิดปรายตามองชุดสูทบนเรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างเล่นหูเล่นตา
การที่เห็นอีกฝ่ายแต่งหล่อดูดีแบบนี้ เซ้นผู้หญิงของเธอกำลังตีผลออกมาว่าเขามีตัวจริงอยู่แล้วและเพิ่งไปทานข้าวกันมา ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอขอบายไม่ร่วมสนุกด้วยแล้วกัน เพราะสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดคือการหักหลังคนรัก
"ไปกินข้าวกับแม่มาต่างหาก จะขึ้นไปได้ยัง"
"ให้ชัวร์นะว่าไปกินข้าวกับแม่มาจริงๆ ฉันไม่ชอบผู้ชายปลิ้นปล้อนที่ชอบสร้างฮาเร็ม ถ้าอยากได้ฉันก็ต้องมีฉันคนเดียว"
"ผมไม่ใช่แนวที่ชอบสร้างฮาเร็มแบบแฟนเก่าคุณละกัน พอใจยัง"
"โอเคร้~" เมื่อได้คำตอบที่พอใจและสายตาที่อีกฝ่ายตอบกลับมาดูจริงจังไม่มีสิ่งโกหกเจืออยู่ในนั้น เธอก็ยอมเลิกถามแต่โดยดี ก่อนจะเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินนำขึ้นไปก่อนในที่สุด